ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 531 เลื่อนยศตําแหน่ง
โจวเสาจิ่นฟังถ้อยคํานี้แล้วรู้สึกอิ่มเอมใจเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ข้าอยากไปกับท่านเจ้าค่ะ
…”
เฉิงฉือรู้ว่านางอยากช่วยเหลือเขา ยิ้มพลางหอมหน้าผากของนาง กล่าวเสียงอบอุ่นว่า
“ไม่ต้องหรอก เจ้าดูขุนนางใหญ่ซ่ง ฮูหยินซ่งเองก็ไม่ค่อยได้ออกไปเข้าสังคมสักเท่าไร สามีภรรยา
ทุกคู่ล้วนไม่เหมือนกัน มีที่เหมือนกับท่านแม่ของข้า และก็มีที่เหมือนกับฮูหยินซ่งเช่นนั้นด้วย เจ้า
เพียงสนใจทําสิ่งที่เจ้าชื่นชอบก็พอ ภรรยาเป็นที่เคารพตามสามี หากไม่มีท่านพ่อของข้า ต่อให้
ท่านแม่ของข้าเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีที่ให้แสดงความสามารถเช่นกัน และต่อให้ฮูหยินซ่งเป็นเช่นนี้ เดิน
ออกไปก็ได้รับการเคารพให้เกียรติจากผู้อื่นดุจเดียวกัน”
“แต่หากเป็นอย่างท่านแม่ได้ บางเรื่องก็คงจะง่ายดายขึ้นบ้างกระมัง” โจวเสาจิ่นกล่าวอ
ย่างลังเล “ข้าอยากไปกับท่าน ไม่อยากเป็นตัวถ่วงของท่าน”
“นั่นไม่เหมือนกัน” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “บางครั้งพูดมากก็ผิดพลาดมาก ไม่พูดก็ไม่ผิด หาก
เจ้าอยู่บ้านช่วยข้าแสดงความกตัญ�ูต่อท่านแม่ คลอดลูกน้อยให้ข้าอีกสักสองสามคนได้ ก็
เหมือนกัน”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง
เฉิงฉือนึกถึงว่าฮูหยินซ่งโปรดปรานโจวเสาจิ่นมากมาโดยตลอด จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “หาก
เจ้าอยากไปกับข้า เช่นนั้นพวกเราก็ไปตระกูลซ่งด้วยกันก็แล้วกัน หลังจากเยี่ยมนายท่านผู้เฒ่าซ่ง
แล้ว ข้าไปคุยกับขุนนางใหญ่ซ่ง ส่วนเจ้าไปเจอฮูหยินซ่ง พวกเราไปเยี่ยมพวกเขาด้วยกัน”
“เช่นนั้นไม่ต้องดีกว่าเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างกระดากอาย “ท่านไปตระกูลซ่ง
เพราะมีธุระ!”4931
“ก็มิได้ทําให้ธุระล่าช้าอะไร” เฉิงฉือกอดนางยิ้มๆ กล่าวว่า “รีบไปเปลี่ยนชุดเสีย พวกเรา
ไปตระกูลซ่งด้วยกัน”
“ได้จริงๆ หรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นยังคงกังวลใจเล็กน้อยว่าตัวเองจะเป็นภาระของเฉิงฉือ
“ได้จริงๆ!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “หากไม่ได้ ข้าย่อมไม่พาเจ้าไปอย่างแน่นอน”
เช่นนั้นนางก็จะตั้งใจอยู่พูดคุยกับฮูหยินซ่งก็แล้วกัน
ทั้งสองคนไปแจ้งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทราบครั้งหนึ่ง ให้นมอวิ้นเกอเอ๋อร์อีกครั้ง กําหนดเวลา
กลับมาแล้วก็ไปที่จวนตระกูลซ่งด้วยกัน
ที่จวนตระกูลซ่งทางด้านโน้นได้รับข่าวแล้ว ใต้เท้าซ่งและฮูหยินซ่งรอต้อนรับพวกเขาอยู่ที่
หน้าประตูใหญ่ด้วยตัวเอง
ทั้งสองคนไปพบนายท่านผู้เฒ่าซ่ง
นายท่านผู้เฒ่าซ่งไออย่างรุนแรง ทว่าสีหน้ากับตื่นเต้นยินดียิ่ง พูดถึงเรื่องขุดลอกแม่
นํ้าเหลืองขึ้นมาราวกับแจกแจงทรัพย์สมบัติของตระกูล แต่พอพูดถึงเรื่องเจ้าหน้าที่ผู้มีอํานาจที่ไค
เฟิ งกลับจําได้เพียงคร่าวๆ เท่านั้น เห็นได้ชัดว่านายท่านผู้เฒ่าซ่งพุ่งความสนใจไปที่งานจัดการ
แม่นํ้าทั้งหมดตั้งแต่ต้น
ทุกคนพูดคุยกันครู่หนึ่ง ดวงหน้าของนายท่านผู้เฒ่าซ่งเผยความอ่อนล้าออกมาให้เห็น
โจวเสาจิ่นและเฉิงฉือจึงลุกขึ้นกล่าวอําลา
ดวงหน้าของขุนนางใหญ่ซ่งพลันหดหู่ลงมา กล่าวกับเฉิงฉือว่า “ฎีกาเสนอการเลื่อน
ตําแหน่งถวายขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว การประชุมเช้าวันพรุ่งนี้ก็น่าจะมีการเตรียมการให้เจ้าแล้วถึง
จะถูก ด้านนายท่านผู้เฒ่าทางนี้ หากเจ้าไม่มีธุระก็มาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ เถิด พวกหมอหลวงของ
สํานักหมอหลวงกล่าวว่า สมัยหนุ่มนายท่านผู้เฒ่าใช้ชีวิตลําบากมากเกินไป ตอนไปขุดลอกแม่4932
นํ้าเหลืองก็ไม่ระมัดระวังสักเท่าไร จึงป่ วยจากการทํางานสะสม ตอนนี้ก็เพียงมาใช้ชีวิตในบั้น
ปลายเท่านั้นแล้ว!”
ตอนที่โจวเสาจิ่นเห็นสภาพของนายท่านผู้เฒ่าซ่งก็พอจะรู้สึกได้อยู่รางๆ แล้ว
ก่อนหน้านี้เฉิงฉือเคยจับชีพจรให้นายท่านผู้เฒ่าซ่งมาก่อน เห็นด้วยกับพวกหมอหลวง
จากสํานักหมอหลวง จึงเตรียมใจมานานแล้ว ต่อให้เป็นเช่นนั้น เขาฟังแล้วยังคงรู้สึกสลดหดหู่
กล่าวเสียงเบาว่า “ยามว่างข้าจะมาเยี่ยมนายท่านผู้เฒ่าบ่อยๆ”
ขุนนางใหญ่ซ่งพยักหน้า นัยน์ตามีนํ้าสั่นไหวระริก
โจวเสาจิ่นและฮูหยินซ่งมองแล้วต่างรู้สึกเศร้าใจ ทุกคนต่างไม่มีกะจิตกะใจพูดคุย เงียบ
ไปตลอดทางที่เดินกลับห้องโถง
ขุนนางใหญ่ซ่งและเฉิงฉือไปคุยกันที่ห้องหนังสือ ฮูหยินซ่งและโจวเสาจิ่นไปที่ห้องนั่งเล่น
ของเรือนหลัก ทางด้านขุนนางใหญ่ซ่งถามถึงแผนการของเฉิงฉือ ส่วนฮูหยินซ่งและโจวเสาจิ่น
พูดคุยเรื่องในบ้านกัน “…เจ้าใหญ่กําหนดวันแต่งงานเป็นวันที่หนึ่งเดือนเก้า ตอนวันแต่งเจ้าต้อง
มาให้เร็วสักหน่อย เจ้าใหญ่เป็นบุตรชายคนโต ตระกูลซ่งไม่ได้จัดงานรื่นเริงมาหลายปีแล้ว ญาติ
ของฝั่งฮูหยินคนเก่าทางด้านโน้นล้วนมากันหมด ข้ากลัวว่าถึงเวลาจะยุ่งจนจัดการไม่ไหว เจ้าต้อง
มาช่วยข้าด้วย”
ฮูหยินคนเก่าที่ฮูหยินซ่งกล่าวถึงคือภรรยาคนแรกของขุนนางใหญ่ซ่ง และก็คือญาติพี่
น้องจากฝั่งมารดาผู้ให้กําเนิดของซ่งมู่นั่นเอง
โจวเสาจิ่นขานรับคําซํ้าๆ ถามถึงลูกพี่ลูกน้องสาวทั้งสองคนของฝั่งโน้นขึ้นมา
ฮูหยินซ่งเบ้ปาก กล่าวว่า “แต่งงานกันหมดแล้ว ผู้หนึ่งแต่งกับเจ้าหน้าที่เสมียน ส่วนอีกผู้
หนึ่งแต่งกับพ่อค้า นายท่านทําหน้าเย็นชาอยู่ตลอด ตอนนี้ไม่ค่อยมาที่บ้านแล้ว…”4933
เสียงพูดของนางยังไม่ทันจบลง ก็มีเสียงอึกทึกหนึ่งดังเข้ามาจากด้านนอก
ฮูหยินซ่งขมวดคิ้วมุ่น กําลังจะถามว่าผู้ใด ม่านไข่มุกเสียดสีส่งเสียงดังขึ้น ซ่งเซินที่อายุ
สิบสามปีแล้วพุ่งตัวเข้ามา “พี่สาวเสาจิ่น พี่สาวเสาจิ่น ท่านมาตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดถึงไม่บอกแต่
เนิ่นๆ สักคํา อวิ้นเกอเอ๋อร์มากับท่านด้วยหรือไม่ขอรับ”
“เจ้าตัววายร้าย!” ฮูหยินซ่งหน้าเคร่ง “กล่าวอะไรของเจ้า”
ซ่งเซินมุ่ยปาก ดวงหน้างดงามเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้เม้มปากกลั้นหัวเราะ นึกถึงคําพูดที่เขาวิ่งเข้ามากล่าวกับนางตอนที่
เรื่องของตนและซ่งมู่ไม่ประสบผลสําเร็จว่า พี่ชายไม่สู่ขอท่าน ท่านรอข้าโตสักหน่อยแล้วข้าจะ
ไปสู่ขอท่านเอง ขึ้นมา จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “อาเซิน ตอนนี้ข้าเป็น ‘อาสะใภ้’ ของเจ้าแล้ว เจ้าจะเรียก
คนตามใจไม่ได้แล้ว!”
ซ่งเซินย่นคิ้วขึ้น ขานเรียก “ท่านอาสะใภ้” เสียงหนึ่งอย่างไม่เต็มใจ
โจวเสาจิ่นหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ฮูหยินซ่งเองก็ตบศีรษะของซ่งเซินเบาๆ “ยังไม่ทําความเคารพอาสะใภ้ของเจ้าอีก!
ร่างกายสกปรกยิ่งนัก ไปวิ่งซนที่ไหนมาอีกแล้ว”
“ข้าไม่ได้ไปเล่นซนนะขอรับ!” ซ่งเซินปัดมือของมารดาอย่างไม่พอใจ กล่าวว่า “วันนี้ข้า
ช่วยอาจารย์ทําธุระมา”
ตอนนี้เขาเรียนหนังสืออยู่ที่สํานักศึกษาซวงเฮ่อ ตัวสูงกว่าโจวเสาจิ่นแล้ว เพียงแต่ว่า
ร่างกายผ่ายผอมยิ่งนัก คล้ายกับกิ่งหลิวก็ไม่ปาน ทําให้คนเป็นห่วงว่าเขาผอมและอ่อนแอเกินไป
จะล้มพับลงไปได้4934
ฮูหยินซ่งกล่าว “เอาละๆ รีบไปพักผ่อนเถิด! ประเดี๋ยวมารับมื้อเย็นกับอาสะใภ้”
ซ่งเซินเดินจากไปอย่างยินดีลิงโลด
ฮูหยินซ่งกล่าวกับโจวเสาจิ่นอย่างขออภัยว่า “เด็กคนนี้ดื้อไปบ้าง ข้าว่ากล่าวเขาไปหลาย
ครั้งแล้วเขาก็ไม่ฟัง…”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “เห็นเขาตัวสูงอย่างนี้ แต่ความจริงแล้วเป็น
เพียงเด็กที่ยังไม่ได้เข้าพิธีสวมกวาน ไหนเลยจะไม่ดื้อไม่ซนกันเจ้าคะ”
ทั้งสองคนพูดคุยหัวเราะกัน กระทั่งซ่งมู่กลับมา บุรุษและสตรีรับประทานมื้อเย็นแยกกัน
คนละโต๊ะ จากนั้นโจวเสาจิ่นและเฉิงฉือก็เร่งเดินทางกลับ
อวิ้นเกอเอ๋อร์กําลังแผดเสียงร้องไห้อย่างดัง ฮูหยินผู้เฒ่ากัว แม่นมและบ่าวไพร่ทั้งหมด
ต่างล้อมอยู่ข้างกายเขาหลอกล่อให้เขาดีใจ
เห็นโจวเสาจิ่นกลับมา คนในห้องต่างรู้สึกโล่งอก ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ่งแล้วใหญ่ เช็ดเหงื่อบน
หน้าผากพลางกล่าว “เสาจิ่น ไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้แล้ว ต้องให้เขาปรับตัวอยู่กับแม่นมให้
ได้ถึงจะถูก”
สภาพของบุตรชายทําให้โจวเสาจิ่นหัวใจแตกสลาย ไม่รู้ว่าเสียใจเพียงใดที่รั้งอยู่
รับประทานมื้อเย็นที่ตระกูลซ่ง รีบรับอวิ้นเกอเอ๋อร์มา ปลอบเขาไปด้วย กล่าวไปด้วยว่า “ก่อนนี้
เห็นเขาล้วนกินนมเวลานี้ ก็เลยกลับมาเวลานี้…”
“ไม่เป็นไรๆ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ “เด็กผู้ชายก็ต้องมีร้องไห้ ส่งเสียงดัง แรงเยอะ ดู
จากเรี่ยวแรงของเขาแล้ว ก็เพียงร้องโวยวายเพราะต้องการเจ้าเท่านั้น” ขณะที่กล่าว ก็ลูบอวิ้นเกอ
เอ๋อร์ที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของโจวเสาจิ่นอย่างเชื่อฟังพร้อมกล่าวขึ้นอย่างภูมิใจว่า “แต่อย่างไรก็4935
ตาม เด็กคนนี้เฉลียวฉลาดจริงๆ รู้ว่าพวกข้าไม่ใช่เจ้า ปลอบอย่างไรก็ไม่เป็นผล เด็กทั่วไปต้องสี่ถึง
ห้าเดือนกว่าจะจดจําคนได้!”
“จริงหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นฟังแล้วสีหน้าเป็นประกาย
เฉิงฉือกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าว่าเพราะดื้อมากกว่ากระมัง”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ชอบใจ กล่าวว่า “พวกเจ้าสามคนล้วนเป็นข้าที่เลี้ยงโตมา เจิงเจี่ยเอ๋อร์
และเซียวเจี่ยเอ๋อร์ข้าก็เลี้ยงโตมา แม้แต่เซิงเจี่ยเอ๋อร์ อายุครบหนึ่งขวบแล้วก็มาอยู่กับข้า เด็กเป็น
เช่นไร ข้าจะยังไม่รู้อีกหรือ”
“จริงด้วยเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ท่านแม่เป็นคนมีประสบการณ์ ย่อมดูไม่ผิดเจ้า
ค่ะ”
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวสงบลง
กระทั่งกลับถึงเรือน เฉิงฉือบีบจมูกโจวเสาจิ่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “ช่างสมกับเป็นบัณฑิตไม่โอ้
อวดนั่นจริงๆ ที่จริงเจ้าเป็นคนขี้ประจบประแจงผู้หนึ่งนี่เอง ถึงว่าท่านแม่ของข้าถึงโปรดปรานเจ้า
ขนาดนี้!”
โจวเสาจิ่นอุ้มลูกอยู่ จะหลบก็หลบไม่พ้น กล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “ประจบประแจงอะไรกัน
มิใช่เพราะท่านบอกเอาไว้หรือเจ้าคะว่าให้ข้ากตัญ�ูต่อท่านแม่ดีๆ นี่มิใช่เรื่องใหญ่อะไร ปล่อยไป
ตามคําของท่านแม่ไม่ได้หรือ เหตุใดต้องขัดท่านแม่ทําให้นางไม่ชอบใจด้วย”
เฉิงฉือหัวเราะฮ่า กล่าวว่า “เสาจิ่น เจ้าช่างเป็นคนมีวาสนาดีนัก! หากเป็นเมื่อหลายปี
ก่อน ถ้ามีคนตอบท่านแม่ข้าเช่นนั้น ท่านแม่ข้าต้องปรายตามองไปครั้งหนึ่ง แล้วก็รีบดึงเจ้าเข้าไป
รวมกับคนที่ชอบประจบสอพลอกองนั้นและไม่คบค้าสมาคมกับเจ้าอีกเลยเป็นแน่ ตอนนี้เพราะ
อายุมากแล้วจริงๆ แก่เด็กก็ไม่ต่างกัน แม้เจ้าเป็นเช่นนี้ก็หลอกล่อนางให้ดีใจได้”4936
โจวเสาจิ่นทําหน้าหนากล่าวโอ้อวดว่า “หาไม่แล้วจะได้แต่งกับซื่อหลางได้อย่างไร”
เฉิงฉือหัวเราะฮ่าดังลั่น โน้มตัวลงมากล่าวที่ข้างหูนางอย่างคลุมเครือว่า “เรียกท่านน้าฉือ
ดีกว่า!”
โจวเสาจิ่นถลึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง อุ้มลูกกลับไปที่ห้องชั้นใน นั่งลงมาให้นมอวิ้นเกอเอ๋อร์
ปรากฏร่างคนผู้หนึ่งขึ้นมาในกระจก นัยน์ตาเปี่ยมล้นไปด้วยความสิเน่หา ทําให้นางหน้า
แดงขึ้นมาอีกครั้ง ไม่กล้ามองอีกแม้แต่ครั้งเดียว
กระทั่งอวิ้นเกอเอ๋อร์กินอิ่มและถูกกล่อมจนหลับไปแล้ว แม่นมก็เข้ามาอุ้มลูกไปที่ห้อง
ข้างๆ
เฉิงฉืออุ้มโจวเสาจิ่นไปร่วมรักในผ้าห่มนกคู่ยวนยาง กระทั่งเขารู้สึกอิ่มเอมใจสมดัง
ปรารถนา ตีกลองบอกเวลายามสามแล้วถึงได้ไปอาบนํ้าใหม่อีกครั้งและนอนหลับไป
ผลปรากฏว่าเช้าวันรุ่งขึ้นโจวเสาจิ่นหลับสนิทจนตะวันขึ้นโด่งแล้วถึงตื่นขึ้นมา ลุกขึ้นมาก็
พบกับรอยยิ้มยินดีของฝานหลิวซื่อ
คาดว่าทุกคนล้วนรู้ว่าเมื่อวานนางทําอะไรกันแล้วกระมัง
โจวเสาจิ่นหลบอยู่ในผ้าม่านราวกับคนปิดหูขณะขโมยระฆังอยู่ครู่ใหญ่ถึงได้ลุกขึ้นด้วย
ความอับอาย หลังจากให้นมอวิ้นเกอเอ๋อร์แล้วก็ไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
บุตรสะใภ้และบุตรชายรักใคร่กลมเกลียวกัน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยินดีที่ได้เห็นเช่นนั้น ให้เจินจู
ยกนํ้าแกงไก่ดําไร้นํ้ามันมาให้อย่างยิ้มแย้ม “รีบดื่มเสีย บํารุงร่างกายได้ดีที่สุด” จากนั้นรับอวิ้น
เกอเอ๋อร์ไปอุ้มไว้ในมือ
โจวเสาจิ่นดื่มนํ้าแกงไก่ด้วยใบหน้าแดง4937
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวกับอวิ้นเกอเอ๋อร์ว่า “พ่อของเจ้ากลับมาแล้ว อีกไม่นานเจ้าก็จะมี
น้องชายหรือไม่ก็น้องสาวแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่ อวิ้นเกอเอ๋อร์ของพวกข้าชอบน้องชายหรือว่า
น้องสาวกันน้า ย่าว่าเอาน้องสาวสักคนดีกว่า ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง คู่กันพอดี…”
หลี่ว์มามาและคนอื่นๆ ต่างหัวเราะร่า
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นยิ่งแดงมากขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวกับนางยิ้มๆ ว่า “เจ้าสี่กลับมาแล้ว ข้าคิดว่าจะรับอารอง ครอบครัว
พี่ชายใหญ่และครอบครัวพี่ชายรองของเจ้ามากินข้าวด้วยกันสักมื้อหนึ่ง ถือเป็นการเลี้ยงต้อนรับ
เจ้าสี่”
โจวเสาจิ่นเองก็คิดว่าควรจะรวมตัวกันสักครั้งหนึ่ง จึงขานรับคํายิ้มๆ หารือเรื่องวันพรุ่งนี้
กับฮูหยินผู้เฒ่ากัว ด้านหนึ่งให้คนนําเทียบไปเชิญทั้งสองครอบครัว อีกด้านหนึ่งก็เรียกปี้อวี้เข้ามา
หารือเรื่องรายการอาหารสําหรับงานเลี้ยง พริบตาเดียวก็ถึงช่วงบ่าย คนที่นําเทียบเชิญไปส่งกลับ
มาบอกว่าทุกคนมาร่วมงานได้ โจวเสาจิ่นจึงสั่งการให้ชุนหว่านไปหยิบกุญแจห้องเก็บของมาให้
ปี้อวี้ เปิดไปเอาพิมพ์ทําขนม ถ้วยชามและตะเกียบสําหรับแขก ไหวซานก็กลับมาแจ้งข่าวดีว่า
“องค์ฮ่องเต้ทรงให้ฝ่ ายโฆษกเขียนพระบรมราชโองการแล้ว นายท่านสี่สร้างผลงานขุดลอกแม่
นํ้าเหลือง ให้สํานักราชเลขาธิการเลื่อนขั้นให้เป็นเจ้าหน้าที่กรมตรวจตราฝ่ ายซ้ายยศขั้นสี่บน
สังกัดกรมการตรวจตรา ผู้ตรวจฎีกาประทับตราเรียบร้อยแล้ว รอเพียงพรุ่งนี้เจ้าหน้าที่ส่งเอกสาร
มาให้อย่างเป็นทางการแล้วนายท่านสี่ก็ไปรับตําแหน่งขั้นสี่บนที่กรมขุนนางได้แล้ว ใต้เท้าหลาย
ท่านของกรมการตรวจตราและใต้เท้าอีกหลายท่านของกรมโยธาต่างบอกว่าต้องการเลี้ยงข้าว
นายท่านสี่ เย็นนี้นายท่านสี่ไม่ได้กลับมารับมื้อเย็น จึงให้ข้ากลับมาแจ้งให้ทราบเป็นการเฉพาะ
ขอรับ”4938
“นี่ช่างวิเศษยิ่งนักๆ!” แม้นบอกว่าตั้งหมุดหมายไว้ที่ตําแหน่งนี้อยู่แล้ว แต่ตอนที่เรื่องราว
ได้รับการยืนยันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรือว่าโจวเสาจิ่น ล้วนดีใจแทนเฉิงฉือจากใจจริง
อย่างอดไม่ได้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงกับบอกโจวเสาจิ่นว่า “รีบเขียนจดหมายไปบอกนายท่านที่บ้าน
เจ้าด้วยสักฉบับหนึ่ง ให้นายท่านที่บ้านเจ้าได้ดีใจด้วย”