ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 533 รังเกียจ
“ข้าได้ยินมาจากท่านแม่ของข้า” เฉิงเซิงไม่ปิดบัง กล่าวต่อว่า “ท่านแม่ของข้าได้ยินมา
จากท่านป้าสะใภ้ใหญ่ แต่ว่าท่านป้าสะใภ้ใหญ่เล่าไม่ละเอียดนัก ท่านแม่ของข้าเองก็เลยไม่รู้
รายละเอียดเช่นกัน เพียงเป็นห่วงเล็กน้อยเท่านั้น ท่านอาสี่ฉือกลับมา อาสะใภ้สี่เชิญพวกเรามา
กินข้าว ท่านอาสี่ฉือก็ได้รับการเลื่อนตําแหน่ง ตามหลักแล้วท่านอาเวิ่นเองก็น่าจะมาร่วมด้วยถึง
จะถูก วันนี้ไม่เพียงท่านอาเวิ่นที่ไม่มา น้องชายนั่วและอู๋ซื่อก็ไม่มาเช่นกัน…ข้ารู้สึกเป็ นห่วง
เล็กน้อย ตระกูลหลี่ที่หลูเจียง ตระกูลฟางที่ซูเฉิง และตระกูลกู้ที่ไห่หนิง…ตระกูลพวกเขาไม่มีเรื่อง
เช่นนี้!”
ช่างน่าขายหน้าจริงๆ!
ไม่เพียงโจวเสาจิ่น แม้แต่หมิ่นเจียเองก็หน้าแดงกํ่าไปหมด
“เล่าแล้วเรื่องมันยาว” หมิ่นเจียเหลือบตาขึ้นมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่มีชิวซื่อดูงิ้วเป็นเพื่อน
อยู่ด้วยอย่างออกรสออกชาติ กระซิบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังรอบหนึ่ง “…ไม่ว่าอย่างไร การที่
น้องชายนั่วเลี้ยงสตรีไว้ข้างนอกผู้หนึ่งนั้นไม่ถูกต้อง ตามความคิดของพ่อสามีข้าแล้ว ให้ที่บ้าน
ออกหน้าไปเจรจากับสตรีผู้นั้น หรือไม่ก็ให้เข้าบ้านมา หรือไม่ก็ตัดขาดเป็นสองท่อนในคราวเดียว
เสีย หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเงินทอง ทางท่านอาเวิ่นมีไม่พอใช้ ก็ให้พวกข้าเอาออกมา
ช่วยเหลือ กล่าวคือไม่อาจให้ผู้อื่นมองตระกูลเฉิงเป็นเรื่องขบขันได้…
…น้องชายนั่วกลับกล่าวคําสาบานว่าเขากับแม่นางคังที่หกผู้นั้นบริสุทธิ์ใจต่อกัน ไม่มี
ความสัมพันธ์อะไรกันจริงๆ ทั้งหมดเป็นการคิดไปเองของอู๋ซื่อ…
…ท่านแม่ของข้าจึงไปหาแม่นางคังที่หกผู้นั้นด้วยตัวเอง…
…ความจริงแล้วที่อู๋เป่าจางพูดมานั้นไม่ถูกต้อง…4949
…บ้านหลังนั้นเป็นของแม่นางคังที่หก ร้านค้าที่ประตูซีจื๋อและการค้าที่ฮุยเซี่ยนก็ล้วน
แล้วแต่เป็นของแม่นางคังที่หกผู้นั้นทั้งสิ้น ลูกพี่ลูกน้องชายของนางผู้นั้น เป็นเพียงหลงจู๊ใหญ่มาก
ความสามารถที่สุดของนางเท่านั้น”
“อะไรนะ” โจวเสาจิ่นและเฉิงเซิงต่างปากอ้าตาค้าง
หมิ่นเจียยิ้มขื่น “อู๋ซื่อไม่สืบเรื่องให้แน่ชัดสักอย่าง ก็หาเรื่องผู้อื่นอย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น
แล้ว…
…แม่นางคังที่หกกําพร้าบิดามารดาตั้งแต่เด็กและได้ย่าเลี้ยงดูจนเติบใหญ่มานั้นไม่ผิด
แต่ผู้อื่นมีท่านอาที่ดีผู้หนึ่ง หลังจากบิดาของนางเสียชีวิตแล้ว ก็ดูแลกิจการที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้มา
โดยตลอด จวบจนแม่นางคังที่หกอายุได้สิบสี่ปี ก็ยกส่วนที่เป็นของบิดานางให้แม่นางคังที่หก
ทั้งหมด ยังจับมือสอนนางทําการค้าด้วยตัวเอง กลัวว่านางแต่งงานเข้าบ้านผู้อื่นแล้วจะได้รับ
ความลําบาก ตัดสินใจให้นางแต่งสามีเข้าบ้าน…
…ก่อนหน้านี้มิใช่ว่าอู๋ซื่อไปยืมเงินที่ร้านขายผ้าของแม่นางคังที่หกหรอกหรือ ต่อมาอู๋ซื่อ
มักจะลากยาวไปเรื่อยๆ อยู่ตลอด ความจริงแล้วแม่นางคังที่หกก็ไม่ได้ให้ความสําคัญกับเงินไม่กี่
ร้อยเหลี่ยงนั่น ทว่าอู๋ซื่อกลับประเมินผู้อื่นจากความคิดของตัวเอง คืนเงินแล้วก็ไปยืมจากผู้อื่นมา
อีก ผู้อื่นถามถึง ไม่เพียงไม่มีคําขอบคุณสักคํา ยังละโมบอยากได้ดอกเบี้ยเหล่านั้นของผู้อื่นอีก
ด้วย เตรียมการไว้ว่าถึงเวลาใช้หนี้ก็คืน คืนแล้วอีกสองสามวันค่อยไปยืมมาใช้ใหม่…
…ไม่มีผู้ใดโง่เขลาไปกว่าผู้ใด!…
…นอกจากนี้แม่นางคังที่หกเป็นคนรับผิดชอบบ้านทั้งบ้าน ได้ยินถ้อยคํานี้แล้วจะสบายใจ
ได้อย่างไร รอจนนางคืนเงินแล้ว ก็ไม่ยอมให้นางยืมเงินอีก…
…หากนางปล่อยให้เรื่องจบกันไปเช่นนี้ก็ดีแล้ว…4950
…แต่จิตใจมนุษย์ไม่รู้จักพอเหมือนกับงูที่พยายามเขมือบช้าง ใช้น้องชายนั่วที่อยู่บ้านเป็น
แพ ต้องการให้น้องชายนั่วไปยืมเงิน…
…น้องชายนั่วเป็นคนซื่อตรงผู้หนึ่ง ไม่รู้ก็แล้วกันไป แต่พอรู้แล้วไหนเลยจะมีหน้าไปยืมได้
และเมื่อฟังคําของเพื่อนบ้านแล้ว ใบหน้าก็ร้อนผ่าว รีบถือกล่องของขวัญสิบสองอย่างไปกล่าวขอ
โทษตระกูลคัง…
…ประจวบเหมาะกับที่แม่นางคังที่หกอยู่บ้านพอดี เห็นน้องชายนั่วมีความจริงใจ ก็เลย
ปล่อยเรื่องนี้ไปเสีย…
…เพราะตอนพบหน้าได้คุยกันสองสามประโยค รู้ว่ากิจการค้าใบชาของน้องชายนั่วไม่สู้ดี
นัก ประจวบเหมาะกับที่เมื่อก่อนตระกูลคังเองก็เคยทํากิจการค้าใบชามาก่อน เพียงแต่ว่าต่อมา
พวกเขาต้องการให้ความสําคัญกับการค้าผ้าเป็นหลัก หลงจู๊ใหญ่ที่เคยดูแลกิจการค้าใบชาป่วย
เสียชีวิต ยุ่งทั้งสองด้าน ก็เลยดูแลไม่ค่อยทั่วถึง จึงแนะนําคู่ค้าที่ยังติดต่อกันอยู่สองสามคนให้
น้องชายนั่ว…
…น้องชายนั่วผู้นี้เจ้ามอบหมายงานเล็กๆ น้อยๆ ให้เขาทํายังพอได้ แต่เรื่องเจรจาการค้า
เช่นนี้เขาทําได้ที่ไหนกัน ผู้อื่นแนะนําคู่ค้าให้เขาแล้ว เขากลับเจรจาไม่สําเร็จ…
…แม่นางคังที่หกผู้นั้นคิดว่าเป็นเพราะคู่ค้าคนนั้นเห็นน้องชายนั่วอายุน้อยก็เลยดูถูกเขา
คิดว่าสุดท้ายแล้วนางเป็นคนลากเรื่องนี้เข้ามา คงไม่อาจปล่อยให้น้องชายนั่วจากไปอย่างหดหู่ใจ
เช่นนี้ได้ จึงใช้นามของตัวเองไปเชิญคู่ค้าเจ้านั้นมาอีกครั้งหนึ่ง ฝืนทําการค้ากับผู้อื่นครั้งหนึ่ง ก็ได้
เงินค่านํ้าชามาก้อนหนึ่งเท่านั้น…
…แม่นางคังที่หกรู้สึกเสียใจ จึงแนะนําคู่ค้าอีกเจ้าหนึ่งให้น้องชายนั่ว ยังสอนน้องชายนั่ว
ว่าควรสวมเสื้อผ้าอะไร ต้องพูดอะไร ยามพูดถึงราคาและคุณภาพของใบชาควรพูดอย่างไร ยาม
พูดคุยถึงเรื่องทั่วไปควรทําอย่างไร น้องชายนั่วจึงทําตามที่นางสอน การค้าครั้งนี้จึงเจรจาสําเร็จ…4951
…น้องชายนั่วรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง มีอะไรก็ให้หลงจู๊ของโรงนํ้าชาไปขอคําชี้แนะ
จากแม่นางคังที่หก…
…แม่นางคังที่หกผู้นั้นเคยได้รับการดูแลจากลูกพี่ลูกน้องที่เป็นหลงจู๊ของนางผู้นั้นมาก่อน
มาจิงเฉิงครั้งนี้หนึ่งเพื่อมาดูร้านค้าทางด้านนี้สักหน่อย และสองเพื่อมาเยี่ยมพี่สะใภ้ที่ใกล้คลอด
จึงว่างไม่มีอะไรทําก็เลยช่วยให้คําแนะนําน้องชายนั่วไปหลายครั้ง…
…เดิมทีแล้วตระกูลของพวกเขาเดินอยู่ในเส้นสายของชวีหยวนถึงได้มีที่ยืนที่มั่นคงใน
เมืองหลวง ตอนนี้ชวีหยวนตกตํ่าลง การค้าของพวกเขาก็ไม่ได้ราบรื่นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แม่นาง
คังที่หกพยายามหาเส้นสายในเมืองหลวงหลายที่แล้วล้วนไม่สําเร็จ จึงคิดจะโยกย้ายคนที่อยู่ใน
จิงเฉิงทั้งหมด และเอาร้านค้าให้ผู้อื่นเช่าทําการค้าแทน…
…เมื่อข่าวคราวแพร่ออกไป ก็มีคนคิดจะหาประโยชน์จากร้านค้าของพวกเขา…
…น้องชายนั่วเห็นแล้วก็เอาป้ายชื่อของพ่อสามีข้าที่อยู่ในมือท่านอาเวิ่นใบนั้นมอบให้แม่
นางคังที่หก ยามมีคนมาวุ่นวายในร้านอีกให้นางนําป้ายชื่อนี้ไปพบผู้พิพากษาของที่ว่าการเขตซุ่น
เทียน…
…ก่อนหน้านี้แม่นางคังที่หกไม่รู้ว่าน้องชายนั่วมีความสัมพันธ์กับตระกูลเฉิงของพวกเรา
…
…เมื่อรู้ว่าท่านอาเวิ่นเป็นญาติกับพวกเรา บอกว่าป้ายชื่อของพ่อสามีใบนี้เกรงว่าก็คงมิใช่
ขอมาได้ง่ายๆ เอามาใช้เช่นนี้น่าเสียดายเกินไป มิสู้เก็บไว้ใช้ในยามคับขันของชีวิตดีกว่า จึงไม่ได้
รับไว้…
…น้องชายนั่วจึงไปที่ที่ว่าการเขตซุ่นเทียนด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง ถึงจัดการเรื่องนี้ให้
เรียบร้อยลงได้…4952
…ผู้พิพากษาของที่ว่าการเขตซุ่นเทียนก็ไม่อาจจัดการเรื่องให้เปล่าๆ ได้ จึงให้ฮูหยินมา
บอกท่านแม่อย่างอ้อมๆ…
…ท่านแม่เองก็ฟังความฝั่งเดียว อู๋เป่าจางว่าอย่างไรนางก็ทําอย่างนั้น…
…พอได้ยินว่าแม่นางคังที่หกมีป้ายชื่อของพ่อสามีข้าอยู่ในมือ ก็ตกใจจนเหงื่อเย็นท่วม
ร่าง รีบให้พ่อบ้านไปสอบถาม ถึงได้ทราบการกระทําของที่ประตูซีจื๋อ!…
…แม่นางคังที่หกผู้นั้นกับน้องชายนั่วบริสุทธิ์ใจต่อกันจริงๆ!”
โจวเสาจิ่นและเฉิงเซิงถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกัน สีหน้าก็ดูผ่อนคลายลงมาด้วย
เฉิงเซิงยิ่งแล้วใหญ่หันไปไหว้ทางทิศตะวันตก กล่าวขึ้นว่า “เรื่องเข้าใจผิดกล่าวให้
กระจ่างได้ก็ดีแล้ว ต่อไปก็ใช้ชีวิตกันให้ดีก็พอ ผู้ใดมิได้ข้ามพ้นมาจากช่วงวัยรุ่นบ้าง”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
หมิ่นเจียหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวว่า “น้องชายนั่วกลับรู้สึกละอายใจต่อแม่นางคังที่
หก โวยวายว่าต้องการขับไล่ภรรยา 2901ให้ได้” นางเล่าเรื่องที่อู๋เป่ าจางทําให้แม่นางคังที่หกต้องเข้า
ไปอยู่คุกหลวงให้เฉิงเซิงและโจวเสาจิ่นฟัง “จากนั้นแม่นางคังที่หกผู้นั้นก็โกรธบ้างแล้ว กล่าวว่า
หากน้องชายนั่วอ่อนแอสักหน่อย กลัวปัญหาสักหน่อย ไปถึงช้าอีกสักหน่อย มิใช่ว่านางคงตายอยู่
ในคุกหลวงไปแล้วหรอกหรือ มิใช่ว่าอู๋ซื่อบอกว่านางเป็นอนุหรอกหรือ เช่นนั้นก็จะไม่ทําให้ความ
ตั้งใจของอู๋ซื่อเสียเปล่า จะเป็นอนุให้น้องชายนั่วเสียก็แล้วกัน ยังบอกด้วยว่า อนุอย่างนางผู้นี้ไม่
ต้องการเงินของน้องชายนั่วแม้แต่แดงเดียว ทุกปียังจะให้เงินท่านอาเวิ่นจํานวนแปดร้อยเหลี่ยง
เป็นเงินเลี้ยงดูอีกด้วย…”
1 ขับไล่ภรรยา คือการที่สามีต้องการขับไล่ภรรยากลับบ้านเดิมเพราะภรรยากระทําความผิด ซึ่งต่างกับการหย่า การหย่าเกิด
จากการตัดสินใจร่วมกันของทั้งสองฝ่ายว่าต้องการแยกทางกันเพราะต่างเข้ากันไม่ได้4953
“หา!” เฉิงเซิงและโจวเสาจิ่นตะลึงพรึงเพริดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นกล่าว “นี่มิใช่ว่าแม่นางคังบ้าไปแล้วหรอกหรือ คําพูดนี้หากแพร่ออกไป ต่อไป
นางจะเป็นคนต่อไปได้อย่างไร สังหารศัตรูไปหนึ่งพัน ตัวเองบาดเจ็บไปแปดร้อย”
หมิ่นเจียอดมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่งไม่ได้ กล่าวว่า “ถูกต้อง! แม่สามีของข้าเองก็เกลี้ย
กล่อมแม่นางคังที่หกเช่นนี้ แต่แม่นางคังที่หกตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ยังเรียกน้องชายนั่วไปหาด้วย”
“แล้วน้องชายนั่ว/หลานนั่วว่าอย่างไรบ้าง” เฉิงเซิงและโจวเสาจิ่นถามขึ้นพร้อมกันโดย
มิได้นัดหมาย
“อย่างไรน้องชายนั่วก็ไม่เห็นด้วย” หมิ่นเจียกล่าว “บางทีนี่อาจจะเป็นพรหมลิขิตร้าย ถ้า
น้องชายนั่วเห็นด้วย แม่นางคังที่หกผู้นั้นเห็นน้องชายนั่วเป็นคนไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง
เช่นนั้น อาจจะผิดหวังได้ ตอนที่ท่านแม่ไปเกลี้ยกล่อมมอบทางลงให้นางก็ลงมา แต่น้องชายนั่ว
ราวกับบนคอแขวนวัวเก้าตัวเอาไว้ก็ไม่ปาน คําพูดดีหรือไม่ดีล้วนพูดหมดแล้ว นางก็ไม่เห็นด้วย”
“นี่มิใช่ว่าดีแล้วหรอกหรือ” โจวเสาจิ่นกล่าว “เรื่องน่าเศร้าใจนี้เมื่อเวลาผ่านไปก็ลืมแล้ว
รอให้ผ่านไปสักระยะหนึ่งก็ดีแล้วมิใช่หรือ”
“เกรงว่าน้องชายนั่วคงไม่ได้คิดเช่นนี้” หมิ่นเจียทอดถอนใจกล่าว “เขาบอกว่าหากให้เขา
ใช้ชีวิตอยู่กับอู๋ซื่อต่อไป เขายอมตายดีกว่า”
โจวเสาจิ่นและเฉิงเซิงมองหน้ากัน
กระทั่งตกเย็น โจวเสาจิ่นเล่าเรื่องนี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง “ท่านแม่ ท่านว่านั่วเกอเอ๋อร์
และอู๋เป่าจางจะหย่ากันหรือไม่เจ้าคะ”4954
ทั้งสองตระกูลต่างก็เป็นคนมีหน้ามีตา ถ้าหากอยู่ด้วยกันต่อไปไม่ได้จริงๆ ก็ไม่อาจปล่อย
ให้เฉิงนั่วขับไล่อู๋เป่าจางไปเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องหาเรื่องกลบเกลื่อนเป็นผ้าคลุมหน้าให้อู๋เป่าจางสัก
ผืนหนึ่ง ให้เป็นการหย่ากันแทน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังแล้วร้อง “อืม” เสียงหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างสนใจว่า “แม่นางคังที่หกผู้นั้นเป็น
คนเก่งกาจผู้หนึ่ง นางอายุเท่าไรหรือ”
“บอกว่าอายุยี่สิบสี่ปีแล้ว เนื่องจากมอบส่วยให้ทางการทุกปี ทางการก็เลยลืมตาข้างหนึ่ง
ปิดตาข้างหนึ่งเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมทีข้ายังกลัวว่าแม่นางคังที่หกผู้นั้นจะต้องติดคุก
ติดตะรางเสียแล้ว ตอนนี้ดูแล้วเป็นข้าที่คิดมากไป นางอายุยี่สิบสี่ปียังไม่ออกเรือน ยังดูแลกิจการ
ที่บิดานางทิ้งไว้ให้ได้อย่างใหญ่โตขนาดนี้ คาดว่าก็น่าจะเป็นคนไม่ธรรมดาผู้หนึ่ง เรื่องนี้พวกเราก็
อย่าได้สนใจเลย ไม่ว่าเฉิงนั่วอยากอยู่กับอู๋เป่าจางต่อไปก็ดี หรือหย่าแล้วแต่งงานใหม่ก็ดี พวกเรา
อย่าสอดมือเข้าไปยุ่งเลย”
โจวเสาจิ่นขานรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัวพักผ่อนเสร็จแล้ว ถึงได้ไป
พบเฉิงฉือที่รออยู่ที่ห้องโถงเป็นเวลานานแล้ว
“ท่านแม่หลับแล้วเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกระซิบกล่าวกับเขาเสียงเบา “ท่านระวังหน่อย”
เฉิงฉือจึงไม่ได้ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัว อุ้มอวิ้นเกอเอ๋อร์ที่หลับสนิทกลับไปที่เรือน
อวิ้นเกอเอ๋อร์ไม่ร้องเลยสักนิดเดียว
เฉิงฉือวางเขาลงบนเตียง เขาก็ยังคงหลับอยู่
ดวงหน้าเล็กอมชมพูนั้นแดงสุกใสราวกับสีชาด มือน้อยเรียวยาวจีบเป็นรูปดอกกล้วยไม้
แนบกับใบหน้า นอนหลับสนิท น่ารักน่าชังยิ่งนัก4955
เฉิงฉือมองแล้วนัยน์ตามีรอยยิ้มปรากฏออกมา คล้ายกลับกลัวว่าจะทําให้อวิ้นเกอเอ๋อร์
ตื่น นั่งมองอวิ้นเกอเอ๋อร์อยู่ข้างเตียงพลางกระซิบกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “วันนี้เหนื่อยมาพอแล้ว
อย่างไรก็ไม่ตื่นแล้ว”
เด็กๆ เต็มห้องส่งเสียงเจื้อยแจ้วคล้ายกับนกกระจอกฝูงหนึ่งที่ส่งเสียงดังจนคนปวดศีรษะ
ทว่าอวิ้นเกอเอ๋อร์กลับลืมตาโพลงไม่ยอมนอนหลับ ยิ่งไปกว่านั้นไม่อาจอุ้มแนวราบได้ ต้องใช้แขน
รองยกศีรษะของเขาขึ้นมา ให้เขาได้มองเด็กๆ ที่กําลังเล่นอยู่ตรงนั้นให้พอ ไม่อย่างนั้นจะร้องไห้
ด้วยแรงทั้งหมดที่มี
แม่นมไม่มีทางเลือก จึงประคองให้เขาดู จนกระทั่งหนังตาบนกับหนังตาล่างต่อสู้กัน
อดทนต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงได้หลับตานอนหลับ
พอหลับทําอย่างไรก็เรียกไม่ตื่นแล้ว
โจวเสาจิ่นสั่งการให้สาวใช้เด็กตักนํ้าเข้ามาปรนนิบัติพวกเขาสองสามีภรรยา หลังจาก
ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็นั่งลงมา ลูบผมของบุตรชายยิ้มๆ อย่างรักใคร่ กล่าวขึ้นว่า “ไม่รู้ว่า
นิสัยเหมือนผู้ใด อารมณ์ร้อนขนาดนี้!”
“ไม่ใช่ข้าแน่นอน!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ยิ่งไม่ใช่เจ้าด้วย ไม่แน่ว่าอาจเหมือนกับที่ท่านแม่
กล่าวไว้ เหมือนท่านปู่ของเขา”
บางทีอาจเป็นเพราะหน้าตาของเด็กล้วนไม่ต่างกัน โจวเสาจิ่นมองไม่ออกว่าอวิ้นเกอเอ๋
อร์หน้าตาเหมือนผู้ใด ได้ยินแล้วอดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “พ่อสามีหน้าตาเหมือนท่านหรือไม่เจ้าคะ”