ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 545 ไว้ทุกข์
โจวเสาจิ่นเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องตลอดจวบจนเสียงตีกลองบอกเวลายามสองดังขึ้น
เฉิงฉือถึงกลับมา
ตอนกลับมาเขาสวมชุดดําทั้งตัว คล้ายกับว่ากําลังปกปิดตัวตนอยู่
โจวเสาจิ่นจึงยิ่งเป็นกังวลใจ ไล่ข้ารับใช้ในห้องออกไป ช่วยถอดอาภรณ์ให้เขาไปด้วย เอ่ย
ถามเสียงเบาไปด้วยว่า “ได้พบท่านอารองหรือไม่เจ้าคะ”
“ได้พบแล้ว!” เฉิงฉือกระซิบกล่าว “อีกประเดี๋ยวพวกเราค่อยคุยกัน”
โจวเสาจิ่นเข้าใจความหมาย ทั้งสองคนอาบนํ้าดับตะเกียงพักผ่อน แอบกระซิบกระซาบ
กันอยู่ใต้ผ้าห่ม “ท่านอารองไม่เป็นอะไร องค์ฮ่องเต้ทรงเรียกเขาไปเพราะตัดสินพระทัยไม่ได้ด้วย
เรื่องขององค์ชายเจ็ดจริงๆ ทรงอยากให้ท่านอารองอยู่เป็นเพื่อนเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ แต่ผู้ใดจะ
รู้ว่ากลับเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น หยวนฮองเฮาเป็นหลานสาวของไทเฮาเหนียงเหนียง ไม่รู้ว่าไทเฮา
เหนียงเหนียงทรงเป็นอะไร ทรงนึกขึ้นได้ว่าวันรุ่งขึ้นเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของหยวน
ฮองเฮา จึงทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระราชนัดดาองค์โตเข้าวังหลวงไปหารือเรื่องจัดงานเฉลิม
พระชนมพรรษาให้หยวนฮองเฮา ข้างวรกายองค์รัชทายาทนั้นนอกจากพระชายาแล้ว ก็มีพระ
สนมเหลียงตี้ที่ปรนนิบัติรับใช้เขามาตั้งแต่เด็กและให้กําเนิดพระธิดาองค์โตให้เขาผู้นั้นเป็นพระ
สนมเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่โดยลับๆ แล้ว คนที่เขาโปรดปรานที่สุดกลับเป็นนางกํานัลแซ่ไต้ข้าง
วรกายเขาผู้หนึ่ง แต่เนื่องจากนางกํานัลแซ่ไต้ผู้นี้ยังไม่ได้ให้กําเนิดบุตร จึงยังไม่มียศตําแหน่งใดๆ
มาโดยตลอด และเพราะนางกํานัลแซ่ไต้ผู้นี้เติบโตมาจากตําหนักของไทเฮา ดังนั้นวันที่องค์รัช
ทายาทเข้าวังหลวงวันนั้น จึงพานางกํานัลแซ่ไต้ผู้นี้ไปด้วย…
…องค์รัชทายาทและพระราชนัดดาองค์โตไปสนทนากับไทเฮาเหนียงเหนียงและหลินไท่
เฟยที่ตําหนักข้างๆ ส่วนนางกํานัลแซ่ไต้ผู้นั้นพูดคุยกับนางกํานัลสองสามคนอยู่ในห้องนํ้าชา…5054
…ทว่าองค์ชายรองกลับเสด็จมาอย่างกะทันหัน…
…ทรงทราบว่าองค์รัชทายาทและพระราชนัดดาองค์โตสนทนากับไทเฮาเหนียงเหนียง
และหลินไท่เฟยอยู่ที่ตําหนักข้างๆ ก็ไม่ให้ขันทีเด็กไปรายงาน ตรัสว่าจะทรงรออยู่ด้านนอก…
…ข้ารับใช้ในตําหนักฉือหนิงเองก็กลัวว่าไทเฮาเหนียงเหนียงจะทรงมีเรื่องอะไรต้องการ
คุยกับองค์รัชทายาท ก็เลยไม่ไปรายงานด้วยเช่นกัน…
…อากาศหนาวเย็นเล็กน้อย องค์ชายรองจึงทรงพระดําเนินไปที่ห้องนํ้าชา…
…นางกํานัลทั้งหลายต่างทยอยกันหลบเลี่ยงออกไป…
…องค์ชายรองทรงจํานางกํานัลแซ่ไต้ได้ จึงสนทนากับนางกํานัลแซ่ไต้ผู้นั้น…
…คนของตําหนักฉือหนิงก็ไม่ได้ใส่ใจนัก…
…ผลปรากฏว่าเมื่อองค์รัชทายาทและพระราชนัดดาองค์โตเสด็จออกมาจากตําหนัก
ข้างๆ แล้ว กลับเห็นองค์ชายรองและนางกํานัลแซ่ไต้ผู้นั้นกําลังกอดกันในสภาพที่เสื้อผ้าไม่
เรียบร้อยนัก…
…ขณะนั้นองค์รัชทายาททรงพระพิโรธจนพระพักตร์เขียว และเป็นลมล้มพับลงไป…
…ไทเฮาเหนียงเหนียงรีบให้เรียกหมอหลวงเข้าไป องค์ชายรองและนางกํานัลแซ่ไต้ผู้นั้นก็
ถูกมัดตัวและอุดปากเอาไว้ มีขันทีและนางกํานัลคนสนิทของไทเฮาเหนียงเหนียงเฝ้าเอาไว้…
…แต่องค์รัชทายาทก็ไม่ฟื้น…
…องค์ฮ่องเต้สอบสวนองค์ชายรองด้วยพระองค์เอง ถึงได้รู้ว่าเดิมทีแล้วนางกํานัลแซ่ไต้ผู้
นี้และองค์ชายรองมีความสัมพันธ์คลุมเครือกันมาบ้างตั้งแต่สมัยที่นางอยู่ตําหนักฉือหนิงแล้ว ที่
จริงแล้วองค์ชายรองทรงอยากขอให้ไทเฮาเหนียงเหนียงประทานนางกํานัลผู้นี้ให้เขา ปรากฏว่า5055
เขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก ไทเฮาเหนียงเหนียงก็ประทานนางกํานัลแซ่ไต้ผู้นั้นให้องค์รัชทายาทไป
ก่อนแล้ว…
…วันนั้นองค์ชายรองปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่กรมกลาโหม จู่ๆ ก็มีขันทีเด็กผู้หนึ่งยัดกระดาษเล็ก
แผ่นหนึ่งเข้ามาในมือเขา บอกว่านางกํานัลแซ่ไต้ผู้นั้นกําลังรอเขาอยู่ที่ตําหนักฉือหนิง มีเรื่องด่วน
ต้องการขอความช่วยเหลือ องค์ชายรองไตร่ตรองครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ยังคงเสด็จไป เรื่อง
อะไรยังไม่ได้ไต่ถามให้แน่ชัด แต่พอทั้งสองคนพบหน้ากันก็กอดกันด้วยนํ้าตานองหน้าแล้ว…
…ความจริงแล้วก็เป็นเพียงการควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เท่านั้น ทว่าในเวลานั้นองค์รัช
ทายาทกลับพรวดเข้ามา…”
โจวเสาจิ่นฟังแล้วรู้สึกเต็มไปด้วยช่องโหว่ กล่าวขึ้นว่า “เหตุใดเรื่องราวถึงได้บังเอิญขนาด
นี้ ยังไม่พูดถึงที่ไทเฮาเหนียงเหนียงทรงได้ความคิดขึ้นมาอย่างกะทัน แค่ทางด้านขององค์ชายรอง
นางกํานัลแซ่ไต้ผู้นั้นก็มิใช่นางฟ้านางสวรรค์ และตอนนี้ก็เป็นคนขององค์รัชทายาทไปแล้ว แค่
ได้รับกระดาษเล็กแผ่นหนึ่งเขาก็กล้าไปที่ตําหนักฉือหนิงแล้วได้อย่างไร ยังกอดนางกํานัลแซ่ไต้ผู้
นั้นอีก ตําหนักฉือหนิงเองก็แปลกประหลาดยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงวังหลังแล้ว แม้แต่คนอย่างพวกเรา
เช่นนี้ ข้างกายของผู้ใดไม่มีข้ารับใช้ห้อมล้อมอยู่ด้วยบ้าง จะเข้าจะออกล้วนมีคนคอยเลิกผ้าม่าน
ขึ้นให้ทั้งสิ้น องค์รัชทายาทยังเป็นถึงรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ของแผ่นดิน เสด็จไปที่ใดมิใช่ว่ามี
คนคอยป่ าวประกาศให้หรอกหรือ ต่อให้อยู่ที่ตําหนักไทเฮาเหนียงเหนียงแล้วจะลดธรรมเนียงลง
กึ่งหนึ่ง แต่เมื่อออกจากตําหนักข้างๆ แล้วคงไม่อาจไม่มีการบอกกล่าวแม้แต่คําเดียวหรอก
กระมัง”
เฉิงฉือฟังแล้ว สายตาที่มองนางเปลี่ยนเป็นอบอุ่นอ่อนหวานขึ้นมา
เขาหอมหน้าผากโจวเสาจิ่น กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “เสาจิ่น ยิ่งอยู่เจ้าก็ยิ่งเก่งกาจขึ้นแล้ว!
เรื่องของราชวงศ์ก็คาดเดาได้หมดแล้ว”5056
โจวเสาจิ่นเขินอาย
นี่ก็คงนับได้ว่าอยู่ใกล้ชาดก็แดงตามชาด อยู่ใกล้นํ้าหมึกก็ดําตามนํ้าหมึกนั่นกระมัง
นางติดตามเฉิงฉือ ได้ยินเฉิงฉือพูดเรื่อง ‘ขบถและนอกรีต’ ทําเรื่อง ‘ไม่เห็นราชวงศ์อยู่ใน
สายตา’ เหล่านั้นแล้ว นางเองก็ไม่ค่อยเทิดทูนเรื่องของราชวงศ์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว และมองพวก
เขาเป็นเหมือนครอบครัวใหญ่ทั่วไปเท่านั้น
“สาเหตุที่องค์ฮ่องเต้ทรงประหลาดพระทัยก็เพราะเหตุผลที่เจ้ากล่าวมาเหล่านั้น” เฉิงฉื
อกระซิบกล่าวกับนางต่อ “นี่โยงใยถึงเรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์ องค์ฮ่องเต้ไม่อาจเสียพระเกียรตินี้
ได้ จึงรั้งท่านอารองและหานติงหัวหน้าองครักษ์ให้อยู่ช่วยตรวจสอบเรื่องนี้ แต่ทุกคนล้วนมีเหตุผล
ของตัวเอง พวกเขาสองคนยุ่งวุ่นวายอยู่สองวันเต็มๆ ค้นพบเพียงธูปปลุกกําหนัดครึ่งก้านธูปที่ยัง
จุดไม่หมดในห้องนํ้าชาเท่านั้น…
…องค์ฮ่องเต้าทั้งร้อนพระทัยและพิโรธ องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ในคืนวันนั้น จึงไม่อาจ
เอาแต่นอนอยู่เช่นนั้น จําต้องให้ท่านอารองเขียนพระราชโองการ ประกาศการจัดเตรียมเรื่องพระ
ราชพิธีศพออกมา”
ตรวจเจอของเช่นนี้จากตําหนักฉือหนิง โจวเสาจิ่นปากอ้าตาค้าง กว่าครู่ใหญ่ถึงเอ่ยขึ้นว่า
“จะใช่องค์ชายสี่หรือไม่เจ้าคะ”
“หากเขาวางแผนเช่นนี้ได้ ข้าว่าข้าคงต้องทําให้เขายอมจํานนโดยเร็วดีกว่า” เฉิงฉือแคลง
ใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ขยับเพียงหนึ่งครั้งก็จัดการทั้งองค์รัชทายาทและองค์ชายรอง แม้แต่องค์
ชายเจ็ดก็ถูกใช้เป็นที่ระบายความโกรธด้วย กล่าวได้ว่ายิงธนูดอกเดียวได้แร้งถึงสามตัว ข้าให้คน
ไปตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว องค์ฮ่องเต้นั้นมีใบไม้บดบังสายพระเนตรไว้ แต่พวกเราเริ่มตรวจสอบจาก
องค์ชายสี่ได้ ห่านป่ายํ่าบนหิมะ ต่อให้เป็นแผนที่สมบูรณ์แบบเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เหลือ
ร่องรอยใดๆ ไว้เลย”5057
โจวเสาจิ่นพยักหน้า พลางกล่าว “แล้วท่านอารองเรียกท่านไปทําไมหรือเจ้าคะ”
“หนึ่งเพื่อบอกเรื่องนี้ให้ข้ารู้ไว้ ช่วงก่อนมิใช่ว่าข้าไปมาหาสู่กับองค์ชายเจ็ดอย่างสนิท
สนมหรอกหรือ ท่านอารองกลัวว่าข้าจะประมาทเลินเล่อ สองเพราะอยากให้ข้านําความไปส่งต่อ
ให้พี่ใหญ่ ในยามคับขันเขาจะได้ไม่ตัดสินใจผิดพลาด ทําให้องค์ฮ่องเต้ทรงพิโรธได้ สามเพราะ
อยากฟังความเห็นของข้าที่มีต่อเรื่องนี้ ตอนนี้สิ้นองค์รัชทายาทไปแล้ว องค์ชายรองและองค์ชาย
เจ็ดถูกถอดยศเป็นสามัญชน องค์ชายสี่ องค์ชายสาม และองค์ชายห้าล้วนเป็นผู้ใหญ่แล้ว องค์รัช
ทายาทก็ทิ้งพระราชนัดดาองค์โตที่เก่งทั้งเรื่องบู๊และบุ๋นเอาไว้พระองค์หนึ่ง ต่อไปราชสํานักต้องมี
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างแน่นอน เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในชั่วพริบตาเดียว ตระกูล
เฉิงมีทั้งท่านอารองที่เป็นดั่งสหายเก่าแก่ขององค์ฮ่องเต้ และพี่ใหญ่ที่ได้รับแต่งตั้งเข้าสู่สํานักราช
เลขาธิการ ยังมีข้าที่คลุกคลีอยู่ในกรมการตรวจตราอีกผู้หนึ่ง จะเดินหน้าก็ต้องรุกกร้าว จะถอย
หลังก็ต้องระมัดระวัง ต่อให้พวกเราไม่เข้าร่วมแย่งชิงบัลลังก์ ผู้อื่นก็ไม่มีทางปล่อยพวกเราไป
ต่อไปพวกเราควรจะเดินอย่างไรดีนั้น จะต้องเลือกทางออกสักทางเอาไว้เสียแต่เนิ่นๆ ยังมีกู้ซวี่อีก
เขาเป็นหัวหน้าครอบครัว อีกทั้งยังเป็นสามีของเจิงเจี่ยเอ๋อร์ องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ อนาคต
ของเขาอยู่ที่ไหน หากพวกเราใช้โอกาสนี้ดึงเขาขึ้นมาอยู่บนเรือลําเดียวกับพวกเราได้ ก็จะมีผู้ช่วย
เพิ่มมาอีกผู้หนึ่ง…รอให้การไว้ทุกข์สิ้นสุดลง ราชสํานักอาจจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น พวกเราจึง
ต้องตัดสินใจเอาไว้ก่อนถึงจะใช้การได้”
เพราะฉะนั้นบางครั้งยิ่งยืนอยู่สูงเท่าไร ยามตกลงมาก็ยิ่งหนักหน่วงมากเท่านั้น
โจวเสาจิ่นกล่าว “แล้วท่านว่าอย่างไรบ้าง”
เฉิงฉือไม่ตอบ แต่ถามกลับว่า “เจ้าคิดว่าพวกเราควรจะทําอย่างไรดี”
ในเมื่อถอยไม่ได้ เช่นนั้นก็มีแต่ต้องแข็งใจเดินหน้าแล้ว5058
แต่ชาตินี้กับชาติก่อนไม่เหมือนกันอย่างใหญ่หลวง นอกจากนี้นี่ยังเกี่ยวพันถึงชีวิตคนทั้ง
บนและล่างหลายสิบกว่าชีวิตของตระกูลเฉิง โจวเสาจิ่นจะกล้าตัดสินใจได้อย่างไร
“ไม่เป็นไร” เฉิงฉือกล่าว “ข้าเพียงลองพูดกับเจ้าดูเท่านั้น อยากฟังว่าเจ้าจะว่าอย่างไร
บ้าง”
“มิใช่ว่าท่านบอกว่าไม่อาจให้องค์ชายสี่ขึ้นสู่จุดสูงสุดหรอกหรือ” โจวเสาจิ่นกล่าว “พวก
เรารู้สึกว่าจะให้ดีที่สุดคือพวกเราควรเก็บซ่อนความสามารถและรักษาความเป็นกลางเอาไว้ แต่
ถ้าหากไม่ได้การจริงๆ อย่างไรเสียองค์ฮ่องเต้ย่อมจะทรงแต่งตั้งพระราชนัดดาองค์โตเป็นรัช
ทายาทไท่ซุนอย่างแน่นอนนอกเสียจากว่าชาตินี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่คาดคิด
จริงๆ เท่านั้น ลําดับแรกสุดพวกเราจึงรอดูสถานการณ์เงียบๆ ไปก่อนได้ เมื่อองค์ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้ง
พระราชนัดดาองค์โตแล้ว พวกเราย่อมจะติดตามรัชทายาทไท่ซุน เนื่องจากเขาต่างหากที่เป็นผู้มี
สิทธิ์ถูกต้องทุกประการ ได้ถือโอกาสใช้รัชทายาทไท่ซุนกําจัดองค์ชายสี่ เช่นนั้นต่อไปไม่ว่าผู้ใดจะ
ได้ขึ้นสู่จุดสูงสุด อย่างน้อยตระกูลเฉิงก็ไม่ต้องเดินอยู่บนเส้นทางเดิมของชาติก่อนแล้ว”
เฉิงฉือได้ยินแล้วหัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “ไม่เลว ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงตั้งใจเอาไว้
ว่า ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือขององค์ชายสี่หรือไม่ก็ตาม ข้าก็จะทําให้เรื่องนี้กลายเป็นฝีมือขององค์
ชายสี่ ต่อให้องค์ฮ่องเต้ไม่ทรงเชื่อ ก็ต้องทําให้พระราชนัดดาองค์โตทรงเชื่อให้ได้”
นี่เป็นการใส่ร้ายไม่ใช่หรือ!
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตากว้าง
เพียงพริบตาเดียวก็นึกถึงชาติก่อนที่องค์ชายสี่สังหารตระกูลเฉิงทั้งตระกูล ก็รู้สึกใจแข็ง
กร้าวขึ้นมา คิดว่าในเมื่อทุกคนต่างหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าปะทะกันไม่ได้ ย่อมมีแต่ต้องเสี่ยงเป็น
เสียงตายกันสักครั้งหนึ่งแล้ว5059
ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องมากมายไม่รู้จบ โจวเสาจิ่นจําไม่ได้ด้วยซํ้าว่าตนเผลอหลับไปตั้งแต่
เมื่อไร เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็ถูกเฉิงฉือปลุกให้ตื่น
“รีบตื่นเร็วเข้า!” ในนํ้าเสียงของเขาเจือความเสียใจและกล่าวโทษตัวเองอยู่ด้วยโดยไม่
รู้ตัว “วันนี้ท่านแม่กับข้าต้องเข้าวังไปร้องไห้ไว้ทุกข์ เจ้าอยู่บ้านเลี้ยงอวิ้นเกอเอ๋อร์คนเดียวได้
หรือไม่ พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง และอาเจิงก็ต้องเข้าวังด้วย หรือว่าข้าให้คนส่งจดหมายไปที่ซอ
ยอวี๋ซู่สักฉบับหนึ่ง ให้พี่สาวของเจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่”
เพราะเฉิงจิง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นฮูหยินขั้นหนึ่งบน ส่วนชิวซื่อเนื่องจาก
เฉิงเว่ยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ตรวจการที่ซานตงจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นฮูหยินขั้นสามบน
นางลืมเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและพี่สะใภ้รองต้องเข้าวังไปร้องไห้ไว้ทุกข์ไปได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นกลิ้งตัวปีนขึ้นมา ขยี้ดวงตาพร้อมกับรีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าจะลุกเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ…”
กลับไม่รู้ว่าดวงตาที่ยังสะลึมสะลือไม่ตื่นดีกับสภาพที่เสื้อผ้าหลุดออกครึ่งหนึ่งของตนนั่นจะ
กระตุ้นคนได้มากมายเพียงใด แววตาของเฉิงฉือมืดครึ้มแล้วมืดครึ้มอีก ไม่ง่ายเลยกว่าจะหักห้าม
ใจตัวเองได้ อุ้มโจวเสาจิ่นวางไว้บนเตียงเตาตัวใหญ่ข้างหน้าต่าง
ชุนหว่านพาสาวใช้ตักนํ้าเข้ามาให้โจวเสาจิ่นล้างหน้า โจวเสาจิ่นถึงได้ตื่นเต็มตาขึ้นมา
ปรึกษาเฉิงฉือว่า “ช่วงนี้ทุกคนล้วนต้องเข้าวังไปร้องไห้ไว้ทุกข์ รับอาเป่ากับอาเหรินมาให้ข้าช่วย
ดูแลดีหรือไม่เจ้าคะ ปกติยามพวกเรามีเรื่องอะไรพี่สะใภ้รองก็มักจะช่วยเหลือข้าอย่างมีนํ้าใจอยู่
เสมอ”
เฉิงฉือกลัวว่านางจะดูแลเด็กหลายคนไม่ไหว แต่เสาจิ่นมีความตั้งใจ เขาจึงคิดว่าให้นาง
ลองดูก็ได้ หากไม่ได้การต่อไปก็ให้นางเลี้ยงแต่อวิ้นเกอเอ๋อร์คนเดียวก็พอ5060
“เช่นนั้นก็รับมาก็ได้กระมัง” เฉิงฉือกล่าว “ประเดี๋ยวตอนที่พวกเราไปคารวะท่านแม่ก็ลอง
ถามความเห็นของท่านแม่ดู”
ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
โจวเสาจิ่นพยักหน้าพร้อมกับยิ้มตาหยี ให้คนไปบอกฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่าจะไปรับมื้อเช้า
ด้วย ล้างหน้าล้างตาและแต่งตัวเสร็จแล้วก็ไปที่เรือนทิงเซียงกับเฉิงฉือ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกําลังรอพวกเขามารับมื้อเช้าด้วยกัน
อวิ้นเกอเอ๋อร์นอนอยู่ในห้องกั้นของฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังไม่ตื่น
โจวเสาจิ่นจึงบอกกล่าวเรื่องที่อยากรับอาเป่ากับอาเหรินมาที่นี่ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง
“ดียิ่ง!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วทั้งพึงพอใจและดีใจ กล่าวว่า “พี่น้องก็ควรจะคิดถึงกัน
และกัน ดูแลกันและกันเช่นนี้ ต่อให้เจ้าอาจจะดูแลไม่ไหวอยู่บ้าง แต่มิใช่ว่ามีพวกป้ารับใช้และแม่
นมเหล่านั้นอยู่ด้วยหรอกหรือ ถึงเวลาเจ้าคอยดูสักหน่อยอย่าให้เกิดเรื่องขึ้นกับพวกเขาก็พอแล้ว”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึก ให้ซางมามาไปที่บ้านของชิวซื่อ แล้วก็ให้คนไปถามเฉิงเจิงด้วย
ว่าต้องการให้นางช่วยดูแลกู้หนิงกับกู้จงให้หรือไม่
เดิมทีชิวซื่อมอบหมายให้เฉิงเซิงช่วยดูแลอาเป่ ากับอาเหรินแล้ว พอเฉิงเซิงได้ยินว่าโจว
เสาจิ่นให้คนมารับอาเป่ ากับอาเหริน รู้สึกว่าที่บ้านของโจวเสาจิ่นน่าสนุกกว่า จึงอุ้มรุ่ยเกอเอ๋อร์
ตามมาด้วย
ส่วนเฉิงเจิงมอบหมายให้เฉิงเซียวช่วยดูแลลูกๆ ให้ เฉิงเซียวได้ยินว่าเฉิงเซิงพาเด็กๆ ไปที่
บ้านของโจวเสาจิ่น ก็เลยพากู้หนิงและกู้จงไปที่ประตูเฉาหยางด้วยเช่นกั