ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 53 เกิดความสงสัย
ในตอนนี้หลังจากที่ได้ฟังรายงานของฝานฉีแล้ว โจวเสาจิ่นก็ตกใจจนทั้งตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นอย่างห้ามไม่อยู่ ภายในใจบังเกิดเมฆหมอกแห่งความสงสัยขึ้นมาหลายส่วน
นางส่งฝานฉีออกไป จากนั้นรีบไปที่เรือนหานชิวอย่างร้อนรน
โจวชูจิ่นกำลังช่วยฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจัดรายการของขวัญสำหรับช่วงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง เมื่อเห็นโจวเสาจิ่น ทั้งสองคนต่างก็แปลกใจยิ่ง
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนรีบถามขึ้นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นเอ่ยขึ้นพลางเหลือบมองไปที่พี่สาวครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าเพียงมาดูว่าพี่สาวทำอะไรอยู่เจ้าค่ะ”
ช่วงเวลานี้ โจวเสาจิ่นควรจะไปคัดลอกพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานถึงจะถูก
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเพียงแค่ฟังก็เข้าใจได้ในทันที สั่งให้สาวใช้จัดเตรียมน้ำชาและของว่าง แล้วอ้างว่าต้องไปสำรวจของขวัญต่างๆ ในคลังเก็บของ เพื่อปล่อยให้สองพี่น้องตระกูลโจวได้อยู่ในห้องรับแขกกันตามลำพัง
โจวเสาจิ่นดึงพี่สาวไปข้างๆ และกระซิบถามว่า “ท่านพี่ ท่านยังจำปีนั้นที่ท่านป้าสะใภ้ตระกูลจวงมาหาได้หรือไม่เจ้าคะ… ที่ข้าผลักเรื่องของท่านป้าให้ท่านพี่เป็นผู้จัดการ…”
“จำได้สิ!” โจวชูจิ่นฟังแล้วก็ถามขึ้นอย่างระแวดระวัง “ทำไมหรือ พวกเขามาหาเจ้าอีกแล้วหรือ เจ้าไม่ต้องใส่ใจ เพียงให้พวกเขามาหาข้าก็พอ! เอกสารที่ทางการได้ตัดสินในตอนนั้นท่านพ่อก็ฝากคนส่งมาให้แล้ว ครั้งนี้ถ้าหากพวกเขาคิดจะเอะอะโวยวายขึ้นอีกพวกเราก็ไม่กลัวอีกแล้ว”
“ไม่ใช่เรื่องนี้หรอกเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นลังเลและกล่าวขึ้นว่า “อยู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นมา เลยอยากถามถึงเรื่องราวในตอนนั้นว่าจัดการไปอย่างไรหรือเจ้าคะ”
น้องสาวค่อยๆ โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เริ่มมีความคิดอ่านเป็นของตนเอง ยิ่งกว่านั้นตระกูลจวงก็เป็นตระกูลฝั่งมารดาที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับน้องสาว บางทีนางอาจจะปล่อยวางไม่ได้อยู่บ้าง
โจวชูจิ่นคาดเดาไปพร้อมกับครุ่นคิด ในที่สุดก็เก็บคำพูดเกลี้ยกล่อมเอาไว้ในใจ ยิ้มกล่าวขึ้นว่า “ในตอนนั้นผู้ปกครองของเมืองจินหลิงเป็นสหายร่วมชั้นเรียนของท่านพ่อ ข้าจึงเขียนจดหมายไปบอกท่านพ่อ พ่อบ้านหม่าถึงได้นำนามบัตรเยี่ยมของท่านพ่อไปร้องขอให้ทางการช่วยออกหน้าจัดการแทน ถึงทำให้ท่านลุงตระกูลจวงเกรงกลัวได้”
โจวเสาจิ่นถามต่อไปว่า “เช่นนั้น สุดท้ายแล้วบ้านเดิมของตระกูลจวงขายไปแล้วหรือยังเจ้าคะ”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” โจวชูจิ่นก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงกล่าวอย่างอ้อมๆ ว่า “ไม่ว่าจะขายไปแล้วหรือไม่ก็ตาม สมบัติพวกนั้นล้วนเป็นของที่แบ่งให้ท่านลุงตระกูลจวงไปแล้ว ถือเป็นสมบัติของท่านลุงตระกูลจวง ต่อให้พวกเราไม่ยินยอม ก็ไม่เหมาะสมที่จะแทรกมือเข้าไปยุ่ง หรือว่ามีใครมากล่าวอะไรต่อหน้าเจ้าอีกใช่หรือไม่ เจ้าถึงได้อยากรู้เรื่องราวในอดีตของมารดา? เรื่องนี้เจ้าอย่าเป็นกังวลไปเลย สิ่งของเครื่องใช้ทุกอย่างที่มารดาเคยใช้นั้น ท่านพ่อได้ขอนำกลับมาทั้งหมดแล้ว ตอนนี้นำไปเก็บไว้ในจวนบรรพบุรุษตระกูลโจว ที่ท่านพ่อมีบัญชีรายการหนึ่งฉบับ ที่พ่อบ้านหม่าก็มีบัญชีรายการอีกหนึ่งฉบับ และท่านยายเองก็มีบัญชีรายการหนึ่งฉบับเช่นกัน รอถึงวันใดที่เจ้าต้องออกเรือนไป ท่านพ่อกล่าวเอาไว้แล้วว่า จะมอบให้เจ้าดูแลจัดการเองทั้งหมด หากว่าเจ้าปรารถนาจะนำติดตัวไปด้วย ก็สามารถนำทุกอย่างไปด้วย แต่หากเจ้าไม่ปรารถนาเช่นนั้น ก็ทิ้งไว้กับท่านพ่อ รอจนกระทั่งหลังจากที่ท่านพ่อครบร้อยปี ตามธรรมเนียมแล้วโลงศพของท่านพ่อกับท่านแม่ผู้ให้กำเนิดข้านั้นจะต้องนำไปฝังด้วยกัน ข้าวของเครื่องใช้ของท่านแม่ก็จะนำไปวางไว้ในโลงศพของท่านพ่อ ถือเป็นสิ่งของที่ต้องฝังร่วมกับท่านพ่อ สิ่งเหล่านี้ท่านพ่อได้สั่งการไว้ทั้งหมดแล้ว”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้ว ก็พลันรู้สึกปวดแปลบในใจ น้ำตารื้นขอบตา
ท่านพ่อปฏิบัติต่อท่านแม่…ดีกว่าที่ปฏิบัติต่อมารดาผู้ให้กำเนิดของพี่สาวเสียอีก ในชาติที่แล้วนางกระทำเรื่องราวเหล่านั้นลงไป ต้องทำให้ท่านพ่อใจสลายเป็นแน่
น้ำตาของนางไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่
โจวชูจิ่นหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาของนาง และกล่าวด้วยเสียงอบอุ่นว่า “เป็นอะไรไปหรือ คิดถึงท่านแม่อย่างนั้นหรือ ความจริงแล้วท่านพ่อรักพวกเรามาก ท่านเพียงแต่ไม่สามารถพาพวกเราไปอยู่ด้วยกับท่าน เจ้าก็อย่าโทษท่านเลย ถึงแม้ว่าท่านพ่อจะเป็นข้าราชการยศผิ่นขั้นสี่เจิ้ง ทว่าแต่ไหนแต่ไรตระกูลเฉิงก็เป็นข้าราชการกันมารุ่นสู่รุ่น หลานสาวของตระกูลเฉิง และยังมีบิดาเป็นข้าราชการผู้หนึ่ง ถึงจะมีสถานะพอให้เชิดชูได้…”
“ข้ารู้ดีเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นรับผ้าเช็ดหน้าในมือของพี่สาวแล้วเช็ดขอบตาอย่างลวกๆ “ข้าไม่โทษท่านพ่อเลยเจ้าค่ะ ข้ายังมีท่านพี่อยู่! ข้าเพียงแต่รู้สึกเศร้าเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นเองก็รู้สึกเศร้าใจเป็นครั้งคราวเช่นกัน
เพียงแต่นางเลือกที่จะไม่คิดมาก
“ใช่แล้ว!” นางโอบกอดน้องสาวเอาไว้ “เจ้ายังมีข้าอยู่ และข้าก็ยังมีเจ้าด้วยเช่นกัน!”
สองพี่น้องเศร้าเสียใจกันอยู่พักใหญ่ โจวเสาจิ่นเอ่ยถึงเรื่องหาวันไปเยี่ยมจวนบรรพบุรุษตระกูลโจวขึ้นมา “…ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่าท่านแม่เก็บอะไรไว้ให้ข้าบ้าง”
ในชาติก่อน บิดาก็วานคนนำสมบัติของมารดาผู้ให้กำเนิดนางส่งไปให้ที่จิงเฉิง ทว่าทั้งหมดนั้นกลับเป็นของประเภทอักษรภาพโบราณเล็กน้อยเท่านนั้น ส่วนพวกเครื่องประดับเงินทองที่เคยสวมใส่ ขิมและขลุ่ยกับชุดเครื่องประดับติดตัวเจ้าสาวที่เคยใช้กลับไม่มีเลยสักชิ้น ผู้ที่นำของมาส่งนั้นพอขนของวางไว้แล้วก็เดินจากไป นางเองก็ไม่กล้าสอบถามอะไร ทว่าในชีวิตนี้ นางกลับอยากเห็นสิ่งของเครื่องใช้ที่มารดาเหลือเอาไว้ให้สักหน่อย
โจวชูจิ่นจึงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าอย่าเป็นกังวลไปเลย ข้าจะจัดการให้เอง”
ท่านยายกับท่านป้าใหญ่เป็นผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูและให้การศึกษาพวกนางมา หากว่าพวกนางคิดถึงผู้บังเกิดเกล้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ท่านยายกับท่านป้าใหญ่ที่เลี้ยงดูพวกนางมาจะรู้สึกอย่างไร
โจวชูจิ่นจึงระวังเกี่ยวกับเรื่องอันละเอียดอ่อนเหล่านี้ยิ่งนัก ในยามปกติจึงพยายามจะไม่เอ่ยถึงบิดามารดาของตัวเองขึ้นมา โดยเฉพาะเรื่องของตระกูลโจวจะเอ่ยถึงน้อยยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นก็ทราบดีเช่นกัน นางกล่าวว่า “ข้าไปเมื่อไหร่ก็ได้เจ้าค่ะ ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องกดดัน”
“ข้าจัดการได้” โจวชูจิ่นกล่าว “ถ้าหากพอจะหาเวลาได้ ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยไปด้วยกัน”
จะกล่าวไปแล้ว เมื่อรวมชาติก่อนกับชาตินี้แล้วนางก็ไม่ได้กลับไปเยี่ยมเยียนจวนบรรพบุรุษตระกูลโจวมาอย่างน้อยยี่สิบปีแล้ว หากว่าสามารถไปเยี่ยมพร้อมกับพี่สาว ย่อมจะดีที่สุดอยู่แล้ว
โจวเสาจินยิ้มพลางพยักหน้าหงึกๆ ทั้งสองพี่น้องสนทนากันอีกครู่หนึ่ง จากนั้นสาวใช้จึงเดินเข้ามารินน้ำชาและวางของว่าง กระทั่งฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกลับมา โจวเสาจิ่นก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา แล้วเดินไปเรือนหานปี้ซาน
เนื่องจากภายในใจมีเรื่องให้ต้องกระวนกระวาย วันนั้นนางใช้เวลาไปทั้งบ่าย ทว่ากลับคัดลอกพระธรรมได้เพียงครึ่งหนึ่งของปกติเท่านั้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้กล่าวอะไร รอจนกระทั่งนางกลับจวนสี่ไป กลับเรียกเสี่ยวถานเข้ามา “รู้หรือไม่ว่าคุณหนูรองรู้สึกไม่สงบใจด้วยเรื่องอะไร”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ” เสี่ยวถานค้อมศีรษะ กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “คุณหนูรองปกติแล้วก็พูดจาน้อยยิ่ง ไม่ว่าจะกางกระดาษหรือฝนหมึกก็ไม่ยอมยืมมือของผู้อื่น บ่าวก็ได้แต่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูคอยรายงาน หรือช่วยคุณหนูรองทำธุระต่างๆ หรือหยิบสิ่งของบ้างเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้ถามอะไรต่ออีก ให้เสี่ยวถานกลับไป จากนั้นสั่งเฝ่ยชุ่ยว่า “เจ้าช่วยสอดส่องดูให้ที”
เฝ่ยชุ่ยขานตอบอย่างเคารพ ทว่าภายในใจกลับเสมือนกับแม่น้ำที่ม้วนตลบและทะเลที่พลิกย้อนกลับก็ไม่ปาน
ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นถึงผู้ใด? กล่าวได้ว่ามีเพียงพวกคุณหนูเซิงกับคุณชายใหญ่สวี่เท่านั้นที่สามารถได้รับความเอาใจใส่เช่นนี้จากนาง ตั้งแต่เมื่อใดกันที่คุณหนูรองตระกูลโจวก็สามารถเข้าไปอยู่ในสายตาของนางแล้ว?
นางคิดถึงสิ่งที่เฉิงสวี่ได้กระทำลงไป…คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าเพียงแค่ยกเลิกคาราวะยามเย็นของคุณชายใหญ่เท่านั้น
หรือว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะมีวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง?
นับตั้งแต่งานวันเกิดของท่านผู้นำตระกูลจวนรองวันนั้นเป็นต้นมา เฝ่ยชุ่ยก็หลบหน้าโจวเสาจิ่นอยู่บ้าง
ตอนนี้นางอดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้
จากนี้ไปควรปฏิบัติกับคุณหนูรองตระกูลโจวผู้นี้อย่างไรดี
เฝ่ยชุ่ยกลับออกไปจากเรือนหลักด้วยความคิดที่หนักอึ้ง
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เลย
รอจนถึงตอนที่ของขวัญเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างของโจวเจิ้งส่งมาถึง ในที่สุดสองพี่น้องตระกูลโจวจึงได้โอกาสกลับไปเยี่ยมจวนบรรพบุรุษตระกูลโจวครั้งหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกำชับพวกนางไม่หยุดว่า “ไม่มีคนอาศัยอยู่ที่นั่นมานานแล้ว กลัวว่าจะมียุงอยู่เป็นฝูง พวกเจ้ายืนอยู่บริเวณที่เป็นที่สูงในลาน เมื่อเห็นว่าพวกบ่าวรับใช้ปัดกวาดห้องหับใกล้เสร็จก็กลับมาได้แล้ว ข้าจะรอพวกเจ้าสองพี่น้องเพื่อรับมือเย็นพร้อมหน้ากัน”
ในส่วนของการเซ่นไว้บรรพชนนั้น เนื่องจากทั้งสองพี่น้องตระกูลโจวล้วนเป็นบุตรสาว จึงยังไม่ถึงคราวของพวกนางของกระทำ
“วางใจเถิดเจ้าค่ะ” โจวชูจิ่นยิ้มกล่าว “มีภรรยาของหม่าฟู่ซานติดตามไปด้วย คงไม่มีเรื่องอะไรเจ้าค่ะ”
ต่อให้เป็นเช่นนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็ยังไปส่งสองพี่น้องจนถึงหน้าประตู
จวนบรรพบุรุษของตระกูลโจวตั้งอยู่ในตรอกไท่ผิงบนถนนผิงเฉียวทางทิศใต้ของเมืองจินหลิง มีพื้นที่เพียงสี่ถึงห้าหมู่ ทว่ากลับมีทั้งสะพานเล็กและสายน้ำไหล มีเส้นทางคดเคี้ยวขนาดเล็กนำไปสู่มุมสงบสำหรับชมทิวทัศน์ มีศาลาและเรือนต่างๆ ต้นไม้เขียวขจีดอกไม้บานสะพรั่ง ช่างเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามยิ่งนัก ต้องนั่งเสลี่ยงจากซอยจิ่วหรูทะลุผ่านเมืองจินหลิง เดินทางกว่าครึ่งชั่วยามจึงจะถึง
ข้างนอกเสลี่ยงนั้นมีทั้งเสียงร้องขายของ เสียงสอบถามราคา เสียงตะโกนโหวกเหวก เสียงพูดคุยเจี๊ยวจ๊าว…ดังอื้ออึงให้ได้ยินอยู่ไม่ขาดสาย
โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ในเสลี่ยง หากว่าเป็นเมื่อในอดีต อย่างไรก็จะเปิดม่านเสลี่ยงกวาดสายตามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทว่าในตอนนี้ นางไม่เพียงไม่มีอารมณ์เท่านั้น แต่ยังบังเกิดความหวั่นกลัวเสมือนตกอยู่ในโลกอีกใบขึ้นมาอีกด้วย
ถ้าหากทุกอย่างเป็นอย่างที่นางคาดการณ์เอาไว้ นางควรจะทำอย่างไรดี?
โจวเสาจิ่นบิดผ้าเช็ดหน้า จนกระทั่งเสลี่ยงหยุดอยู่ภายในลานของจวนบรรพบุรุษตระกูลโจว ก็มีเสียงอันนอบน้อมของหม่าฟู่ซานแว่วเข้ามาให้ได้ยินข้างหู นางถึงได้ดึงสติกลับมา และได้ซือเซียงช่วยประคองลงจากเสลี่ยง
ป้ายหินสีครามเหนือประตูทางเข้าเป็นมันเงาเลื่อมทว่ากลับเป็นรอยกระดำกระด่าง ด้านหน้าห้องโถงเป็นประตูไม้ระแนงหกบานพับสีดำที่ติดเอาไว้ด้วยกระจกใส พุ่มของต้นไหวซู่อายุยืนทั้งสองข้างราวกับร่ม บดบังแสงภายในห้องไปมากกว่าครึ่ง แสงแดดของยามซื่อสือนั้นส่องเข้าไปไม่ถึง ทำให้มองเห็นโต๊ะกระถางธูปสีดำขลับ เก้าอี้มีเท้าแขน โต๊ะวางน้ำชาในห้องโถงได้อย่างเลือนราง ทว่าภาพเทพบุตรชี้ทางที่แขวนอยู่กลางห้องโถงภาพนั้น เนื่องจากเหลือพื้นที่สีขาวมากเกินไปจึงทำให้กลายเป็นวัตถุที่โดดเด่นสะดุดตาในห้องนั้นแทน
โจวเสาจิ่นถอนหายใจยาวๆ ครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้
กลิ่นหอมอบอวลภายในลานคือกลิ่นหอมของดอกกุหลาบจันทร์
สภาวะจิตใจที่ยากจะอธิบายของนางจึงเปลี่ยนเป็นสงบลงและปลาบปลื้มยินดีขึ้นมา
ที่นี่คือบ้านของนาง นางมีอะไรต้องกลัวหรือ!
โจวเสาจิ่นเดินตามหลังพี่สาว พลางฟังหม่าฟู่ซานรายงานเกี่ยวกับรายได้ของตระกูลในช่วงนี้ การส่งของขวัญเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง เนื้อหาในจดหมายของบิดา การตัดเย็บเสื้อผ้าสำหรับฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงของพวกสาวใช้ให้พี่สาวฟังด้วยความเคารพและกระตือรือร้นไปด้วย…ทว่าสายตากลับสำรวจมองไปรอบด้านไม่หยุด ประหนึ่งว่ามาเป็นครั้งแรก
โจวชูจิ่นรู้ขบขันกับท่าทางของนางจนหลุดหัวเราะ เนื่องจากยังมีธุระที่ต้องหารือกับหม่าฟู่ซาน กลัวว่านางจะทนรอไม่ไหว อีกทั้งปรารถนาให้นางได้ดูสิ่งของที่ตกทอดมาของตระกูลโจวตามลำพัง จึงสั่งภรรยาของหม่าฟู่ซานว่า “เจ้าติดตามคุณหนูรองไปดูที่ห้องเก็บของของมารดาสักหน่อยเถอะ คุณหนูรองอยากค้นหาของบางอย่างในนั้น ส่วนข้ากับพ่อบ้านหม่าจะไปพูดคุยกันที่ห้องการเงิน”
สองสามีภรรยาหม่าฟู่ซานตอบรับด้วยความนอบน้อม คนหนึ่งติดตามโจวชูจิ่นไปห้องการเงิน อีกคนติดตามโจวเสาจิ่นไปห้องเก็บของ
เมื่อเปิดห้องข้างขนาดห้าห้องออกแล้ว ก็เห็น**บห่อ โต๊ะเก้าอี้ ฉากกั้นต่างๆ วางซ้อนทับกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ภรรยาของหม่าฟู่ซานนำทางโจวเสาจิ่นไปยังฝั่งตะวันตกของกล่อง**บกองนั้น “นี่คือสิ่งของที่ฮูหยินทิ้งเอาไว้” นางชี้ไปที่กล่อง**บที่ติดกระดาษสีแดง “นี่คือเสื้อและกระโปรงขนสัตว์ที่ฮูหยินทิ้งเอาไว้…นี่คือกระดาษ พู่กันและหินหมึกที่ฮูหยินทิ้งเอาไว้ พร้อมด้วยขิมอีกตัวหนึ่ง…ส่วนนี่คือภาพอักษรโบราณที่ฮูหยินนำติดตัวมาจากบ้านเดิม…” สุดท้ายนางก็ดึงกุญแจหนึ่งพวงออกมาจากอก “ข้าได้เก็บพวกเครื่องประดับเงินและทองที่ฮูหยินทิ้งเอาไว้ ประเดี๋ยวข้าจะนำมาให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก” โจวเสาจิ่นไม่ได้มาที่นี่เพื่อดูสิ่งของเหล่านี้ นางกล่าวขึ้นว่า “สิ่งของเหล่านี้ข้าจะค่อยๆ สำรวจดูเองก็พอ ภายในจวนยังมีผู้อาวุโสที่เคยรับใช้ท่านแม่อยู่หรือไม่ ข้าอยากถามเกี่ยวกับเรื่องราวของท่านแม่ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่สักหน่อย”
ยามที่เด็กโตขึ้น ย่อมปรารถนาจะสืบหารากเหง้าของตน
ภรรยาของหม่าฟู่ซานก็ไม่ได้สงสัยนางแต่อย่างใด กล่าวขึ้นว่า “มีเจ้าค่ะ เดิมทีนางรับใช้อยู่ภายในเรือนของฮูหยิน ภายหลังจากที่ฮูหยินจากไป นายท่านมีความเมตตา ปล่อยพวกบ่าวที่ครั้งหนึ่งเคยรับใช้ฮูหยินให้เป็นไททั้งหมด ทว่านางไม่มีที่ไปจึงรั้งอยู่ที่นี่ เนื่องจากตระกูลของสามีแซ่อวี๋ พวกข้าจึงเรียนนางว่าอวี๋มามา ทุกวันนี้มีหน้าที่ดูแลดอกไม้ใบหญ้าภายในจวนโดยเฉพาะ หูก็ยังได้ยินชัด ดวงตาก็ยังไม่พร่ามัว และยังพูดได้ชัดเจน ข้าจะไปเรียกนางมาให้เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าตอบ
ภรรยาของหม่าฟู่ซานหันตัวไปนำหญิงชราสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าเนื้อหยาบสีฟ้าผู้หนึ่งเดินเข้ามา
หญิงชราอยากจะก้มลงกราบที่พื้นเพื่อคำนับนาง แต่โจวเสาจิ่นรีบจับนางเอาไว้ กล่าวว่า “ท่านเคยเป็นคนที่อยู่ให้การรับใช้ท่านแม่ของข้ามาก่อน อย่าต้องทำถึงขนาดนี้กับข้าเลย” จากนั้นก็สั่งซือเซียงให้จัดเตรียมที่นั่งให้อวี๋มามาที่หนึ่ง “ข้าเพียงถือโอกาสที่พี่สาวมีธุระต้องปรึกษาหารือกับพ่อบ้านหม่า ติดตามมาดูด้วยสักหน่อย ท่านอย่าได้เกรงใจข้าเลย!”
………………………………………………………………….