ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 547 ล้มป่ วย
ตอนนั้นหลานชายของนายหญิงผู้เฒ่าถังโกรธจนบ้าคลั่งไปแล้ว คิดเพียงว่าตอนนี้เฉิงจิง
มีตําแหน่งสูงส่งย่อมไม่อาจเสียหน้าได้ จนกระทั่งตอนที่คนของตระกูลเฉิงจับเขาไว้จะส่งเขาไปที่
ศาลซุ่นเทียนนั้น เขาก็หวาดกลัวขึ้นมา พยายามจะวิ่งหนี
ฉินจื่อจี๋ยิ้มเย็น
มาสร้างเรื่องวุ่นวายถึงหน้าประตูบ้านของตระกูลเฉิงบ้านสาม ไม่ดูเสียบ้างว่าที่นี่คือ
สถานที่อะไร
หากครั้งนี้ตระกูลเฉิงอดทนเก็บความโกรธนี้ไว้ เช่นนั้นต่อไปมิใช่ว่าใครๆ ก็ทําเลียนแบบ
ได้หรอกหรือ
เพียงแต่ว่าเฉิงฉือยังไม่ทันได้กลับมา เฉิงสือก็พาพ่อบ้านสองคนถือกล่องของขวัญหลาย
กล่องมาด้วยตัวเอง กล่าวกับฉินจื่อจี๋ด้วยดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียใจว่า “ล้วนเป็นท่านอา
ของข้าผู้นี้ที่ไม่รู้ความ ขอให้เห็นแก่ท่านย่าของข้ารบกวนพ่อบ้านใหญ่ฉินอย่าได้ลดตัวไปพิพาท
กับเขาเลย ทางด้านอาสะใภ้เล็ก รบกวนช่วยนําความไปแจ้งแทนข้าสักครั้งหนึ่ง ข้าอยากกล่าวขอ
โทษนางแทนท่านอา”
ความจริงแล้วฉินจื่อจี๋หาข้ออ้างไล่เฉิงสือออกไปได้ แต่เฉิงสือกล่าวอ้างถึงโจวเสาจิ่น เขา
จึงไม่อาจตัดสินใจเองได้ ยิ้มพลางเชิญเฉิงสือไปนั่งที่โถงรับรองของลานชั้นนอก ให้คนไปขอให้
โจวเสาจิ่นชี้แนะลงมา
อะไรที่ไม่ถูกกาลเทศะก็ไม่ควรฟัง
เนื่องจากบ่าวรับใช้ของตระกูลเฉิงเชิญโจวเสาจิ่นออกไปพูดคุยด้วย เฉิงเซิงและคนอื่นๆ
ย่อมไม่อาจถามโจวเสาจิ่นว่าตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ส่วนโจวเสาจิ่นรู้สึกว่าหลานชายห่างๆ5071
ของนายหญิงผู้เฒ่าถังผู้นั้นไม่ไปโวยวายที่ซอยซิ่งหลินและไม่ไปที่บ้านของเฉิงเว่ย กลับวิ่งมา
โวยวายที่หน้าประตูบ้านของนาง ก็เป็นเพราะเลือกบีบลูกพลับนิ่มเลือกรังแกคนอ่อนแอกว่า ขาย
หน้ามากเกินไปแล้ว นางไม่อาจเล่าให้พวกโจวชูจิ่นฟังได้ เห็นทุกคนล้วนเห็นแก่หน้านางไม่
สอบถามอะไร นางอดไม่ได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกไปครั้งหนึ่ง คุยกับพวกนางเรื่องสัพเพเหระใน
บ้านต่อ
ไม่คิดว่านางพูดยังไม่ถึงสองประโยค สาวใช้เด็กผู้นั้นก็ย้อนกลับมาอีก กล่าวว่า “ฮูหยิน
ซางมามามีเรื่องต้องการขอให้ท่านช่วยชี้แนะเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นไม่พอใจนัก
หรือว่าหลานชายของนายหญิงผู้เฒ่าถังผู้นั้นจะทําอะไรแปลกๆ ขึ้นมา?
นางกล่าวขออภัยเฉิงเซิงและคนอื่นๆ ออกจากห้องนั่งเล่นไป
ซางมามาเล่าเรื่องที่เฉิงสือเร่งมาหาอยากจะกล่าวขอคําขอโทษโจวเสาจิ่นแทนท่านอา
ของเขาให้โจวเสาจิ่นฟัง
โจวเสาจิ่นไม่สบอารมณ์คนที่ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีความผิดก็ยังจะตบหน้าเจ้า จากนั้นคิดว่ากล่าว
ขอโทษแล้วเรื่องนี้ก็จะจบลงเป็นที่พึงพอใจของทั้งสองฝ่ายประเภทนั้นเป็นที่สุด
นางกล่าว “เจ้าไปบอกเขา ชายหญิงไม่ใกล้ชิด แม้นข้าจะเป็นผู้อาวุโส แต่อายุข้าก็เท่านี้
ไม่สะดวกออกไปพบแขกจริงๆ เขามีเรื่องอะไร ให้พูดกับพ่อบ้านใหญ่ฉิน หากพ่อบ้านใหญ่ฉิน
ตัดสินใจไม่ได้ เช่นนั้นก็คงต้องรอนายท่านสี่กลับมาแล้วค่อยว่ากันอีกทีแล้ว”
ก่อนหน้านี้ซางมามากลัวว่าโจวเสาจิ่นจะใจอ่อน พวกเขาเพิ่งจับคนส่งไปที่ศาลซุ่นเทียน
โจวเสาจิ่นเห็นเฉิงสือมากล่าวขอโทษด้วยตัวเอง รู้สึกอับอาย สุดท้ายจะให้ปล่อยตัวหลานชาย
ของนายหญิงผู้เฒ่าถังไป5072
นางขานรับ “เจ้าค่ะ” อย่างยิ้มแย้ม ความยินดีต่อหายหะของผู้อื่นที่อยู่ในใจเผยออกมา
ให้เห็นทางสีหน้าอย่างปิดไม่มิด
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้เม้มปากหัวเราะ กล่าวขึ้นว่า “หากพวกเจ้ารู้สึกว่ายังไม่ได้ระบาย
ความโกรธ มิสู้ให้เขารออยู่เฉยๆ ไปเช่นนี้ อย่างไรเสียในบ้านก็ไม่มีใครตัดสินใจได้ หากเขารู้สึกไม่
เป็นธรรม ก็ต้องมีคนช่วยตัดสินใจให้เขาสักคนหนึ่งมิใช่หรือ ถ้าหากเขาไม่ยอม ก็จะได้แยกย้าย
กันไป เขามาขอร้องคนอื่น เรื่องแค่นี้ยังรับไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าคําพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่อง
หลอกลวงทั้งสิ้นแล้ว!”
ซางมามาหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวว่า “เฉิงสือมาถึงจิงเฉิงตั้งแต่เมื่อไรหรือ เหตุใดพวกเราถึงไม่มีใครรู้
พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาพักอยู่ที่ไหน แล้วมาทําอะไรที่จิงเฉิง”
ซางมามากล่าวยิ้มๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ได้ยินเพียงว่าเขาจะเข้าร่วมการสอบขุนนางครั้งใหญ่
ของปีหน้า จึงมาจิงเฉิงก่อนล่วงหน้า คํานวณเวลาแล้วน่าจะมาถึงช่วงบ่ายของวันนี้หรือไม่ก็พรุ่งนี้
เช้า พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเกาเซิงข้างๆ สนามสอบแห่งนั้น พวกเราแค่คิดไม่ถึงว่าพอเขาได้ยินว่าท่าน
อาของเขาสร้างความวุ่นวายก็เร่งมาหาเลย ตามข้อตกลงของทั้งสองครอบครัวแล้ว เขาน่าจะไป
เยี่ยมนายท่านใหญ่วันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”
ตอนแยกตระกูลกันในตอนนั้นทั้งสองจวนมีข้อตกลงกันว่าจวนหลักต้องช่วยเหลือเฉิงสื
อเรื่องสอบขุนนาง
แน่นอนว่า เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ก็เป็นเพียงการถอยเพื่อขอสิ่งที่ดีกว่าเท่านั้น
หวังว่าจวนหลักจะไม่มีเจตนาขัดขวางเฉิงสือก็พอ5073
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ยิ่งควรให้เขารอสักหน่อยดีแล้ว พวก
เราทั้งไม่ได้บอกว่าจะไม่ปล่อยคน และไม่ได้บอกว่าจะไม่พบเขา เพียงแต่สถานการณ์มีการ
เปลี่ยนแปลง ก็ต้องรอสักหน่อยถึงจะถูก”
บีบคั้นให้คนสวมรองเท้าคับ ผู้ใดทําไม่ได้บ้าง!
ซางมามายิ้มพลางเดินไปที่ลานด้านหน้า
โจวเสาจิ่นกลับเรือนหลักไปด้วยความขุ่นเคือง
เนื่องจากโจวชูจิ่นเป็นพี่น้องกับโจวเสาจิ่น จึงหาโอกาสหนึ่งถามสาเหตุจากนางอย่างอด
ไม่ได้
โจวเสาจิ่นคิดว่าเนื่องจากเฉิงสือมาถึงบ้านแล้ว ต่อให้นางอยากปิดบังเรื่องนี้ไว้ก็เป็นไป
ไม่ได้แล้ว จึงเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เฉิงเซิงและคนอื่นๆ ฟัง
ทุกคนต่างประหลาดใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเฉิงเซียว เบิกดวงตากว้างพลางกล่าว
“ข้าจําได้ว่าเมื่อก่อนจวนรองไม่ได้เป็นเช่นนี้…เหตุใดตอนนี้ถึงเหมือนเศรษฐีใหม่ที่ระงับอารมณ์
ตัวเองไม่ได้ไปแล้ว?”
“เพราะฉะนั้นถึงได้มีคํากล่าวว่าความจริงใจแท้ปรากฏในยามยากลําบาก” โจวชูจิ่นทอด
ถอนใจกล่าว “เมื่อก่อนซอยจิ่วหรูมีอํานาจรุ่งโรจน์ สดใสสวยงามประหนึ่งดอกไม้สด ไม่ว่าเวลาใด
ล้วนสงบราบรื่น ผู้ใดก็ไม่อาจกระทําตัวหยิ่งทะนง โอ้อวดความยิ่งใหญ่ ตอนนี้พระอาทิตย์จวน
เจียนอัสดง บางเรื่องก็ทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นมา หารู้ไม่ว่าการกระทําเช่นนี้ยิ่งไม่น่าดู”
ทุกคนอดทอดถอนใจไม่ได้ ไม่อยากวนเวียนอยู่ที่หัวข้อนี้อีก จึงเปลี่ยนไปพูดคุยเรื่องการ
ถักพู่ของสตรีในวังที่กําลังเป็นที่นิยมของจิงเฉิงในช่วงนี้แทน5074
แต่เฉิงสือที่ห้องโถงรับรองเมื่อได้รับคําบอกกล่าวจากซางมามาแล้วก็โกรธจนมือกําหมัด
แน่น
แต่เขายังคงกล่าวขอบคุณซางมามาอย่างยิ้มแย้ม อดทนรอเฉิงฉือกลับมาด้วยความสงบ
นับตั้งแต่ซอยจิ่วหรูแยกตระกูลเป็นต้นมา เขาพานพบกับเรื่องเช่นนี้มามากกว่าหนึ่งครั้ง
หากรู้เช่นนี้แต่เนิ่นๆ ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่ยอมตกลงเรื่องแยกตระกูล
ท่านปู่ ทวดอายุมากแล้ว กระทําอะไรก็เริ่มผลีผลามไม่คํานึงผลลัพธ์ที่ตามมา ทั้งอยาก
อาศัยชื่อเสียงของจวนหลัก และกลัวว่าจวนหลักจะเป็นเช่นเดียวกับปีนั้น เลือกบุตรชายคนรอง
ของเขาไปดูแลพรรคเจ็ดดารา
ความจริงแล้วท่านปู่ทวดคิดผิดไปแล้วจริงๆ
เงินของตระกูลเฉิงมีเพียงพอให้กินให้ใช้ได้หลายชั่วอายุคน ควรจะใช้โอกาสนี้กําจัดพรรค
เจ็ดดาราไปเสีย ตัดขาดกับคนในยุทธภพเสียให้สิ้นซากจะดีกว่า
น่าเสียดายที่ตอนนี้พูดอะไรก็สายไปเสียแล้ว
เฉิงฉือไม่เล่นไพ่ตามกฎ ทางตะวันตกหนึ่งค้อนทางตะวันออกหนึ่งกระบอง เวลาสั้นๆ
เพียงสองสามปีก็ก้าวขึ้นสู่ตําแหน่งขั้นสี่บนได้อย่างรวดเร็ว ยังได้ชื่อเป็นคนซื่อตรงน่าภาคภูมิอีก
ด้วย
จวนหลักเก่งกาจกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก!
ขณะที่เฉิงสือคิด มือก็ค่อยๆ คลายออกมา
คนอยู่ใต้ชายคา ก็ควรเรียนรู้จักก้มศีรษะลงบ้าง5075
เขารอไปทั้งบ่าย สุดท้ายเฉิงฉือก็ไม่ได้กลับมา กล่าวคือ ตอนเคารพพระศพองค์รัชทายาท
นั้น จู่ๆ เฉิงเซ่าก็เป็นลมล้มลงไปตรงหน้าพระศพขององค์รัชทายาท ท่านหมอบอกว่า เป็นเพราะ
เฉิงเซ่าเสียใจมากเกินไป องค์ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้ข้ารับใช้ส่วนพระองค์หามเฉิงเซ่าเข้าไปพักผ่อนที่
ห้องอุ่นของตําหนักข้างด้วยพระองค์เองกว่าครึ่งวัน พระราชทานยาบํารุงห่อใหญ่ห่อเล็กอีกกว่า
ครึ่งคันรถ ทรงมีรับสั่งให้เขากลับไปพักฟื้นที่บ้านเป็นพิเศษอีกด้วย
ในฐานะหลานชาย เฉิงจิงเป็นขุนนางใหญ่ในสํานักราชเลขาธิการยังออกไปไม่ได้ เฉิงเซ่า
จึงให้เฉิงฉือส่งเขากลับซอยซวงอวี๋ อีกทั้งเนื่องจากเฉิงเฝินและเฉิงซวิ่นล้วนไม่อยู่แล้ว อาเป่ ากับ
อาเหรินก็ยังเล็กเกินไป ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ทางด้านของเฉิงเซ่าจึงให้เฉิงฉืออยู่ปรนนิบัติข้าง
เตียงคนป่วย
โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ได้ยินข่าวแล้วล้วนตกใจกันเป็นอย่างยิ่ง
กระทั่งพวกนางได้สติคืนกลับมา ประตูเฉาหยางก็พลันส่งเสียงดังอลหม่านขึ้นมา
โจวเสาจิ่นรีบสั่งการให้ชุนหว่านและคนอื่นๆ ช่วยกันจัดเตรียมเสื้อผ้าสําหรับให้เฉิงฉือ
ผลัดเปลี่ยน ส่วนชิวซื่อเรียกเกี้ยวมาพาอาเป่าและอาเหรินไปหาอย่างรีบร้อน เฉิงเซิงและเฉิงเซียว
นั้นหากไม่ทราบเรื่องก็แล้วไป แต่ทราบเรื่องแล้วย่อมต้องไปถามไถ่อาการของเฉิงเซ่าสักหน่อย
แม้นพวกบ่าวรับใช้จะรีบและยุ่งไปทั่วทุกที่ ทว่าก็เงียบสงบไร้เสียงวุ่นวาย
เฉิงเซียวและคนอื่นๆ เห็นแล้วลอบพยักหน้า
เนื่องจากต้องไปเยี่ยมคนป่วย โจวเสาจิ่นจึงให้โจวชูจิ่นช่วยดูแลเด็กๆ นางกับชิวซื่อ เฉิง
เซียวและเฉิงเซิงพาเอาเป่าอาเหรินเร่งเดินทางไปที่ซอยซวงอวี๋5076
ข้ารับใช้ส่วนพระองค์ที่มาส่งเฉิงเซ่ายังไม่กลับไป เห็นสตรีของตระกูลเฉิงที่ไม่ต้องเข้าวัง
ไปร้องไห้ไว้ทุกข์ แม้แต่หญิงสาวที่ออกเรือนไปแล้วก็ล้วนแล้วแต่เร่งมากันหมด กล่าวขึ้นอย่างสลด
ใจเล็กน้อยว่า “หาได้ยากที่พวกเจ้าจะได้ใกล้ชิดกันขนาดนี้”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วหัวใจกระตุก นึกถึงช่วงเวลาอันขื่นขมขององค์ฮ่องเต้ในช่วงนี้ขึ้นมา
นางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหางตาที่ไร้ซึ่งนํ้าตา ยัดถุงเงินหนึ่งให้ข้ารับใช้ส่วนพระองค์ผู้นั้น กล่าวเสียง
เบาว่า “ลําบากกงกงแล้ว นี่มอบให้กงกงเป็นค่านํ้าชา ขอกงกงอย่าได้รังเกียจ ที่บ้านของท่านอา
รองไม่มีผู้ใด หากให้การรับรองบกพร่องตรงที่ใด ขอกงกงได้โปรดอภัยให้ด้วยเจ้าค่ะ”
กงกงผู้นั้นตะลึงงันไปเล็กน้อย จากนั้นนัยน์ตาดวงหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มขึ้นมา
เล็กน้อย กล่าวว่า “ครอบครัวของพวกเราล้วนกระทําตามที่ได้รับคําสั่ง ใต้เท้าเฉิงไม่มีอะไรต้อง
เป็นกังวล เพียงแต่เสียใจมากเกินไปชั่วขณะเท่านั้น อีกทั้งอายุมากแล้ว ยามปกติอาจจะไม่มีคน
ใกล้ชิดคอยดูแลอยู่ข้างๆ จึงป่ วยทางใจด้วยเล็กน้อย หมอหลวงได้จ่ายเทียบยาให้แล้ว ฮูหยิ
นเพียงต้มยาตามเทียบยาที่ให้ไว้ก็พอ องค์ฮ่องเต้ทรงรับสั่งหัวหน้าหมอหลวงเฉาของสํานักหมอ
หลวงเอาไว้แล้ว หัวหน้าหมอหลวงเฉาจะมาตรวจจับชีพจรให้ใต้เท้าเฉิงทุกวัน”
คําพูดของเขายังไม่ทันได้จบลง ก็มีข้ารับใช้ส่วนพระองค์ขี่ม้าเร่งเข้ามาอีก ด้านหลังยัง
ลากรถม้ามาด้วยคันหนึ่ง ตะโกนเสียงหอบอยู่หน้าประตูว่า “รับสั่งองค์ฮ่องเต้ รีบรับพระราช
โองการ”
นอกจากเฉิงเซ่าที่กําลังป่ วยแล้ว ทุกคนล้วนเดินออกมา คุกเข่ารับพระราชโองการตาม
เฉิงฉือ
ข้ารับใช้ส่วนพระองค์คนที่ตามมาทีหลังถึงได้กล่าวขึ้นว่า “องค์ฮ่องเต้ทรงพระเมตตาใต้
เท้าเฉิงอยู่โดดเดี่ยวเพียงลําพังไม่มีคนคอยดูแล จึงทรงพระราชทานฉางกูกูของตําหนักเฉียนชิงให้5077
ใต้เท้าเฉิงเป็นการเฉพาะ ข้าพาคนมาแล้ว คาดว่าใต้เท้าเฉิงคงจัดหาสถานที่ให้กูกูผู้ลํ้าค่าได้สัก
สถานที่หนึ่ง! องค์ฮ่องเต้ทรงรอให้ข้ากลับวังไปถวายการรายงานอยู่!”
คนทั่วทั้งลานต่างตกตะลึงงัน
นี่ยังเป็นช่วงไว้ทุกข์ของแผ่นดินอยู่!
พระราชทานนางข้าหลวงใหญ่ให้เฉิงเซ่า นี่นับเป็นอนุภรรยา หรือนับเป็นบ่าวรับใช้กันแน่
หากเป็นอนุภรรยา สิ่งที่เฉิงเซ่ายึดถือคือการปฏิบัติตัวตามคําสอนเต๋า นับตั้งแต่ภรรยา
คนแรกเสียชีวิตไปก็ตัดขาดจากความคิดพวกนี้แล้ว แต่ถ้าเป็นบ่าวรับใช้ คนที่องค์ฮ่องเต้ทรงใช้
งานมาก่อน จะสั่งการตามใจชอบได้อย่างไร
องค์ฮ่องเต้ทรงเสียพระทัยจนเลอะเลือนไปแล้วใช่หรือไม่
ไม่เพียงแค่คนของตระกูลเฉิง แม้แต่ข้ารับใช้ส่วนพระองค์ทั้งสองคนก็คิดเช่นเดียวกัน
ยังคงเป็นเฉิงฉือที่มีปฏิกิริยาตอบรับเป็นคนแรก ลุกขึ้นกล่าวขอบคุณข้ารับใช้ส่วน
พระองค์ที่นําพระราชโองการมาให้ ยัดถุงเงินหนึ่งให้เงียบๆ หันไปส่งสายตาให้โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง
ที่นี่มีชิวซื่ออยู่ด้วย แน่นอนว่านางไม่อาจออกหน้าในเวลานี้ได้
นางรีบดึงแขนเสื้อชิวซื่อ กระซิบเรียกเบาๆ ว่า “พี่สะใภ้รอง”
ชิวซื่อร้อง “อ้อ” เสียงหนึ่ง รีบออกไปรับฉางกูกูผู้นั้นลงจากเกี้ยว
โจวเสาจิ่นพรูลมหายใจออกมาครั้งหนึ่งราวกับได้ปลดภาระหนักอึ้งออกไป
ฉางกูกูผู้นี้รูปร่างสูงปานกลาง ผิวขาวเนียนละเอียด ดวงหน้าเหลี่ยมยาว คิ้วใบหลิว
ดวงตาทั้งคู่อบอุ่นใจดี สีหน้าสงบอ่อนโยน อากัปกิริยางดงามยิ่ง5078
นี่ล้วนมิใช่สิ่งสําคัญ
สิ่งที่สําคัญคือฉางกูกูผู้นี้มองแวบแรกนึกว่าเป็นคนอายุเพียงยี่สิบห้ายี่สิบหกปี แต่พอมอง
อย่างละเอียด ตรงหางตาและลําคอมีร่องรอยแห่งความยากลําบากตามกาลเวลาแล้ว อย่างน้อย
ก็น่าจะมีอายุสี่สิบปีแล้ว
ไม่ว่าเฉิงเซ่าจะรับนางเป็นอนุภรรยาหรือบ่าวรับใช้ ยืนอยู่ข้างกายเฉิงเซ่าแน่นอนว่าล้วน
ไม่ดูเกินความเหมาะสมเกินไปทั้งสิ้น
แต่นี่แสดงให้เห็นถึงความโปรดปรานที่องค์ฮ่องเต้ทรงมีต่อเฉิงเซ่าได้อย่างชัดเจน แม้แต่
คนข้างกายก็ทรงเลือกคนที่เหมาะสมมาให้
โจวเสาจิ่นจึงหันไปมองเฉิงฉือ
เฉิงฉือเองก็หันมองมาพอดี
สองสามีภรรยาแลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นทําความเคารพฉางกูกูอย่างนอบน้อม ชิวซื่อถึงได้ดึงสติตัวเองกลับมา แนะนํา
เฉิงเจิงและคนอื่นๆ ให้ฉางกูกูรู้จัก