ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 522 ชีวิตใหม่
แม้นหมิ่นเจียจะปรับอารมณ์ความรู้สึกเสร็จแล้วถึงเข้าไป แต่ดูแล้วอารมณ์กลับยังคงดู
แข็งกระด้างเล็กน้อยอยู่ดี
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นเห็นนาง อดไม่ได้ถามเฉิงเซิงว่า “นี่นางเป็นอะไรหรือ เมื่อครู่ก็ทํา
หน้าเคร่ง”
ไม่สบายก็อย่ามา ในเมื่อมาแล้วก็ไม่ควรจะวางสีหน้าให้พวกเขาเห็น
เฉิงเซิงกระซิบกล่าว “อาจเป็นเพราะเรื่องบ้านเดิม…ฟางเซวียนกลับบ้านเดิมอีกแล้ว นี่ก็
เกือบจะหนึ่งเดือนเข้าไปแล้ว ได้ยินว่าทะเลาะกับพี่สะใภ้ใหญ่ของนาง”
อีกแล้วหรือ!
โจวเสาจิ่นกล่าว “อาจเพราะเป็นบุตรสาวคนเดียวกระมัง”
“อื้อ!” เฉิงเซิงกระซิบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ได้ยินว่าหมิ่นจวี่เหรินผู้นั้นนอกจากพี่ชายร่วมอุทร
อย่างหมิ่นจ้วงหยวนของตนแล้ว ยังไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเลย!”
โจวเสาจิ่นหัวเราะ ไม่กล่าวอะไรอีก ไปดูอาเป่ากับอาเหริน
เด็กน้อยทั้งสองคนนั่งอยู่หน้าโต๊ะที่จัดให้พวกเขาโดยเฉพาะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
มีพวกแม่นมคอยปรนนิบัติดูแลกินข้าว
เห็นนางเดินเข้ามา เด็กน้อยทั้งสองคนต่างเรียกนาง “ท่านย่า” ด้วยดวงหน้ายิ้มตาหยี
โจวเสาจิ่นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
เฉิงเซิงที่ตามเข้ามาหัวเราะจนเอวบิดเอวงอ4851
โจวเสาจิ่นจึงหยิกที่เอวของเฉิงเซิงครั้งหนึ่ง พลางกล่าว “เจ้ายังจะหัวเราะอีก!”
เฉิงเซิงหัวเราะร่าพร้อมกับวิ่งหนีออกไป ซบที่หัวไหล่ของฮูหยินผู้เฒ่ากัวพลางกล่าว “ท่าน
ย่า บุตรสะใภ้ของท่านตีข้าเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นที่เดินออกมาจากห้องรับแขกได้ยินแล้วหน้าซับสีแดงเรื่อ ดวงหน้าราวกับปทุม
แดง
เฉิงสวี่ที่ได้ยินความเคลื่อนไหวเงยหน้าขึ้นมาพอดี ตะลึงงันไปเล็กน้อย
ตะเกียบของหมิ่นเจียปักลงไปในข้าวสวยในชามข้าวอย่างลึก
หยวนซื่อปรายตามองเฉิงสวี่เป็นการเตือนครั้งหนึ่ง น่าเสียดายที่สายตาของเฉิงสวี่เคลื่อน
ไปตกอยู่บนร่างของโจวเสาจิ่นจึงไม่เห็น
ชิวซื่อเองก็มองไม่เห็นเช่นกัน
นางต่อว่าเฉิงเซิงยิ้มๆ ว่า “เป็นแม่คนแล้ว เหตุใดถึงยังเป็นเหมือนเด็ก ให้จิ่นเจียงเห็นจน
กลายเป็นอะไรไปแล้ว” ขณะที่กล่าว ก็คล้ายกับกลัวว่าบุตรเขยจะตําหนิ ชี้ไปที่ไข่นํ้าปลาเงินบน
โต๊ะ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าลองชิมดู ครอบครัวของใต้เท้าอู๋ส่งมาให้เป็นพิเศษ”
ปลาเงินเป็นของเฉพาะถิ่นของเจียงหนาน ทางเหนือไม่มี
เผิงเจ่าและเฉิงเซิงเป็นคู่สามีภรรยาอายุน้อย ฐานะเหมาะสม ความสนใจคล้ายคลึงกัน
ความสัมพันธ์จึงดียิ่ง ภรรยาเป็นเช่นนี้ มีแต่รู้สึกว่ามีชีวิตชีวา มิได้รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ดีแต่อย่างใด
เขามิได้ใส่ใจ เม้มปากกลั้นยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “เจ้าอย่าก่อกวนท่านอาสะใภ้สี่ ท่านอาสะใภ้
สี่กําลังตั้งครรภ์อยู่!”4852
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็แสร้งทําเป็นตีมือของเฉิงเซิงอย่างไม่พอใจ กล่าวขึ้นว่า “อาสะใภ้สี่
ของเจ้านิสัยอ่อนโยนยิ่ง ข้ารู้อยู่แล้วว่าเป็นเจ้าที่กําลังเสแสร้งแกล้งทํา!”
เฉิงเซิงร้องครวญอย่างไม่พอใจว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกท่านล้วนปกป้องท่านอาสะใภ้สี่กัน
ทั้งนั้น เห็นๆ อยู่ว่าเป็นข้าที่เสียเปรียบ พวกท่านก็ยังจะเข้าข้างนาง”
“เจ้าอายุเท่าไรแล้ว!” ชิวซื่ออดหัวเราะไม่ได้ “ยังจะเอาชนะอาสะใภ้ของเจ้าอีก” ขณะที่
กล่าวก็ดึงตัวนางครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “รีบกินข้าวของเจ้าเสีย มิเช่นนั้นต่อไปไม่อนุญาตให้กลับบ้าน
เดิมอีกแล้ว”
เฉิงเซิงหันไปพูดกับโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าดู ท่านแม่ของข้าเอ็นดูเจ้ามาก แม้แต่ข้าก็ไม่
ต้องการแล้ว”
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวว่า “ดูว่าต่อไปเจ้ายังจะกล้ารังแกข้าอีกหรือไม่!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและอีกหลายคนต่างหัวเราะดังลั่น แม้แต่เฉิงสวี่ก็อดหัวเราะขึ้นมาด้วย
ไม่ได้ มีเพียงหยวนซื่อและหมิ่นเจียเท่านั้นที่สีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาตินัก หมิ่นเจียยิ่งแล้วใหญ่รู้สึก
ว่านางอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแม้แต่เค่อเดียว เอ่ยประโยคหนึ่งว่า “ข้าขอตัวสักครู่” แล้วก็รีบออกจาก
ห้องโถงไป
ทุกคนเข้าใจว่านางไปห้องทางการจึงไม่ได้ใส่ใจนัก
หยวนซื่อดึงตัวเฉิงสวี่ไปคุยกันข้างๆ
เฉิงสวี่เปล่งเสียง “อืม” สองคําก็ทิ้งฮูหยินหยวนไว้เดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่กําลังหยอก
ล้อกับอาเป่าและอาเหริน “ท่านย่า ช่วงบ่ายข้ายังต้องไปที่สํานักศึกษา ขอตัวไปก่อนแล้วขอรับ อีก
สองวันมีเวลาว่างแล้วค่อยมาเยี่ยมท่านใหม่!”4853
เผิงเจ่าเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “หิมะตกหนักขนาดนี้ อาจารย์ของพวกเจ้ามิให้พวก
เจ้าหยุดพักหรือ”
“ให้หยุดแล้ว” เฉิงสวี่กล่าวยิ้มๆ “เพียงแต่ว่าตอนจากมาอาจารย์บอกว่ามีธุระกับข้า
เล็กน้อย ช่วงบ่ายให้ข้าไปหาอีกสักครั้งหนึ่ง”
เฉิงสวี่เป็นบุตรชายของขุนนางใหญ่ อาจารย์เป็นบัณฑิตผู้รอบรู้ ในบรรดาบัณฑิตผู้รอบรู้
นี้ไม่มีผู้ใดที่ไม่อยากประสบความสําเร็จในเส้นทางราชการสักคน
เผิงเจ่าไม่กล่าวอะไรอีก ออกไปส่งเฉิงสวี่ที่ประตูพร้อมกับเฉิงรั่ง
หมิ่นเจียนั่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ลุกขึ้นกล่าวอําลาเช่นกัน กล่าวว่า “หิมะนี้ยิ่งตกก็ยิ่งหนักขึ้น
เรื่อยๆ ข้ากลับไปดูสักหน่อยจะดีกว่า เรือนเสริมด้านหลังของที่บ้านมิได้ซ่อมแซมมาหลายปีแล้ว
ข้ากลัวว่าหิมะจะกดทับจนหลังคาถล่มลงมา”
หยวนซื่อได้ยินแล้วก็ไม่มีใจอยู่ที่นี่ต่อไปแล้วเช่นกัน
ชิวซื่อจึงเป็นตัวแทนฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกไปส่งพวกนางสองแม่สามีลูกสะใภ้ที่ประตู
หมิ่นเจียหยั่งเชิงหยวนซื่อ “เมื่อครู่ท่านแม่คุยอะไรกับสามีหรือเจ้าคะ ข้าเห็นท่าทางสามีดู
ไม่ค่อยเบิกบานนัก ต้องการให้ข้าเกลี้ยกล่อมสามีสักหน่อยหรือไม่”
“ไม่เป็นไร!” ท่าทีของหยวนซื่อแข็งค้าง กล่าวว่า “ข้าเพียงถามเรื่องเรียนของเขาเท่านั้น”
หมิ่นเจียไม่เชื่อ
โดยธรรมชาติแล้วเฉิงสวี่เป็นคนที่ค่อนข้างอบอุ่นอ่อนโยนผู้หนึ่ง
แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเฉิงสวี่และโจวเสาจิ่นนั้น นางกลับสืบข่าวคราวอะไรไม่ได้เลยมา
โดยตลอด4854
เฉิงสวี่ไม่มีทางทําให้ตัวเองเปื้อนโคลนอย่างแน่นอน
เช่นนั้นก็เพราะเรื่องนี้ถูกปิดผนึกเอาไว้แล้ว
คนที่รู้เรื่องก็ไม่ทํางานอยู่ที่ตระกูลเฉิงแล้ว และคนที่รู้เรื่องของตระกูลเฉิงก็ปิดปากแน่น
สนิท ไม่มีทางพูดกับคนภายนอกอย่างแน่นอน
ตามหลักแล้ว นางควรจะหยุดที่ตรงนี้แล้วถึงจะถูก
แต่นางเป็นคนที่ดื้อดึงมาตั้งแต่เด็กผู้หนึ่ง ไม่สืบเรื่องราวให้กระจ่าง นางไม่มีทางอยู่
กับเฉิงสวี่ต่อไปได้
บางทีอาจเป็นเพราะในใจของนาง ก็เพียงอยากหาข้ออ้างให้เฉิงสวี่สักข้อหนึ่งเพื่อให้นาง
ยอมรับเฉิงสวี่ก็เท่านั้น
นึกถึงสิ่งเหล่านี้ หมิ่นเจียรู้สึกสลดหดหู่ใจยิ่งนัก
ประตูเฉาหยางทางด้านนี้กลับมิได้สนุกสนานน้อยลงเนื่องด้วยการจากไปของเฉิงสวี่ทั้ง
ครอบครัวเลย ในทางตรงกันข้ามเพราะเผิงเจ่าซักถามเรื่องการเรียนจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยความ
จริงใจ โจวเสาจิ่นและเฉิงเซิงเล่นเป็นเพื่อนอาเป่ ากับอาเหรินอย่างครึกครื้นยิ่ง แม้แต่เฉิงรั่งเองก็
ปรับเปลี่ยนความขี้อายที่มีแต่เดิม พูดคุยเรื่องที่สํานักศึกษากับชิวซื่อผู้เป็นมารดาอย่างเบิกบาน
เล็กน้อยด้วย ดูมีความสุขกันอย่างยิ่ง
ชิวซื่อรู้สึกซาบซึ้งเป็นหนี้บุญคุณฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ่งนัก
หากมิใช่เพราะฮูหยินผู้เฒ่ากัว นางก็คงจะส่งบุตรชายไปเรียนที่สํานักศึกษาซวงเฮ่อที่
เดียวกับเฉิงสวี่และเผิงเจ่าไปแล้ว เดิมทีบุตรชายก็มิใช่คนมีพรสวรรค์มากกว่าผู้อื่นประเภทนั้นอยู่
แล้ว ไปอยู่ที่นั่นจะต้องถูกคนที่เฉลียวฉลาดอย่างเฉิงสวี่ประเภทนั้นกดข่มเป็นแน่ ยิ่งอยู่คนก็ยิ่ง
รู้สึกตํ่าต้อย ยิ่งอยู่ก็จะยิ่งรู้สึกขาดความมั่นใจ4855
สํานักศึกษาซานหมิงกําลังดี
พวกเขาก็มิใช่ว่าจะเลี้ยงดูไม่ไหว เฉิงรั่งค่อยๆ เรียนหนังสืออย่างช้าๆ ไปก็ได้
คิดถึงตรงนี้ ชิวซื่อก็นึกถึงเซี่ยเจวี๋ยที่กําลังจะกลายมาเป็นบุตรสะใภ้ของนางในไม่ช้า
ขึ้นมา
บุตรชายใช้ไม่ได้ นางก็ต้องดีกับบุตรสะใภ้สักหน่อยถึงจะใช้การได้
นางปรึกษาโจวเสาจิ่น “เจ้าว่า ข้าเอาบ้านสวนที่เป็นสินเดิมของข้ามอบให้คุณหนูสาม
ตระกูลเซี่ยดีหรือไม่”
โจวเสาจิ่นครุ่นคิด กล่าวขึ้นว่า “ค่อยๆ มอบให้ดีกว่า!” ครั้งนี้ท่านมอบทุกอย่างให้นางจน
หมด ตอนที่นางมีความยากลําบากอะไรขึ้นมาอีกท่านจะเอาอะไรมอบให้นาง?”
“นี่ก็จริง” ชิวซื่อพยักหน้ายิ้มๆ พูดคุยกับนางถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา “สองวันก่อนจู่ๆ ท่าน
อารองก็ให้คนนําตั๋วเงินสองพันเหลี่ยงมาให้ข้าในคราวเดียว บอกว่าเป็นค่าใช้จ่ายของอาเป่ าและ
อาเหริน เจ้าว่า ข้าไหนเลยจะรับเอาไว้ได้ ผลปรากฏว่าผู้ช่วยอู๋ผู้นั้นยืนกรานให้ข้ารับเอาไว้ให้ได้
ข้าไม่มีทางเลือก จําต้องรับเอาไว้…ตอนนี้ทําให้ข้าไม่รู้จะทําอย่างไรดีแล้ว”
โจวเสาจิ่นช่วยชี้ทางให้นางว่า “ต้องเป็นเพราะท่านอารองซาบซึ้งใจพี่สะใภ้เป็นอย่างมาก
คิดว่าเด็กสองคนเป็นภาระที่ไม่เบาเลย ฉะนั้นถึงได้ให้คนส่งเงินไปให้ ข้าคิดว่าท่านรับไว้ดีแล้ว
ท่านอารองจะได้สบายใจขึ้นบ้างเจ้าค่ะ”
ทั้งสองคนพูดคุยกันไม่รู้จบ ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องชีวิตประจําวันในบ้านทั้งสิ้น โจวเสาจิ่นก
ลับรู้สึกเบิกบานมีความสุขยิ่ง รู้สึกว่านี่ตนถึงจะดูเหมือนสะใภ้ของตระกูลเฉิง4856
วันเวลาของอู๋เป่าจางทางด้านประตูซีจื๋อกลับไม่ค่อยดีนัก
เห็นว่าใกล้ปีใหม่แล้ว หลังจากที่เฉิงลู่เอาเงินจากมือนางไปสามร้อยเหลี่ยงแล้ว ก็มาเอา
เงินจากนางอีกห้าร้อยเหลี่ยง ยังบอกนางด้วยว่า นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะมาเอาเงินจากนาง
ต่อไปจะไม่มารบกวนนางอีกแล้ว
แน่นอนว่านางย่อมไม่เชื่อ
และเฉิงลู่ก็มาหาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ละครั้งก็บีบคั้นมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มีครั้งหนึ่งทั้งๆ ที่
รู้ว่าเฉิงนั่วใกล้จะกลับมาแล้ว ก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ยอมไป ท่าทางคล้ายไม่ปลาตายก็ให้ตาข่าย
ขาดกันไปข้างหนึ่ง เขาทําให้นางตกใจมากจริงๆ ไม่เพียงนําเงินส่วนตัวที่เหลืออยู่ในมือสองร้อยเห
ลี่ยงออกมาให้เฉิงลู่เท่านั้น ยังเอาเครื่องประดับเล็กน้อย แอบให้บ่าวข้างกายของเฉิงนั่วไปยืมเงิน
จากร้านขายผ้าข้างๆ ร้านขายใบชาของตระกูลเฉิงมาอีกสามร้อยเหลี่ยงในนามของเฉิงนั่ว ถึงได้
ไล่เฉิงลู่ออกไปได้
ปลายปีเป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้เงินไปเสียทุกอย่าง
นางไหนเลยจะยังมีเงินอยู่ในมือ
หากว่าเฉิงลู่มาขอเงินจากนางอีก นางจําต้องแตกหักกับเฉิงลู่แล้ว
อู๋เป่ าจางกระวนกระวายใจ และก็เต็มไปด้วยความโกรธ เตรียมตัวมีเรื่องกับเฉิงลู่สักครั้ง
หนึ่ง
ผู้ใดจะรู้ว่าจวบจนถึงวันกินโจ๊กล่าปาในวันที่แปดเดือนสิบสอง เฉิงลู่ผู้นั้นก็ยังไม่ปรากฏ
ตัวออกมาให้เห็น
นี่ก็เปรียบเหมือนกับรองเท้าสองข้าง ถอดข้างหนึ่งออกมาแล้ว อีกข้างหนึ่งย่อมต้องถอด
ด้วยเช่นกัน แต่เจ้าไม่รู้ว่าจะถอดตอนไหน จึงต้องรอคอยอยู่อย่างนั้นด้วยใจที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย4857
นางรู้สึกกังวลเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ครุ่นคิดแล้วคิดอีก ให้สาวใช้คนสนิทข้างกาย
ของตนไปหาเฉิงลู่
ตกบ่าย สาวใช้ฝ่ าหิมะตกหนักกลับมา บอกอู๋เป่ าจางว่า “คุณชายเฉิงย้ายออกจากที่นั่น
ไปนานแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาย้ายไปอยู่ที่ใดแล้วเจ้าค่ะ!”
อู๋เป่ าจางนึกถึงเรื่องที่เฉิงลู่บอกก่อนหน้านี้ว่าต้องการหาทางเปลี่ยนสถานะเพื่อเข้าร่วม
การสอบขุนนางใหม่อีกครั้งขึ้นมา
หากเฉิงลู่ได้ยศตําแหน่งกลับมาใหม่อีกครั้งก็ดี
เขาก็จะได้ไม่กล้ามายุ่งกับตนอีก
ปีนี้นางคงจะได้เฉลิมฉลองปีใหม่อย่างสงบสุขแล้วกระมัง
อู๋เป่าจางโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
คนของร้านขายผ้าข้างๆ กลับมาหาต้องการให้ชดใช้หนี้
ถึงแม้จะกล่าวด้วยคําพูดสุภาพ แต่ความหมายโดยนัยก็คือไม่ว่าอย่างไรก็ต้องการให้นาง
คืนเงินก่อนวันปีใหม่เล็ก ไม่อย่างนั้นจะไปเอาเรื่องไปคุยกับเฉิงเวิ่น
อู๋เป่ าจางค้นทั่วทุกที่ แม้แต่เงินส่วนตัวของสาวใช้คนสนิทจํานวนยี่สิบเหลี่ยงก็เอาไปใช้
ถึงได้คืนเงินจํานวนนั้นไปได้ คิดว่ารอให้ถึงช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิตนค่อยไปขอยืมเงินจากคนของร้าน
ขายผ้าอีกสักสี่ห้าร้อยเหลี่ยง ขอเพียงถึงเวลาคืนเงินให้ก็ได้แล้ว ยังยืมสักสองสามร้อยเหลี่ยงมา
เป็นค่าใช้เปล่าๆ ได้โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ยอีกด้วย
เป็นเช่นนี้จนกระทั่งผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ไปแล้ว นางก็ไปยืมเงินที่ร้านขายผ้าร้านนั้นอีก
สามร้อยเหลี่ยง ถึงเดือนสองคืนเงินแล้ว เดือนสามก็ไปยืมอีก4858
ผู้อื่นก็มิใช่คนโง่เขลา จึงได้กลิ่นในทันที ตรงไปหาเฉิงนั่วแทน
เริ่มแรกเฉิงนั่วประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่ทําความเข้าใจจนทราบกระจ่าง
ชัดว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรแล้วดวงหน้าก็แดงกํ่าในทันที กล่าวขอโทษขอโพยอีกฝ่ายไม่หยุด
อีกฝ่ ายก็มิได้กล่าวอะไรมาก กล่าวเพียงว่าช่วงนี้กิจการของร้านตัวเองไม่ค่อยดีนัก ก็รอ
เงินมาหมุนเหมือนกัน เกรงว่าต่อไปคงไม่อาจให้พวกเขายืมเงินได้อีกแล้ว
เฉิงนั่วตอบรับอย่างยอมจํานน รู้สึกว่าอู๋เป่าจางทําขายหน้าไปจนหมดแล้ว กลับไปจึงไป
ทะเลาะกับอู๋เป่าจางครั้งหนึ่ง
อู๋เป่ าจางกลับตําหนิเฉิงนั่วที่หาเงินไม่ได้ ทําให้นางต้องเอาเงินส่วนตัวออกมาเป็น
ค่าใช้จ่ายภายในบ้าน
เฉิงนั่วรู้ว่าอู๋เป่ าจางมิได้มีสินติดตัวมากมาย และเขาก็มิใช่คนที่ใช้สินติดตัวของภรรยา
ประเภทนั้น ทั้งยังนึกถึงว่ากิจการของร้านขายใบชาและโรงนํ้าชาล้วนไม่ดีนัก ช่วงนี้ไม่ได้ให้เงินอู๋
เป่ าจางสําหรับใช้จ่ายภายในบ้านสักเท่าไรจริงๆ พูดสองสามประโยคแล้วรู้สึกว่าน่าเบื่อยิ่ง จึง
ออกไปรํ่าสุราเพียงลําพัง
อู๋เป่ าจางแสยะยิ้มครั้งหนึ่ง ตัดสินใจมอบหมายให้คนไปตามหาเฉิงลู่ที่สํานักศึกษามีชื่อ
ในเมืองจิงเฉิง กล่าวคือ ไม่หาเขาให้เจอ นางไม่วางใจ ผู้ใดจะรู้ว่าเขาจะโผล่ออกมาวันใดเพื่อหา
เรื่องอะไรให้นางอีก
สวรรค์ไม่ทําให้คนมีความตั้งใจพยายามผิดหวัง สุดท้ายคนที่นางมอบหมายงานให้ก็หา
เฉิงลู่เจอที่สํานักศึกษาหลวง
อู๋เป่าจางตกใจเป็นอย่างมาก4859
คนที่มารายงานให้นางทราบกลับบอกนางยิ้มๆ ว่า “สะใภ้ช่างมีวาสนาดียิ่ง พี่ชายที่พลัด
พรากจากกันนานหลายปีของท่านผู้นี้ตอนนี้ได้เป็นบุตรเขยของใต้เท้าเฉินแล้วขอรับ!”