ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 536 ครบรอบร้อยวัน
เฉิงเวิ่นตัดสินใจได้แล้ว ถึงวันที่แปดเดือนแปดในวันนั้น ก็ไปที่ประตูเฉาหยางพร้อมกับอู๋
เป่าจางตั้งแต่เช้าตรู่
เฉิงฉือได้เลื่อนตําแหน่ง อีกทั้งตรงกับวันครบรอบร้อยวันของอวิ้นเกอเอ๋อร์บุตรชายคนโต
ของเขาพอดี ไม่เพียงขุนนางใหญ่ซ่งมากันทั้งครอบครัวเท่านั้น หัวหน้าคนก่อนของเฉิงฉืออย่าง
จางฮุ่ยก็มาด้วย สหายร่วมงานจากกรมโยธาและกรมการตรวจตราทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักล้วน
มาร่วมแสดงความยินดี เรือนชั้นนอกตั้งโต๊ะห้าสิบโต๊ะ เชิญคณะงิ้วมาแสดงงิ้วถึงสองคณะ กลุ่ม
สตรีในเรือนชั้นในมีเพียงคนที่ไปมาหาสู่กันยามปกติมาร่วมงานเท่านั้น ตระกูลหยวนจากถงเซียง
ตระกูลฟางจากซูเฉิง ตระกูลเลี่ยวจากเจิ้นเจียงและอื่นๆ ล้วนมาร่วมงานด้วย ศาลาริมนํ้าขนาด
สามห้องกั้นชั้นล่างตั้งโต๊ะสิบโต๊ะและชั้นบนตั้งโต๊ะหกโต๊ะ ด้านหน้าเป็นเวทีการแสดง กําลังแสดง
เรื่อง ‘คุณชายหกออกมาหามารดา’ ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนเลือก ในห้องเสริมตั้งโต๊ะไพ่
นกกระจอกไว้ห้าถึงหกโต๊ะ ฮูหยินใหญ่เลี่ยวแม่สามีของโจวชูจิ่นกับฮูหยินรองฟางมารดาของฟาง
เซวียนและคนอื่นๆ ล้วนนั่งเล่นไพ่นกกระจอกอยู่ทางด้านนั้น
โจวเสาจิ่นเข้ามากล่าวทักทาย สั่งการให้พวกสาวใช้เด็กนํานํ้า นํ้าชาและของว่างมาขึ้น
โต๊ะให้บรรดาแขกเหรื่ออีกครั้ง จากนั้นพูดคุยกับฮูหยินใหญ่เลี่ยวสองสามประโยค ถึงได้ลุกขึ้นไป
ที่ศาลาริมนํ้าด้านหน้า
ฮูหยินรองฟางมองเงาหลังของโจวเสาจิ่นที่ลับหายไปนอกประตู อดไม่ได้ลอบถอนหายใจ
ครั้งหนึ่ง
วันนี้โจวซื่อสวมชุดเพ่ยจื่อสีเขียวมรกตไร้ลวดลาย เสื้อคลุมตัวยาวสีแดงเหลือบเงินปัก
ลายดอกงิ้วดอกใหญ่เอาไว้ สีหน้าแดงปลั่ง ฝีเท้าเบา ยิ้มก่อนพูด แม้นจะคลอดลูกแล้ว ทว่ายัง4974
เหมือนกับเด็กสาวที่เพิ่งออกเรือนก็ไม่ปาน บนร่างมีความสดใสและผ่อนคลายอย่างที่คนเป็น
ภรรยาแล้วไม่ค่อยมีกัน
ถ้าหากตอนนั้นนางก้มศีรษะลงสักหน่อย เข้าไปคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวก่อน ให้ฟางเซวียน
แต่งเข้ามาก็คงจะดี
หรือไม่ก็ไม่ด่วนให้ฟางเซวียนแต่งออกไปเร็วขนาดนี้ก็คงจะดี…ฟางเซวียนถูกนางตามใจ
จนเคยตัว บุตรเขยเองก็เป็นคนที่เติบโตมากับการถูกประคองไว้บนฝ่ ามือ เมื่อทั้งสองคนมากิน
ข้าวหม้อเดียวกัน ใครก็ไม่ยอมลงให้ใคร กระทั่งกล่าวโทษแม้แต่คนในบ้าน บุตรเขยรู้สึกว่าบิดา
มารดาไม่ควรให้เขาแต่งกับคนเป็นบุตรสาวคนเดียว ฟางเซวียนก็รู้สึกว่าคนที่บ้านไม่ควรให้นาง
แต่งออกไปอย่างลวกๆ เช่นนี้
นึกถึงใบหน้าเล็กขาวซีดของบุตรสาวตอนที่กลับบ้านเดิมเมื่อคราวก่อน ในใจของฮูหยินร
องฟางก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย
แต่เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะพูดอะไรได้อีก
ฮูหยินรองฟางจึงมีอาการนั่งต่อไปไม่ได้เล็กน้อย คิดว่ามิสู้หาข้ออ้างหนึ่งออกจากงาน
เลี้ยงเร็วสักหน่อยดีกว่า ยังได้กลับบ้านไปอยู่เป็นเพื่อนบุตรสาวด้วย
นางคิดพลางหันไปรอบๆ เพื่อมองหาฮูหยินใหญ่เลี่ยว
จะกลับไป อย่างไรก็ต้องหาใครสักคนช่วยบอกเจ้าภาพให้ทราบสักครั้งหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็
ออกจะเสียมารยาทเกินไปแล้ว ฮูหยินใหญ่เลี่ยวเป็นแม่สามีของพี่สาวของโจวซื่อ ให้นางออกหน้า
ให้เหมาะสมที่สุดแล้ว
เลี่ยวซื่อกลับกําลังยืนล้อมอยู่ข้างๆ โจวซื่อคนพี่บุตรสะใภ้ของนางอยู่กับภรรยากลุ่มหนึ่ง
ในอ้อมแขนของโจวซื่อคนพี่ยังอุ้มห่อผ้าสีแดงสดเอาไว้…คงจะเป็นบุตรชายของโจวซื่อคนน้อง!4975
ฮูหยินรองฟางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายยังคงเดินเข้าไป
ได้ยินฮูหยินเผิงของฝ่ ายกองทัพและอาชากล่าวยิ้มๆ อยู่ตรงนั้นว่า “…เด็กคนนี้ช่าง
หน้าตาน่ารักน่าชังจริงๆ ตอนพิธีสรงสามและครบรอบเดือนข้าล้วนเคยเห็นมาก่อนแล้ว ตอนนั้น
ยังตัวเล็กยิ่งนัก พอครบรอบเดือนก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ผ่านไปหลายวันเข้า ดวงหน้านี้ก็โตขึ้นแล้ว”
ฮูหยินรองฟางยื่นคอเข้าไปดูครั้งหนึ่ง
หน้าตาดีอย่างที่กล่าวมาจริงๆ
นอกจากผิวขาวเนียนกระจ่างใสแล้ว เส้นผมยังดกดํา ดวงตาทั้งคู่สุกใส คนล้อมเขาไว้
มากมายขนาดนี้ เขาทั้งไม่ร้องไห้และไม่ส่งเสียงดัง มองไปรอบๆ ทั้งสี่ด้าน แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็น
เด็กเฉลียวฉลาดมากผู้หนึ่ง
ฮูหยินรองฟางรู้สึกเจ็บแปลบหัวใจ ยังคงกระซิบเรียกฮูหยินใหญ่เลี่ยวเบาๆ
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวเองก็พอจะคาดเดาได้ไม่มากก็น้อยว่าเหตุใดนางถึงรู้สึกไม่สบาย กล่าว
เกลี้ยกล่อมไปสองสามประโยค จากนั้นไปส่งฮูหยินรองฟางที่ประตูชั้นในด้วยตัวเอง
ฮูหยินรองฟางกล่าวขอบคุณ หมุนกายขึ้นเกี้ยวไป
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกําลังเตรียมจะเดินเข้าไปในเรือนชั้นใน เงยหน้าขึ้นกลับเห็นสตรีอายุ
ประมาณสี่สิบปีสวมชุดผ้าไหมลู่สีเขียวเข้มลายแจกัน เกล้าผมขึ้นเป็นมวยอย่างพิถีพิถันประดับ
ดอกไม้ผ้าไว้สองดอก ร่างตรงประหนึ่งเหล็กตาชั่ง มีแม่บ้านของเรือนชั้นในอย่างปี้อวี้เดินนําอยู่
อย่างยิ้มแย้ม สาวใช้เจ็ดถึงแปดคนถือกล่องสีแดงเลี่ยมทองเดินตามอยู่ข้างหลังพวกนางเป็นสอง
แถว เดินตรงมาที่ประตูชั้นในทางด้านนี้
แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นป้ารับใช้ของบ้านไหนสักบ้านที่มาส่งของขวัญแสดงความยินดีให้
ตระกูลเฉิง4976
แต่เป็นป้ารับใช้ของบ้านใดนั้น นางกลับไม่คุ้นเลยแม้แต่นิดเดียว
หากพูดถึงตระกูลขุนนางที่โดดเด่นของเจียงหนานก็มีอยู่เพียงไม่กี่ตระกูล ทั้งยังเป็นเจ้า
เกี่ยวดองกับข้า ข้าเกี่ยวดองกับเจ้า วนเวียนกันอยู่แค่นี้ อย่างไรก็จําได้…
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวหมุนตัวมุ่งหน้าเข้าไปในเรือนชั้นในเงียบๆ
นางไม่อยากบังเอิญพบหน้ากันแล้วต้องโอภาปราศรัยกับคนเหล่านี้
ลดเกียรติของตัวเอง
ปี้อวี้พาแม่นมของพระชายาองค์ชายสี่เดินตรงไปข้างหน้า ทว่าในใจกลับเต้นตึกๆ ไม่หยุด
จากวันที่ตําหนักขององค์ชายสี่ยอมถอยให้ด้วยเรื่องของเหนียงจื่อตระกูลเจิ้ง และ
คุณชายใหญ่สวี่ไปกล่าวขอบคุณที่ตําหนักองค์ชายสี่ด้วยตัวเองแล้ว ฮูหยินสี่ก็ให้คนส่งของขวัญ
ไปให้ แต่ไม่คิดว่าด้านขององค์ชายสี่ทางโน้นจะไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ทว่าจู่ๆ พระชายาของ
องค์ชายสี่พระองค์นั้นกลับเกรงพระทัยขึ้นมาอย่างกะทันหัน สองวันก่อนยังส่งผลหลีออกใหม่ของ
ฤดูใบไม้ร่วงมาให้หลายตะกร้า ได้ยินซางมามาบอกว่า นี่เป็นของบรรณาการ ต่อให้มีเงินก็หาซื้อ
ไม่ได้
พิธีครบรอบร้อยวันของคุณชายใหญ่อวิ้นวันนี้ ก็ให้แม่นมของตัวเองส่งของขวัญมาให้อีก
คําที่มักกล่าวกันบ่อยๆ นั้นช่างกล่าวได้ดี กระตือรือร้นมีนํ้าใจโดยไร้เหตุ มักจะแฝงเจตนา
ร้ายเสมอ มิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
พระชายาขององค์ชายสี่ทรงต้องการทําอะไรกันแน่
นายท่านสี่ก็เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ตรวจตราฝ่ ายซ้ายของกรมการตรวจตราเท่านั้น หากองค์
ชายสี่มีเรื่องอะไร ควรจะส่งของขวัญตอบแทนไปที่ซอยซิ่งหลิน ไปขอร้องนายท่านใหญ่ถึงจะถูก…4977
นางทําตามที่โจวเสาจิ่นสั่งมา เข้าประตูชั้นในแล้วเดินตรงไปที่ซอยข้างๆ ไปยังเรือนหลัก
ของถนนตะวันตก
ซางมามากําลังรออยู่ที่นั่น
นางยิ้มร่าพร้อมกับก้าวออกมาทักทายแม่นมของพระชายาองค์ชายสี่อย่างมีมารยาท พา
แม่นมของพระชายาองค์ชายสี่ไปดื่มนํ้าชาที่ห้องอุ่นข้างๆ สั่งการให้ชุนหว่านตรวจสอบรายการ
ของขวัญ จี๋เสียงช่วยให้การรับรองสาวใช้ที่ยกของขวัญเข้ามาเหล่านั้น และบอกให้พ่อบ้านของ
เรือนชั้นนอกตกรางวัลให้คนขับรถม้าและป้ารับใช้ใช้แรงงานหนักที่ตามมาด้วย
ภายในห้องมีเสียงหัวเราะไม่ขาดสาย รื่นเริงยิ่งนัก เข้ากับบรรยากาศของวันนี้เป็นอย่าง
มาก
ไม่นาน โจวเสาจิ่นก็ปลีกตัวเดินมาจากศาลาริมนํ้าทางด้านโน้น
ซางมามาพาแม่นมของพระชายาองค์ชายสี่ไปที่ห้องโถง
ทําความเคารพและบอกกล่าวเจตนาการมาเสร็จแล้ว โจวเสาจิ่นให้คนตกรางวัลให้แม่นม
ของพระชายาองค์ชายสี่ และกล่าวอย่างละอายใจว่า “นี่ล้วนเป็นดังที่ว่าคําเล่าลือฆ่าคนได้ ข้าคิด
ว่าพระชายาองค์ชายสี่เป็นบุตรสะใภ้ของราชวงศ์ ใต้ฟ้านับเป็นคนที่มีเกียรติที่สุดแล้ว อีกทั้งยัง
เป็นวันเกิดของเด็กน้อย ไหนเลยจะกล้าไปรบกวน ไม่คิดว่าพระชายาองค์ชายสี่กลับยังทรงจดจํา
ได้ ทรงให้คนส่งของขวัญมาให้เป็นพิเศษอีกด้วย คิดๆ แล้วข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก วันนี้เนื่องจากห
มัวมัวมาเป็นตัวแทนของพระชายาองค์ชายสี่ ก็เทียบเท่ากับพระชายาองค์สี่ทรงเสด็จมาด้วย
พระองค์เอง ไม่เพียงต้องอยู่ดื่มสุราที่นี่สักสองสามจอกก่อนแล้วค่อยกลับไป ประเดี๋ยวควรต้อง
ตามข้าไปนั่งกับบรรดาญาติสนิทมิตรสหายที่ศาลาริมนํ้าทางด้านโน้นด้วยถึงจะถูก”4978
แม่นมของพระชายาองค์ชายสี่ได้ยินแล้วรีบโบกมือยิ้มๆ “ไหนเลยจะกล้ารับเกียรติจากฮู
หยินเช่นนี้ ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร อย่างไรข้าก็เป็นบ่าวผู้หนึ่ง จะไปนั่งกับญาติสนิทมิตรสหายของ
จวนได้อย่างไร นอกจากนี้ก่อนออกมาพระชายาองค์ชายสี่ได้ทรงกําชับข้ามาเป็นพิเศษว่า ให้ข้า
อย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนของตําหนักองค์ชายสี่แล้วไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินตํ่า ทําให้พระนางต้องเสีย
พระพักตร์ นํ้าใจของฮูหยินบ่าวซาบซึ้งใจนัก แต่ไม่กล้ารับไว้จริงๆ เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นเองก็ไม่บีบคั้น รอชุนหว่านเก็บใบรายการของขวัญแล้ว บอกซางมามารับรอง
นางให้ดี จากนั้นไปที่ห้องหนังสือของลานด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
เฉิงจิงและซ่งจิ่งหรานเดินหมากอยู่ในห้องหนังสือ จางฮุ่ยหันมาส่งสายตาให้เฉิงฉือครั้ง
หนึ่ง ทั้งสองคนเดินเรียงหน้าผู้หนึ่งหลังผู้หนึ่งออกมาจากห้องหนังสือ ยืนอยู่ใต้ต้นตั๊กแตนเก่าแก่
ในสวน
“อาการป่วยของนายท่านผู้เฒ่าซ่งเป็นอย่างไรบ้าง” จางฮุ่ยกล่าวเสียงเบา “ได้ยินว่างาน
แต่งของคุณชายใหญ่ซ่งเลื่อนเข้ามาเป็นวันที่ยี่สิบสี่เดือนแปดหรือ”
เฉิงฉือมองจางฮุ่ยเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “หลายวันก่อนฮูหยินซ่งได้มาพูดคุยเรื่องนี้กับ
ภรรยาของข้าแล้ว”
ถ้าหากนายท่านผู้เฒ่าซ่งป่ วยเสียชีวิต ขุนนางใหญ่ซ่งก็ต้องไว้ทุกข์ให้บิดา เขาเคยถาม
โจวเสาจิ่นว่า จําได้หรือไม่ว่านายท่านผู้เฒ่าซ่งจากไปช่วงเวลาใด โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะอย่าง
ผิดหวัง บอกว่าจําไม่ได้ว่าขุนนางใหญ่ซ่งไว้ทุกข์ให้บิดาช่วงเวลาใด
เฉิงฉือกําลังคาดเดาว่าซ่งจิ่งหรานไว้ทุกข์เสร็จก็ถูกองค์ฮ่องเต้ทรงเรียกตัวกลับจิงเฉิงเลย
หรือว่าถูกขยายเวลาไว้ทุกข์ออกไปอีก4979
ถ้าหากเป็นอย่างหลังย่อมพูดง่าย แต่ถ้าเป็นอย่างแรก ต่อให้เป็นระยะเวลาสั้นๆ แค่ยี่สิบ
เจ็ดเดือน พวกเขาก็ต้องเตรียมตัวเอาไว้สักหน่อยถึงจะถูก เนื่องจากชาติก่อนหยางโซ่วซานไม่ได้
ถูกลดขั้นเป็นคนธรรมดา ชวีหยวนไม่ได้ถูกฟ้องร้องเร็วขนาดนี้ เขาไม่ได้ไปสักการะพระพุทธองค์ที่
เขาผู่ถัว ไม่ได้พบกับนายท่านผู้เฒ่าซ่ง…ความเปลี่ยนแปลงของชาตินี้มีมากเกินไป จึงไม่อาจ
พึ่งพาแต่ความทรงจําของโจวเสาจิ่นมานานแล้ว
จางฮุ่ยกล่าว “ไม่รู้ว่าสํานักราชเลขาธิการจะผลักดันใครเข้าสู่สํานักราชเลขาธิการ”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ถึงเวลาค่อยว่ากันอีกทีเถิด! มิใช่ว่ายังไม่ถึงวันนั้นหรอกหรือ ข้าคิด
ว่าขุนนางใหญ่ซ่งย่อมมีแผนของตัวเองอยู่ในใจแล้ว พวกเราทําตามก็พอแล้ว”
จางฮุ่ยอยากจะกล่าวอะไรแต่ก็หยุดไป
เฉิงฉือแสร้งทําเป็นไม่เห็น
ถ้าหากให้จางฮุ่ยขึ้นไป กรณีที่ซ่งจิ่งหรานกลับไปไว้ทุกข์ที่บ้านเดิมแล้วองค์ฮ่องเต้ทรง
เรียกตัวเขากลับมาอีก เช่นนั้นผู้ใดต้องลงมาดีเล่า
เฉิงฉือตัดสินใจยืนกอดอกดูอยู่ข้างๆ
อย่างไรเสียไม่ว่าซ่งจิ่งหรานเตรียมจะให้ใครรับช่วงต่อจากเขาก็ตาม เนื่องจากพี่ชายใหญ่
เป็นขุนนางใหญ่แล้ว จะหมุนมาถึงคราวของเขาได้อย่างไร เขามิสู้ยืนอยู่ตรงกลาง ไม่ว่าเป็นผู้ใดที่
ได้รับแต่งตั้งเข้าสํานักเลขาธิการก็ตามก็ไม่อาจดูแคลนหรือทําให้เขาขุ่นเคืองใจทั้งสิ้น
จางฮุ่ยผิดหวังยิ่งนัก
ไหวซานเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ปรายตามองไปที่เรือนปีกตะวันออกครั้งหนึ่ง4980
เฉิงฉือเข้าใจความหมาย พูดคุยกับจางฮุ่ยอีกสองสามประโยคก็อ้างว่าต้องการไปห้อง
ทางการ เลี้ยวที่หัวมุมหนึ่งเข้าไปที่เรือนปีกตะวันออก
โจวเสาจิ่นกําลังรอเขาอยู่
พอเห็นเขาก็วิ่งเข้ามาหา กอดเอวเฉิงฉือไว้อย่างห้ามไม่อยู่
เฉิงฉือหัวเราะเบาๆ หอมแก้มนางแล้วถึงได้เอ่ยเสียงอบอุ่นว่า “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร
เกิดขึ้นใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า เสียดายที่จะปล่อยมือ จึงพิงกายอยู่ในอ้อมกอดของเฉิงฉือเช่นนี้
พลางเล่าเรื่องที่องค์ชายสี่ให้คนส่งของขวัญมาอวยพรวันเกิดอวิ้นเกอเอ๋อร์ให้เฉิงฉือฟัง
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “องค์ชายสี่มีจิตใจทะเยอทะยานกว่าที่เจ้ารู้มากนัก ไม่เพียงข้า
บัณฑิตซู่จี๋ซื่อที่โดดเด่นหลายคนภายในสองปีนี้ของสํานักฮิ่นหลิน เจ้าพนักงานของกรมคลัง
เจ้าหน้าที่ของกรมการตรวจตรา…สองปีนี้เขาผูกสัมพันธ์กับคนไปไม่น้อยเลยทีเดียว”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าคิดว่าองค์ชายผูก
สัมพันธ์กับขุนนางไม่ได้ และวันนี้ก็มีตระกูลหลี่ของหลูเจียงและตระกูลหยวนของถงเซียงอยู่ด้วย
จึงไม่กล้าเปิดเผยเอิกเกริก ให้ซางมามาพาคนเข้ามาจากซอยข้างๆ ประตูชั้นในแทน ยังให้ซางมา
มาให้การรับรองคนที่มาส่งของขวัญที่ห้องเสริมในสวนดอกไม้อีกด้วย…องค์ชายสี่ต้องการชนะใจ
ฝูงชน ข้ากลับไม่ให้คนเหล่านั้นออกหน้า เช่นนี้จะเป็นการทําให้องค์ชายสี่ขุ่นเคืองหรือไม่เจ้าคะ
ต่อไปเขาจะได้เป็นองค์ฮ่องเต้ด้วย!”
“เด็กโง่!” เฉิงฉือเห็นนางไม่สบายใจ จึงหอมหน้าผากนางอย่างเอาใจ กล่าวชื่นชมว่า
“ตอนนี้เขายังไม่ได้เป็นฮ่องเต้นี่นา เจ้าไม่ต้องกลัวเขา ต่อให้วันไหนเขาได้เป็นฮ่องเต้แล้ว แต่เจ้าดู4981
เรื่องที่เขาทํากับตระกูลเฉิงเหล่านั้น…มีเหตุผลอะไรให้ข้าต้องเคารพให้เกียรติเขาด้วย มีเหตุผล
อะไรที่เขาต้องทําลายตระกูลเฉิงด้วย…”
โจวเสาจิ่นฟังแล้วตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ทว่าก็รู้สึกว่านิสัยของเฉิงฉือเป็นเช่นนี้ พูด
ถ้อยคําเช่นนี้ออกมาได้ก็สมเหตุสมผลแล้ว
นางถามเฉิงฉือ “เช่นนั้นจากนี้ไปท่านมีแผนอย่างไรต่อเจ้าคะ ช่วยรักษาอาการป่ วยของ
องค์รัชทายาท? หรือว่าหาวิธีไปเป็นข้าราชบริพารส่วนพระองค์ที่ตําหนักบูรพา จะได้ทราบความ
เคลื่อนไหวของเขาได้ทุกเวลา…” แต่ดูเหมือนเฉิงฉือจะมิใช่คนเช่นนี้
ถ้าหากเขาอยากรู้อะไร คาดว่าคงไปสอบถามโดยตรง ไม่ใช่นั่งคิดคํานวณนั่นคํานวณนี่
อ้อมไปอ้อมมาอยู่ตรงนี