ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 532 ผูกสัมพันธ์
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วรีบไปแจ้งข่าวดีให้บิดา และคิดได้ว่าพรุ่งนี้เชิญคนจากครอบครัวของ
เฉิงจิงและเฉิงเว่ยมารับประทานอาหาร ได้แสดงความยินดีให้เฉิงฉือด้วยพอดี จึงปรึกษาฮูหยินผู้
เฒ่ากัวว่า “ให้คนมาทําการแสดงแล้วก็อาจารย์หญิงมาเล่านิทานดีหรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชอบฟังอาจารย์หญิงเล่านิทาน เฉิงจิงและคนอื่นๆ ล้วนชอบฟังงิ้ว
“ได้!” เรื่องราวน่ายินดีทําให้คนมีชีวิตชีวา ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอนุญาตด้วยความยินดี กล่าว
ด้วยว่า “เชิญเหนียงจื่อของตระกูลเจิ้งมาเล่านิทานเถิด”
เหนียงจื่อตระกูลเจิ้งเป็นสตรีสามพี่น้อง พี่สาวคนโตและพี่สาวคนรองตาบอด เล่านิทาน
ด้วยกัน น้องสาวคนที่สามเล่านิทานไม่เป็ น ดูแลการใช้ชีวิตประจําวันให้พี่สาวทั้งสองคน
รับผิดชอบพาพวกพี่สาวออกไปเล่านิทานข้างนอก ทั้งสามพี่น้องล้วนเป็นคนอายุสามสิบกว่าปี
แล้วทั้งสิ้น มิได้แต่งงาน มีชื่อเสียงที่จิงเฉิงอย่างยิ่ง ฮูหยินเผิงของฝ่ ายกองทัพและอาชาผู้นั้นเป็น
คนแนะนํามา
โจวเสาจิ่นรีบให้คนนําเทียบไปเชิญ กลัวว่าหากล่าช้าแล้วเหนียงจื่อตระกูลเจิ้งจะรับงาน
ของครอบครัวอื่นไปก่อน
ปรากฏว่าช้าไปเล็กน้อยจริงๆ เหนียงจื่อตระกูลเจิ้งตกปากรับคํางานวันประสูติของ
พระธิดาองค์โตของตําหนักองค์ชายสี่ไปแล้ว จึงปรึกษากับซางมามาที่มาเชิญนางว่า “ค่อยไป
เยี่ยมเยียนบ้านของท่านในวันมะรืนได้หรือไม่ คิดเสียว่าไปพูดคุยเรื่องเก่าแก่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้
เฒ่า”
ความหมายก็คือไม่ต้องจ่ายเงิน4940
โจวเสาจิ่นรู้ว่าคนที่เดินทางไปทั่วเจียงหูอย่างพวกนางนี้ยากลําบากนัก กลัวว่าการตอบ
ไม่ดีครั้งหนึ่งอาจทําให้คนขุ่นเคืองใจได้ จึงอดทนอดกลั้นเสียมาก นอกจากนี้เหนียงจื่อตระกูลเจิ้ง
ทั้งสามก็ตอบรับผู้อื่นไปก่อนแล้ว จึงเป็นคนตัดสินใจเองว่า “เช่นนั้นก็เชิญพวกนางมาเล่านิทาน
วันมะรืนก็แล้วกัน นานๆ ทีท่านแม่จะดีใจมีความสุขขนาดนี้ พวกเราก็สนุกสนานกันสักสองวันก็
แล้วกัน”
ซางมามารับคํายิ้มๆ
โจวเสาจิ่นไปบอกฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “…คณะร้องเทียนถังขับขานหนังสือสวรรค์ได้ บ้าน
ของพวกเราก็ไม่ได้รื่นเริงเช่นนี้มานานแล้ว”
ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีอวิ้นเกอเอ๋อร์คนที่นางเฝ้ารอคอยมานานอยู่ด้วยแล้ว ไม่ว่าเรื่อง
อะไรล้วนคิดถึงแต่อวิ้นเกอเอ๋อร์ ได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนี้ก็ดี จะได้หลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่า
เรือนชั้นในเล่านิทานเรือนชั้นนอกร้องงิ้ว จนทําให้อวิ้นเกอเอ๋อร์ของพวกเราตกใจ”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นหัวเราะ
กระทั่งวันรุ่งขึ้น เหนียงจื่อตระกูลเจิ้งทั้งสามคนกลับมาหาตั้งแต่เช้าตรู่ ยังมีหมัวมัวแต่ง
กายสง่างามจากตําหนักขององค์ชายสี่มาด้วยอีกผู้หนึ่ง นางเรียกขานตัวเองว่าเป็นแม่นมของพระ
ชายาขององค์ชายสี่ หลังจากที่ทําความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างนอบน้อมแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า
“พระชายาองค์ชายสี่ของพวกข้าไม่ทรงทราบว่าวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญเหนียงจื่อตระกูลเจิ้งมาเล่า
นิทาน ตรัสว่าองค์หญิงยังทรงพระเยาว์ ไม่กล้ารับการเคารพจากฮูหยินผู้เฒ่าเช่นนี้ได้ วันนี้จึงทรง
ให้เหนียงจื่อตระกูลเจิ้งมาเล่านิทานให้ฮูหยินผู้เฒ่า และถือเป็นการให้องค์หญิงได้อานิสงส์ความ
โชคดีจากฮูหยินผู้เฒ่าด้วย”
ทั้งครอบครัวเงียบงันไปด้วยความประหลาดใจ4941
บนโลกหล้านี้ไหนเลยจะมีเหตุผลให้ราชวงศ์ต้องหลีกทางให้ขุนนางกัน
เฉิงจิงได้ยินแล้วรีบให้เฉิงสวี่ไปกล่าวขอบคุณ “ข้าราชบริพารไม่อาจสานสัมพันธ์กับ
กรมวัง เหตุผลดุจเดียวกัน ขุนนางอย่างพวกเรานี้ก็ไม่อาจจะใกล้ชิดกับองค์ชายพระองค์ใดมาก
เกินไป พวกเจ้าก็ทําเสมือนว่าข้ายังมาไม่ถึง ไปกล่าวขอบพระทัยองค์ชายสี่ที่ตําหนักองค์ชายสี่
แทนพวกข้า”
เนื่องจากเฉิงสวี่มีบิดาเป็นมุขมนตรีอยู่ในสํานักราชเลขาธิการ ต่อให้เขาจะไร้เดียงสากว่า
นี้ แต่คนที่ได้ติดต่อด้วยทุกวันล้วนเป็นคนที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของรัชสมัยนี้กลุ่มนั้นทั้งสิ้น เพียง
บิดาเอ่ยปากเขาก็รู้เจตนาของบิดาแล้ว พยักหน้าแล้วรีบเข้าไปในเรือนชั้นใน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง มิได้บ่ายเบี่ยงกันไปมากับคนของตําหนักองค์ชายสี่
แต่เตรียมของขวัญมากมายขอให้หมัวมัวผู้นั้นนํากลับไปด้วย “…วันนี้ในบ้านมีแขกจึงปลีกตัวไป
ไม่ได้ รอสักสองวันข้าเสร็จเรื่องยุ่งทางนี้แล้ว จะไปโขกศีรษะขอบคุณนํ้าพระทัยของพระชายา”
เห็นได้ชัดว่าหมัวมัวผู้นั้นเองก็เป็นคนมีประสบการณ์อยู่หลายส่วน รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัว
เพียงพูดไปตามมารยาทเท่านั้น รีบกล่าวว่า “ไม่กล้ารับคําขอบคุณจากฮูหยินผู้เฒ่า ตอนข้า
ออกมาพระชายาของพวกข้าได้ทรงบัญชาเอาไว้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้อาวุโส หากจะกล่าวเรื่อง
เยี่ยมเยียน ก็ควรเป็นพระชายาของพวกข้าทรงมาเยี่ยมเยียนฮูหยินผู้เฒ่าถึงจะถูก”
เดิมทีทุกคนต่างไม่สนิทสนมกันอยู่แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวโอภาปราศรัยกับนางตาม
มารยาทสองประโยค เมื่อครู่ตอนที่พวกนางกําลังพูดคุยกันอยู่นั้นโจวเสาจิ่นก็กระซิบกับซางมามา
ไปสองสามประโยค ซางมามาเดินออกไปอย่างเบามือเบาเท้า เวลานี้เดินเข้ามาอีกครั้งอย่างเบา
มือเบาเท้า ในมือยังถือกล่องหนึ่งมาด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเงยหน้ามองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง นัยน์ตามีแววพึงพอใจสายหนึ่งวาบผ่าน
ยกจอกชาพลางกล่าว “ก่อนนี้ไม่รู้ว่าเป็นวันประสูติขององค์หญิง ขออภัยที่ข้าไม่อาจไปกล่าว4942
ถวายพระพรองค์หญิงได้ จึงขอรบกวนหมัวมัวนําสิ่งของเล็กน้อยนี้กลับไปให้องค์หญิงถือเป็นคํา
ถวายพระพรแล้ว”
ขณะที่นางกล่าว ซางมามาก็รีบถือกล่องมาให้
หมัวมัวผู้นั้นตะลึงงันเล็กน้อย กล่าวขอบคุณยิ้มๆ พูดคุยกันอีกสองสามประโยคแล้วจึง
ลุกขึ้นกล่าวอําลา
โจวเสาจิ่นบอกให้ซางมามาตามไปโขกศีรษะให้องค์หญิงแทนพวกนางสักครั้งหนึ่ง
ซางมามารับคํายิ้มๆ เดินทางไปตําหนักขององค์ชายสวี่พร้อมกับเฉิงสวี่
หัวคิ้วของฮูหยินผู้เฒ่ากัวผูกเป็นปมมุ่น กล่าวอย่างฉงนสงสัยว่า “เหตุใดคนของตําหนัก
องค์ชายสี่ถึงคิดจะผูกสัมพันธ์กับพวกเราด้วย”
คนมีปัญญาแค่มองก็รู้แล้วว่าตําหนักขององค์ชายสี่กําลังแสดงความมิตรกับตระกูลเฉิง
หยวนซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “เกรงว่าคงมีเรื่องอะไรต้องการขอร้องนายท่านใหญ่กระมัง”
ราชวงศ์ก็มีกฎระเบียบของราชวงศ์ แต่หากเกี่ยวโยงมาถึงแวดวงขุนนางแล้ว องค์ชายสี่ที่
ไม่ได้รับการโปรดปรานผู้หนึ่งอย่างเขาก็ไม่สะดวกสบายเท่าเฉิงจิงจริงๆ
พอรู้ว่าคนของตําหนักองค์ชายสี่กลับไปแล้ว เฉิงจิงก็เร่งเข้ามาหา ได้ยินแล้วรู้สึกลําบาก
ใจเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวว่า “ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร…เขาไม่พูด พวกเราก็ไม่จําเป็นต้องเร่ง
ปีนขึ้นไป หากเขามีเรื่องจริงๆ จะช้าเร็วก็ต้องมาหาข้าอยู่ดี”
ทุกคนพยักหน้า
แม้นจะมีฉากเล็กๆ ฉากหนึ่งเช่นนี้มาคั่น ก็มิได้ทําลายความสนุกสนานของทุกคน4943
กระทั่งกูไหน่ไนที่แต่งออกไปแล้วทั้งสามท่านของตระกูลเฉิงพาสามีและลูกมาถึง จึง
แยกกันรับประทานมื้อเที่ยงบุรุษโต๊ะหนึ่งและสตรีโต๊ะหนึ่ง จากนั้นก็ไปที่สวนดอกไม้ของถนน
กลาง ชมการแสดงทั้งชั้นบนและชั้นล่าง
รุ่ยเกอเอ๋อร์ของเฉิงเซิงยังเป็นเพียงเด็กน้อยที่ฟันเพิ่งขึ้นผู้หนึ่ง อวิ้นเกอเอ๋อร์ของโจวเสาจิ่
นจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง กู้หนิงของเฉิงเจิงปีนี้อายุสิบเอ็ดขวบ กู้จงเองก็แปดขวบ อาเป่าและอาเหรินผู้
หนึ่งห้าขวบ อีกผู้หนึ่งสามขวบ กู้หนิงนั้นเรียน ‘หลักคําสอนทางสายกลาง’ จบแล้ว กําลังเรียนการ
เขียนความเรียงแปดตอนกับบิดา เป็นเด็กที่มีความเป็นผู้ใหญ่ผู้หนึ่ง กู้จงและอาเป่ ายังพอเล่น
ด้วยกันได้ อาเหรินจึงเอาแต่วิ่งวนรอบกู้จงและอาเป่า ส่วนรุ่ยเกอเอ๋อร์ตั้งหน้าตั้งตาจะดึงพู่สีแดง
บนผ้าห่อตัวของอวิ้นเกอเอ๋อร์ พอไม่ให้ดึงก็แผดเสียงร้องไห้ บ่าวรับใช้กล่อมอย่างไรก็ไม่หยุด ฝาน
หลิวซื่อรีบให้คนไปหาพู่ชิ้นหนึ่งมาให้เขาเล่น เขากลับไม่ยอม ต้องการดึงพู่ของอวิ้นเกอเอ๋อร์ให้ได้
ดึงดูดให้อาเหรินเองก็เข้ามาดึงด้วย
อวิ้นเกอเอ๋อร์ที่นอนหลับไปแล้วถูกรบกวนจนตื่นขึ้นมา
เขาแผดเสียงร้องไห้ออกมา เสียงดังกังวานทําให้เด็กเล็กทั้งกลุ่มล้วนหยุดร้องไห้กันหมด
กู้หนิงยิ่งแล้วใหญ่วิ่งเข้ามาอย่างเก้ๆ กังๆ พลางเรียก “ท่านน้าเล็ก” และหลอกล่ออวิ้นเกอเอ๋อร์ว่า
ไม่ร้องนะไปด้วย และตําหนิแม่นมของอวิ้นเกอเอ๋อร์ไปด้วยว่า “ยังไม่อุ้มท่านน้าเล็กขึ้นมาให้นม
เขาอีก”
แม่นมไปให้นมอวิ้นเกอเอ๋อร์อย่างตื่นตระหนก
อวิ้นเกอเอ๋อร์งับคําหนึ่งแล้วค้นพบว่ามิไม่มารดาของตน ก็คายออกแล้วเริ่มร้องไห้อีกครั้ง
ไม่ว่าจะหลอกล่ออย่างไรก็ไม่หยุด!
กู้หนิงเหงื่อออกท่วมศีรษะ4944
กู้จงและอาเป่ายืนดูความครึกกครื้นอยู่ข้างๆ ส่วนอาเหรินลูบมือเล็กของอวิ้นเกอเอ๋อร์ป
ลอบโยนเขาเลียนแบบท่าทางของกู้หนิง
รุ่ยเกอเอ๋อร์เห็นอวิ้นเกอเอ๋อร์ร้องไห้ เขาก็ร้องไห้ตามไปด้วยอีกคน
ภายในห้องวุ่นวายยิ่งนัก
สาวใช้ไปหาโจวเสาจิ่นด้วยเหงื่อท่วมศีรษะ
โจวเสาจิ่นอุ้มอวิ้นเกอเอ๋อร์มาหลอกล่อกว่าครู่ใหญ่เขาถึงได้สะอึกสะอื้นและหยุดร้องไห้
ลง
ส่วนรุ่ยเกอเอ๋อร์ถูกเฉิงเซิงที่เร่งเข้ามาอย่างรวดเร็วอุ้มหนีไปปลอบอยู่ในห้องข้างที่อยู่ถัด
จากที่นี่ไปหนึ่งห้อง หลังจากปลอบจนหยุดร้องไห้แล้วถึงอุ้มเข้ามา
ฝานหลิวซื่ออดเช็ดเหงื่อที่หน้าผากไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับหัวเราะฮ่าไม่หยุด กล่าวกับชิวซื่อว่า “เด็กๆ เต็มห้องนี้ อีกไม่กี่ปีก็จะ
แต่งภรรยามีบุตร คงจะยิ่งครึกครื้นแล้ว”
ทุกคนดูแล้ว ห้องเต็มไปด้วยเด็กน้อยจริงๆ นึกภาพตามที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวมาแล้ว
ต่างพากันหัวเราะขึ้นมา
หยวนซื่อหัวเราะตามไปด้วยสองสามเสียงสีหน้าก็เริ่มแข็งค้างขึ้นมาเล็กน้อย
หมิ่นเจียมองแล้วยิ้มเย็นชา ถอยออกมาเงียบๆ สองสามก้าว หลีกเลี่ยงไม่ให้นางเอา
ความโกรธมาลงที่ตัวเอง
หลายวันก่อนเฉิงเจิงและเฉิงเซียวกลับบ้านเดิม เอ่ยถึงงานครบรอบร้อยวันของอวิ้นเกอ
เอ๋อร์ขึ้นมา คิดว่าอวิ้นเกอเอ๋อร์เป็นบุตรคนแรกของบ้านสาม ตระกูลเฉิงเองก็ไม่มีเด็กเกิดใหม่4945
มาร่วมสิบกว่าปีแล้ว พิธีสรงสามและงานครบรอบเดือนของอวิ้นเกอเอ๋อร์เฉิงฉือก็ไม่อยู่ และ
เพราะอากาศร้อนเกินไป โจวเสาจิ่นกลัวว่าน้องชายคนเล็กอย่างโจวจงจิ่นร่างกายอ่อนแอทนไม่
ไหว จึงยํ้าเตือนหลี่ซื่อเป็นพิเศษว่าไม่ต้องพาลูกมา แม้นหลี่ซื่อจะรับปากแล้ว ทว่าส่งจดหมายมา
บอกว่างานครบรอบร้อยวันของอวิ้นเกอเอ๋อร์จะต้องมาร่วมให้ได้ มารวมตัวกันมากมายขนาดนี้
งานครบรอบร้อยวันของอวิ้นเกอเอ๋อร์คงจะจัดอย่างใหญ่โต ของขวัญสําหรับงานครบรอบร้อยวัน
จึงต้องปรึกษาหารือกันดีๆ แล้ว น้อยไปอาจกลายเป็นเรื่องขบขันของผู้อื่น กล่าวว่าทั้งสองบ้านไม่
ถูกกัน มากไปก็กลัวว่าเฉิงเจิงและกูไหน่ไนคนอื่นๆ ที่ออกเรือนไปแล้วกดข่มบ้านเดิมของโจวเสา
จิ่น ดูไม่ค่อยให้เกียรตินัก เดิมทีนี่เป็นเรื่องน่ายินดี แต่พูดคุยกันไปมาก็พูดถึงเรื่องทายาท จากนั้น
หยวนซื่อเหน็บแนมหมิ่นเจียอีกคํารบหนึ่ง หากมิใช่เพราะเฉิงเจิงและเฉิงเซียวทั้งสองคนช่วยเป็น
คนกลางไกล่เกลี่ยให้นาง นางคงอดไม่ได้โต้เถียงกับหยวนซื่อไปนานแล้ว
หมิ่นเจียมิได้กลัวการมีปัญหากับหยวนซื่อ นางเพียงไม่อยากทะเลาะกับหยวนซื่อต่อหน้า
ญาติพี่น้องเท่านั้น อยู่ที่บ้าน นางโกรธหยวนซื่อลับหลังผู้อื่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าหยวนซื่อตําหนิ
นางต่อหน้าผู้อาวุโสและคนรุ่นเด็กมากมายขนาดนี้ หากนางกล้าตอบไปหนึ่งประโยค ชื่อเสียงว่า
‘อกตัญ�ู’ คงติดหลังนางไปตลอดแล้ว
นางไม่ได้โง่ขนาดนั้น
นึกถึงตรงนี้ หมิ่นเจียหมุนสายตาไปก็เห็นโจวเสาจิ่นกําลังสั่งการแม่บ้านที่มีนามว่าปี้อวี้ผู้
นั้นอยู่ตรงมุมห้อง
นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง เดินเข้าไปหาพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านอาสะใภ้สี่ อวิ้นเกอเอ๋อร์เป็น
อย่างไรบ้าง”
“เขาเพียงอารมณ์ร้อนเท่านั้น” กล่าวถึงบุตรชาย ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นเต็มไปด้วย
รอยยิ้ม กล่าวว่า “หลอกล่อตามใจเขาสักหน่อยก็ดีแล้ว แต่นายท่านสี่บอกว่า เด็กผู้ชายอารมณ์4946
ร้อนมิใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่ให้ทุกคนตามใจเขานั้นใช้ไม่ได้ เกรงว่าอีกสองสามวันต้องสั่งสอน
เขาเป็นแน่แล้ว”
ขณะที่นางกล่าว มีแววรักใคร่วาบผ่านดวงตา ทําให้นางดูสง่างามมากยิ่งขึ้น
หมิ่นเจียประหลาดใจยิ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ท่านไม่สนใจหรือ อวิ้นเกอเอ๋อร์ยังเด็กขนาดนี้ ท่าน
อาสี่ก็เป็นบุรุษ นี่หากว่าเด็กน้อยบาดเจ็บขึ้นมาจะทําอย่างไร”
“เขาไม่ทําเช่นนั้นหรอก” โจวเสาจิ่นตอบโดยไม่ต้องคิด ในหัวปรากฏภาพท่าทางที่เฉิงฉือ
อุ้มอวิ้นเกอเอ๋อร์ขึ้นมา
เวลาสั้นๆ เพียงสองวัน เขาก็อุ้มได้ดีแล้ว
นอกจากนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายใยพ่อลูกหรือเปล่า อวิ้นเกอเอ๋อร์ชอบให้เฉิงฉืออุ้มเขายิ่ง
นัก
“บุรุษอกตัญ�ูเป็นความผิดของบิดา” รอยยิ้มของโจวเสาจิ่นเด่นชัดยิ่งขึ้น “นายท่านสี่สั่ง
สอนอวิ้นเกอเอ๋อร์เป็นเรื่องที่ถูกต้องและเหมาะสมแล้ว ข้ามีอะไรให้ต้องกังวลด้วย”
หมิ่นเจียไม่กล่าวคําใด
คําสอนที่นางได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กคือสตรีแบกรับผืนฟ้าครึ่งหนึ่งได้ เรื่องภายใน
บ้านสตรีเองก็มีส่วนรับผิดชอบ
หมิ่นเจียมองโจวเสาจิ่น จิตใจและอารมณ์สับสนวุ่นวาย
โจวเสาจิ่นไม่กลัวว่าพึ่งพาเฉิงฉือมากเกินไปแล้วจะถูกเฉิงฉือรังเกียจเลยหรือ?
หมิ่นเจียมองโจวเสาจิ่นอย่างไม่เข้าใจ4947
เฉิงเซิงเดินเข้ามา กระซิบถามหมิ่นเจียว่า “ได้ยินว่าน้องชายนั่วเลี้ยงอนุไว้ที่ข้างนอกผู้
หนึ่ง เป็นเรื่องจริงหรือ”
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างมาก
ชาติก่อนเฉิงนั่วไม่ได้แต่งงานกับอู๋เป่าจาง และก็ไม่ได้เลี้ยงอนุไว้ข้างนอกด้วย ชาตินี้เป็น
อะไรไป พอเปลี่ยนก็เปลี่ยนไปหมดเสียทุกอย่าง
นางกล่าวขึ้นอย่างร้อนใจว่า “นี่ตกลงเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่ ครั้งก่อนนางมาหาฮู
หยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้พบนาง เพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่”
หมิ่นเจียไม่ได้ตอบคําถามโดยตรง แต่ถามเฉิงเซิงว่า “ท่านทราบได้อย่างไร”