ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 546 แผนการ
ที่ประตูเฉาหยางพลันคึกคักเสมือนวันปีใหม่ขึ้นมา
โจวเสาจิ่น เฉิงเซียว เฉิงเซิง และโจวชูจิ่นนั่งอยู่บนเตียงเตาตัวใหญ่ข้างหน้าต่างใน
ห้องนั่งเล่นพลางดื่มชาไปด้วยกินขนมไปด้วย อาเหรินถือแส้หางม้าปัดแมลงอันหนึ่ง กวนเกอถือที่
ปัดฝุ่ นขนไก่อันหนึ่งวิ่งไล่จับกันไปมาอยู่ในห้อง ไม่มีเวลาให้เงียบสงบเลยแม้แต่เค่อเดียว แม่นม
ของทั้งสองคนยืนอยู่ข้างๆ อย่างร้อนใจ ส่วนสาวใช้เด็กที่เล่นเป็นเพื่อนด้วยก็วิ่งตามหลังทั้งสอง
คนอย่างร้อนใจ กลัวว่าพวกเขาจะชนกันเองหรือไม่ก็ตีโดนกันเอง ส่วนอวิ้นเกอเอ๋อร์นั้นมีแม่นม
อุ้มเอาไว้เบิกดวงตาเบิกกว้างมองอยู่ข้างๆ ทั้งยังหัวเราะร่าและร้องอ้อแอ้อยู่บ่อยๆ อีกด้วย ดู
สนุกสนานยิ่งนัก
เนื่องจากอาเป่าโตกว่าเล็กน้อย ไม่เหมือนอาเหริน ไม่นานก็หลอมรวมเข้ากับตระกูลเฉิง
ได้อย่างรวดเร็ว
เขายืนดูอาเหรินอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางกลัวว่าอาเหรินจะสร้างปัญหา
กู้จงจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “มีแม่นมและพวกสาวใช้ดูอยู่ ไม่เป็นไรหรอก”
หากอาเหรินและกวนเกอกระแทกหรือชนจนได้รับบาดเจ็บตรงไหน ข้ารับใช้ที่ปรนนิบัติ
อยู่ข้างกายพวกเขาล้วนต้องได้รับโทษหนัก ดังนั้นพวกเขาย่อมจะตั้งใจดูแลเด็กทั้งสองคนอย่าง
สุดความสามารถ
เขาถามอาเป่าว่า “ข้าตั้งใจว่าจะไปเขียนอักษรกับพี่ชาย เจ้าจะไปด้วยหรือไม่”
อาเป่ามองกู้หนิงที่กําลังนั่งตัวตรงประหนึ่งต้นสนฝึกคัดอักษรอยู่หน้าโต๊ะตรงฝั่งตะวันตก
ของห้องโถง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า “ข้ายังไม่ได้เรียนหนังสืออย่างเป็น
ทางการ กําลังเรียน ‘คัมภีร์สามอักษร’ กับท่านย่ารองในยามปกติเพียงเท่านั้น…”5062
กู้จงกล่าวยิ้มๆ ด้วยมาดผู้ใหญ่ว่า “ตอนข้ากับพี่ชายเป็นเด็กก็เป็นท่านแม่ที่สอนให้รู้จัก
ตัวอักษร จวบจนฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ถึงได้เข้าเรียนหนังสืออย่างเป็นทางการ” ความหมายก็คือเจ้า
ไม่จําเป็นต้องรู้สึกอับอาย “เจ้าเริ่มฝึกเขียนอักษรตามเส้นแดงหรือยัง”
อาเป่าพยักหน้า
กู้จงกล่าว “ท่านแม่ของข้ากําหนดเอาไว้ว่าข้าต้องฝึกคัดอักษรให้ได้วันละสามร้อย
ตัวอักษร ท่านย่ารองกําหนดให้เจ้าฝึกคัดกี่ร้อยตัวอักษรหรือ”
อาเป่ ากล่าวอย่างกระดากอายว่า “ไม่…ไม่ได้กําหนดไว้ เพียงแต่ให้ฝึกเขียนตามอักษร
ตัวอย่างเป็นเวลาวันละหนึ่งก้านธูปก็พอ”
“นั่นเป็นเพราะเจ้าเพิ่งเริ่มต้นฝึก” กู้จงกล่าวอย่างคนมีประสบการณ์ “หากเจ้ามีเวลาฝึก
เขียนมากเท่าไร ก็ฝึกเขียนให้มากเท่านั้นเป็นดีที่สุด ท่านพ่อข้าบอกว่า การฝึกฝนคือความสําเร็จ
สูงสุด ยิ่งเจ้าใช้เวลาฝึกฝนมากเท่าไร ตัวอักษรของเจ้าก็จะยิ่งเขียนได้งดงามมากขึ้นเท่านั้น ก่อน
หน้าที่ท่านพ่อข้าจะสอบจิ้นซื่อได้นั้น ต้องฝึกเขียนอักษรวันละห้าพันตัวอักษร ตอนนี้เขาเขียน
อักษรได้งดงามมาก ไม่เพียงท่านปู่ และท่านย่าของข้าเท่านั้น แม้แต่ท่านปู่ ทวดและท่านย่าทวด
ของข้าล้วนเคยชมเชยว่าท่านพ่อข้าเขียนอักษรได้งดงามยิ่ง ท่านย่าทวดของข้าก็เขียนอักษรได้
งดงามมากเช่นเดียวกัน ตอนท่านป้า ญาติผู้พี่หญิงและญาติผู้น้องหญิงทั้งหลายเรียนหนังสือล้วน
ใช้อักษรตัวอย่างที่ท่านย่าทวดเป็นคนเขียนมาทั้งสิ้น จวบจนตอนนี้ท่านอาหญิงเจ็ดของข้ายังฝึก
เขียนอักษรตามตัวอย่างอักษรที่ท่านย่าทวดข้าเป็นคนเขียนวันละห้าหน้ากระดาษอยู่เลย! ท่านอา
หญิงเจ็ดข้าคือบุตรสาวของท่านย่าน้องสาวของปู่ข้า เป็นลูกพี่ลูกน้องหญิงของท่านพ่อข้า…”
ความสัมพันธ์เครือญาติของกู้จงทําให้อาเป่ามึนไปเรียบร้อยแล้ว แต่เขาเห็นกู้จงพูดอย่าง
เอาจริงเอาจัง จึงพยักหน้าตามอย่างเอาจริงเอาจังไปด้วย พลางเดินตามกู้จงไปที่ห้องโถงไปด้วย5063
สาวใช้ใหญ่ข้างกายกู้หนิงรีบเดินเข้ามาหาเงียบๆ ย่อเขาทําความเคารพกู้จง กระซิบ
กล่าวเสียงเบาว่า “คุณชายรอง คุณชายใหญ่กําลังฝึกคัดอักษรอยู่เจ้าค่ะ!”
“ข้าทราบแล้ว!” กู้จงก็กระซิบด้วยเช่นกัน “พวกข้าก็จะฝึกคัดอักษรด้วย เจ้ายกโต๊ะเล็กๆ
มาให้พวกข้าสักตัวหนึ่ง”
เขาเพิ่งพูดจบ บ่าวไพร่ของตระกูลเฉิงที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ในห้องโถงก็รีบก้าวออกมา
กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “คุณชายน้อยทั้งสองท่านรอสักครู่ บ่าวจะไปสั่งการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
กู้จงพยักหน้า
บ่าวไพร่ถอยออกไปอย่างเบามือเบาเท้า
กู้จงจึงหันไปส่งสัญญาณมือให้อาเป่าครั้งหนึ่ง เดินย่องไปข้างหน้า เขย่งเท้ายื่นคอมองไป
บนโต๊ะ
กู้หนิงที่กําลังตั้งอกตั้งใจเขียนอักษรมาโดยตลอดพลันหันศีรษะกลับมายิ้มให้น้องชาย
อย่างกะทันหัน
กู้จงตกใจเป็นการใหญ่ กล่าวอย่างขลาดกลัวว่า “ท่านพี่ ข้าไม่ได้จะกวนท่าน ข้าแค่จะดู
เฉยๆ เท่านั้น…”
“ข้ารู้แล้ว!” กู้หนิงกล่าวอย่างอบอุ่น “รอข้าทําการบ้านที่ท่านอาจารย์มอบหมายให้เสร็จ
ก่อนแล้วจะไปเล่นเป็นเพื่อนพวกเจ้า” ขณะที่กล่าว ยังมองอาเป่าครั้งหนึ่งด้วย
อาเป่ายิ้มอย่างขัดเขิน
กู้จงกลับรีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าจะเขียนอักษรเป็นเพื่อนท่านพี่”
กู้หนิงยิ้ม ก้มศีรษะลงฝึกคัดอักษรอย่างเอาจริงเอาจัง5064
พวกบ่าวไพร่ยกโต๊ะเก้าอี้ขนาดเล็กเข้ามาชุดหนึ่ง
กู้จงจึงหยิบอักษรตัวอย่างออกมาฝึกคัดอักษรตามเส้นแดงกับอาเป่า
ตอนแรกอาเหรินและกวนเกอยังคิดจะวิ่งมาที่ห้องโถง แต่ถูกแม่นมอุ้มเอาไว้พร้อมกับชี้
มาที่กู้หนิง กู้จงและอาเป่าที่กําลังเขียนอักษรกันอยู่พลางหลอกล่อไปสองสามประโยค เด็กทั้งสอง
คนจึงไม่พยายามวิ่งมาที่ห้องโถงอีก ทําเพียงวิ่งเล่นอยู่ในห้องรับแขกและห้องชั้นในสองฝั่งเท่านั้น
อีกทั้งเนื่องจากภายในห้องมีลูกตุ้มเครื่องหอมหยกแกะสลักและเครื่องเล่นทรงเหลี่ยมทําจากไม้
อยู่เป็นจํานวนมาก เด็กทั้งสองก็เลยไม่มีเวลาไปกวนพวกกู้หนิง
มีเพียงอวิ้นเกอเอ๋อร์ที่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เขาอยากดูอาเหรินกับกวนเกอเล่นกัน
ครั้นเขามองไม่เห็นพวกเขาสองคน เขาก็จะเริ่มร้องโวยวาย
แม่นมลองทดสอบอยู่หลายรอบ เมื่อเข้าใจความต้องการของเขาแล้ว ก็อุ้มเขาเดิน
ตามหลังอาเหรินกับกวนเกอ เขาจึงสงบลงมา ยังส่งเสียงร้องที่ไม่รู้ว่าคืออะไรออกมาบ่อยๆ อีก
ด้วย
เฉิงเซียวอดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “อวิ้นเกอเอ๋อร์โตไปต้องเป็นคนที่ขึ้นบ้านไปรื้อหลังคาลง
นํ้าไปจับปลาผู้หนึ่งเป็นแน่”
โจวชูจิ่นกลับไม่ว่าจะดูอย่างไรก็รู้สึกว่าหลานชายของตนผู้นี้ดีไปหมด กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้า
ดูร่างกายที่แข็งแรงของเขานั่น มือหนักกว่ากวนเกอของพวกข้าตอนเด็กๆ มากโข เด็กเช่นนี้ล้วน
กระฉับกระเฉง ถึงเวลาเพียงต้องชี้แนะอย่างเอาใจใส่ก็ใช้ได้แล้ว เหมือนเสาจิ่น ตอนเป็นเด็กซน
มาก เห็นอะไรก็เป็นต้องถามว่าทําไมครั้งหนึ่ง ไม่มีเวลาให้เงียบสงบเลยแม้แต่เค่อเดียว ตอนนั้น
ท่านยายของข้ายังเป็นกังวลใจว่านางจะไม่ได้ออกเรือน แต่เจ้าดูตอนนี้ อ่อนโยนและเงียบกว่าใคร5065
เพื่อน ทุกวันอยู่แต่ในบ้านไม่อยากออกไปไหนทั้งสิ้น!” กล่าวถึงตรงนี้ นางก็นึกถึงงานวัดของวัดต้า
เซียงกั๋วในวันที่หนึ่งเดือนสิบขึ้นมา กล่าวต่อว่า “งานวัดของวัดต้าเซียงกั๋วคงจัดไม่ได้แล้วกระมัง
ถึงเวลาพวกเราไปจุดธูปที่วัดเจ้อถานแถบชานเมืองกันดีหรือไม่”
“ข้าได้ยินว่างานวัดของวัดต้าเซียงกั๋วยังคงจัดตามเดิม” เฉิงเซิงกล่าว “แต่ว่าอาจจัดเป็น
พิธีกรรมทางศาสนาแทน องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ วัดในจิงเฉิงจะสวดมนตร์ให้องค์รัชทายาทก็
เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว วัดเจ้อถานเป็นวัดใหญ่ ข้าคิดว่าพวกเขาก็น่าจะจัดงานสวดมนตร์
เช่นเดียวกับวัดต้าเซียงกั๋วกระมัง”
“เช่นนั้นอย่าออกจากบ้านดีกว่า” โจวชูจิ่นยังจดจําความแออัดจอแจของงานวัดหลายๆ
วัดในจิงเฉิงได้แจ่มชัดดี “ทําพิธีกราบไหว้ที่บ้านก็พอแล้ว!”
ตามหลักแล้ว วันที่หนึ่งเดือนสิบเป็นวันกราบไหว้บรรพบุรุษ
เฉิงเซียงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเองก็ตั้งใจว่าจะไม่ออกไปไหนเช่นกัน หรือไม่วันที่สองพวกเรา
มารวมตัวกันอีกครั้งดีกว่า! เจ้าดูพวกเด็กๆ เล่นกันอย่างสนุกสนานยิ่งนัก!” กล่าวถึงตรงนี้ นาง
ถอนใจครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าเห็นแล้วก็อยากจะรับอิ่งเกอเอ๋อร์ของพวกข้ามาด้วยยิ่งนัก”
โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ไปรับมาเถิด! ลูกที่เติบโตอยู่ข้างกายตนอย่างไรก็ไม่
เหมือนกัน”
“ผู้ใดว่าไม่ใช่เล่า” เฉิงเซียวกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “แต่แม่สามีของข้าไม่ยอมปล่อย บอก
ว่าพวกข้ายังดูแลตัวเองได้ไม่ดีเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดูแลลูก ยังเร่งให้พวกข้ามีลูกอีกคนหนึ่งด้วย
…”
ทุกบ้านต่างมีคัมภีร์ที่ยากจะอ่านอยู่เล่มหนึ่ง
โจวชูจิ่นถอนหายใจอยู่ในใจ กลับเห็นว่าโจวเสาจิ่นไม่พูดอะไรมาพักใหญ่แล้ว5066
นางอดไม่ได้ใช้ศอกกระทุ้งโจวเสาจิ่น พลางกล่าว “คิดอะไรอยู่หรือ”
โจวเสาจิ่นได้สติคืนกลับมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ากําลังดูกู้หนิงและกู้จงเขียนอักษร คิดว่า
เด็กๆ เหล่านี้อีกไม่กี่ปีทุกคนก็น่าจะต้องไปเข้าโรงเรียนกันแล้ว เมื่อก่อนตระกูลเฉิงจัดตั้งสํานัก
ศึกษาได้ดียิ่ง หรือว่าพวกเราจัดตั้งสํานักศึกษาอีกดีหรือไม่ ให้เด็กๆ ได้เรียนหนังสือด้วยกัน เมื่อโต
ไปไม่เพียงมีความผูกพันกันทางสายเลือดเท่านั้น ยังมีมิตรภาพเป็นสหายร่วมห้องกันด้วย ช่างดี
ยิ่งนี่นา!”
โจวชูจิ่นใจเต้นแรง
ที่เจิ้นเจียงตระกูลเลี่ยวนับว่าเป็นลําดับต้นๆ ในเจียงหนานก็พอจะนับได้ว่าอยู่ลําดับบนๆ
แต่เมื่อมาถึงจิงเฉิงเห็นได้ชัดว่าไม่เพียงพอแล้ว ตอนนี้พวกเขาสองสามีภรรยาไม่คาดหวังว่า
ตระกูลเลี่ยวจะช่วยเหลือพวกเขาได้ ขอเพียงไม่เป็นตัวถ่วงให้พวกเขาสองสามีภรรยาก็พอแล้ว
ถ้าหากกวนเกอเอ๋อร์ได้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับพวกกู้จงและอาเป่า ต่อไปมีเรื่องอะไรก็มีคน
ช่วยเหลือได้สักคนหนึ่งแล้ว
นางหันไปมองเฉิงเซิง “ข้าคิดว่าความคิดนี้ดี! เพียงแต่ว่าในบ้านของพวกเราล้วนมีผู้
อาวุโสอยู่ ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่จะคิดเห็นเช่นไร”
เฉิงเซิงเองก็ใจเต้นแรงมากเช่นกัน
จวนหลักและซอยจิ่วหรูที่จินหลิงแยกตระกูลกันแล้ว หลายๆ จวนที่รั้งอยู่ที่จินหลิงเมื่อไม่
มีจวนหลักแล้วก็เห็นได้ชัดว่าชีวิตไม่ค่อยราบรื่นนัก ส่วนจวนหลักของพวกเขาเมื่อไม่มีฐานราก
ของซอยจิ่วหรูแล้วก็ไม่ดีนักเช่นกัน
ถ้านําความรุ่งโรจน์ของสํานักศึกษาตระกูลเฉิงกลับมาอีกครั้งได้ จวนหลักก็จะยืนอยู่ใน
จิงเฉิงได้อย่างมั่นคงจริงๆ แล้ว5067
นางหันไปมองเฉิงเซียว
เฉิงเซิงคิดได้ เฉิงเซียวก็คิดได้เช่นกัน
นางพึมพํากล่าวว่า “ประเดี๋ยวกลับไปข้าจะลองหารือกับพี่ใหญ่ดู หากเป็นไปได้ สํานัก
ศึกษานี้ควรตั้งอยู่ที่ไหนดี”
โจวเสาจิ่นกล่าว “ตั้งอยู่ที่นี่ได้หรือไม่ ถ้าหากไม่ได้ ข้ายังมีบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่ที่ซอยอวี๋
เฉียน เพียงแต่ว่าทางด้านโน้นจะไม่มีคนคอยดูแลก็เท่านั้น สํานักศึกษาเพิ่งเปิดใหม่ ควรจะมีคน
คอยดูแลถึงจะดี หากอาจารย์ใช้ไม่ได้ ก็จะได้เปลี่ยนคนใหม่ได้ ถ้าหากอนาคตของพวกเด็กๆ ต้อง
ล่าช้าเสียหายเพราะเหตุนี้คงเป็นการสูญเสียที่เรียกคืนไม่ได้แล้ว”
เฉิงเซียวพยักหน้า พลางกล่าว “การคัดเลือกอาจารย์ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา ตอนนี้หนิงเกอ
เอ๋อร์และจงเกอเอ๋อร์ได้ท่านอาของตระกูลกู้ผู้หนึ่งมาช่วยสอนให้ แต่ปีหน้าเป็นการสอบขุนนาง
ครั้งใหญ่ ท่านอาผู้นี้จะต้องลงสนามสอบอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นหากสอบผ่านได้รับตําแหน่ง
ตระกูลกู้จะต้องไปเชิญอาจารย์คนใหม่มาสอนเป็นแน่”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างครุ่นคิดพิจารณาว่า “ขอให้ท่านอาจารย์อู๋อู๋เจ่าซิ่วช่วยแนะนํา
บัณฑิตผู้คงแก่เรียนมาให้สักท่านหนึ่งได้หรือไม่ ไม่จํากัดว่าต้องมาจากสํานักฮั่นหลินก็ได้ อบรม
บ่มเพราะเด็กเล็กเข้มงวดไร้การยืดหยุ่นมากเกินไปก็ไม่ดีนัก หาคนที่อายุน้อยสักหน่อย…”
“ความคิดนี้ดี” เฉิงเซิงกล่าวยิ้มๆ “ตอนพวกเราเรียนหนังสืออยู่ที่บ้านท่านย่ายอมหา
อาจารย์หญิงให้พวกเราโดยที่ไม่ยอมให้หาอาจารย์ชราจากสํานักฮั่นหลินก็ด้วยความคิดนี้เช่นกัน
น่าเสียดายที่เด็กๆ ที่พวกเราคลอดออกมาเป็นเด็กชาย หากคลอดเด็กหญิงได้สักคนก็คงจะดี”
หัวข้อสนทนาจึงเปลี่ยนจากเรื่องสํานักศึกษาไปเป็นการคลอดบุตรชายบุตรหญิงอย่างไร
แทน5068
โจวเสาจิ่นเม้มปากหัวเราะไม่หยุด
มีสาวใช้เด็กเข้ามารายงานว่า “ฮูหยิน ซางมามาขอพบเจ้าค่ะ”
ที่นี่ไม่มีคนนอก ซางมามาถึงกับไม่เข้ามาแจ้งธุระ แสดงว่าเรื่องที่ต้องการพูดไม่สะดวกให้
ผู้อื่นรับรู้
โจวเสาจิ่นขานรับคํายิ้มๆ บอกพวกเฉิงเซียวคําหนึ่งแล้วออกจากเรือนหลักไป
ซางมามารออยู่ใต้เฉลียงทางเดิน
พอเห็นนางก็ก้าวออกมาทําความเคารพ กระซิบที่ข้างหูนางว่า “ฮูหยิน พ่อบ้านของจวน
รอง หรือก็คือหลานชายห่างๆ ของนายหญิงผู้เฒ่าถังผู้นั้น มาตะโกนคําด่าทออยู่หน้าประตูใหญ่
พ่อบ้านใหญ่ฉินให้คนอุดปากเขาแล้วลากไปไว้ที่ห้องคนเฝ้าประตู พ่อบ้านใหญ่ถามว่าให้ทํา
อย่างไรดีเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นหนังตากระตุก กล่าวว่า “เหตุใดเขาถึงมาตะโกนคําด่าทออยู่ที่หน้าประตูใหญ่
หรือ”
ซางมามาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ฤดูหนาวปีที่แล้วจวนรองนําเงินหนึ่งแสนเหลี่ยงไป
ร่วมลงทุนกับกองเรือของสิบสามห้าง ผลปรากฏว่าปีนี้สิบสามห้างมีเรืออับปางในทะเลสองลํา
หนึ่งในนั้นมีเรือลําที่จวนรองร่วมลงทุนด้วยหนึ่งลํา หลานชายของนายหญิงผู้เฒ่าถังจึงกล่าวว่า
ความจริงแล้วนั่นมิใช่เรือลําที่พวกเขาร่วมลงทุนด้วย เป็นนายท่านสี่ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกง เพราะ
ในใจยังแค้นเคืองที่ตอนแยกตระกูลกันจวนรองเรียกร้องเงินจากจวนหลักมาเป็นจํานวนมาก…”
นี่ก็เป็นเรื่องที่เฉิงฉือทําออกมาได้จริงๆ
แต่โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าต่อให้เรื่องนี้เป็นฝีมือของเฉิงฉือ เขาก็ไม่ผิดอะไร5069
จวนรองแบ่งเอาเงินไปมากมายขนาดนั้น ถ้าหากไม่ละโมบโลภมาก เงินพวกนั้นก็
เพียงพอให้พวกเขาใช้ไปชั่วลูกชั่วหลานได้อีกหลายต่อหลายรุ่น
ตอนนี้ฝีมือของตนมีไม่เท่าผู้อื่น ก็มากล่าวโทษที่ผู้อื่นมีความสามารถเก่งกาจ
นางกล่าวขึ้นว่า “พ่อบ้านใหญ่ฉินคิดเห็นว่าอย่างไร”
ซางมามากล่าวว่า “ตามความคิดของพ่อบ้านใหญ่ฉินคือส่งตัวให้ทางการ ตอนที่เขา
ตะโกนด่าทอนั้น มีเพื่อนบ้านใกล้ๆ พบเห็นแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ทําตามที่พ่อบ้านใหญ่ฉินเห็นสมควรเถิด!” โจวเสาจิ่นเองก็คิดว่าควรจะให้
บทเรียนแก่คนอย่างพวกเขาสักบทเรียนหนึ่ง จะได้ไม่เห็นบ้านของพวกเขาเป็นส่วนผัก ที่คิดจะทํา
อย่างไรก็ทําอย่างนั้น
ซางมามาขานรับคํายิ้มๆ แล้วถอยออกไป