ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 553 รับคน
เฉิงเซ่าถือความเรียงและบทกลอนที่เฉิงสวี่เขียนจากความทรงจําพลางพลิกดูด้วยสีหน้า สบายๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ไม่เลว! หากไม่มีเรื่องผิดคาดอะไร น่าจะอยู่ในกลุ่มผู้สอบผ่านชั้น สอง2941”
เฉิงจิงฟังแล้วไม่เพียงมิได้รู้สึกโล่งใจ กลับยิ่งร้อนใจมากขึ้น กล่าวว่า “ท่านอารอง เรื่องผิด คาดที่ท่านว่าหมายถึงอะไรหรือขอรับ”
“นี่เจ้ากังวลใจจนเลอะเลือนไปแล้วหรือ!” เฉิงเซ่าได้ยินแล้วหัวเราะฮ่าไม่หยุด กล่าวว่า “ช่วงก่อนมิใช่ว่าเจ้ายังช่วยชี้แนะความเรียงให้ผู้อื่นอยู่หรอกหรือ เหตุใดพอถึงคราวของเจียซ่าน กลับเปลี่ยนเป็นกังวลถึงผลได้ผลเสียขึ้นมาเสียแล้ว ความเรียงของเจียซ่านนั้นไม่ว่าจะเป็นหัวข้อ ประโยคนําแก่นเรื่องล้วนเป็นไปตามหลักการ นอกจากนี้รูปแบบการเขียนก็ลื่นไหล อุปมาอุปไมย ได้อย่างเหมาะสม อาจไม่ติดหนึ่งในสามลําดับของผู้สอบผ่านชั้นแรก แต่สําหรับผู้สอบผ่านชั้น สองนั้นน่าจะไม่มีปัญหาอะไร” ขณะที่เขากล่าว สีหน้าเคร่งขึ้นมา กล่าวกับเฉิงสวี่ว่า “เจียซ่าน เดิมทีแล้วความเรียงของเจ้าเขียนได้ดีกว่านี้มาก เจ้า…กดดันมากเกินไปใช่หรือไม่”
คิดเพียงว่าอยากสอบจิ้นซื่อให้ผ่าน ดังนั้นทุกๆ บทตอนของความเรียงล้วนไม่มี ข้อผิดพลาดใหญ่อะไร แต่ก็หมายความได้ว่าดูกลางๆ ไม่มีอะไรพิเศษ
เฉิงสวี่หันไปมองเฉิงเซ่า สีหน้าเคร่งขรึม แววตาลึกลํ้า “ท่านปู่รอง” เขากล่าวเบาๆ “ข้าอยากได้รับการแต่งตั้งขอรับ”
1 ผู้สอบผ่านชั้นสอง (二甲) หมายถึงผู้สอบจิ้นซื่อได้คะแนนสอบลําดับที่ 4-150 ผลการสอบจิ้นซื่อแบ่งออกเป็นสามระดับชั้น ผู้สอบผ่านชั้นหนึ่ง คือผู้ที่สอบได้คะแนนลําดับที่ 1-3 เรียกว่า จ้วงหยวน (状元) ปั๋งเหยี่ยน (榜眼) และทั่นฮวา (探花) ตามลําดับ ส่วนผู้สอบผ่านชั้นสาม คือผู้ที่สอบได้คะแนนลําดับที่ 151 เป็นต้นไป
5126
ดังนั้นขอเพียงอยู่ในกลุ่มผู้สอบผ่านชั้นสองก็พอแล้ว
เฉิงเซ่าผิดหวังเล็กน้อย
ตามความเห็นของเขาแล้ว เฉิงสวี่เป็น “สามหยวน 2952” ได้ และจะกลายเป็นจ้วงหยวนที่ สอบผ่านเป็นสามหยวนคนแรกของตระกูลเฉิงได้ด้วยซํ้า
เขาวางความเรียงที่เฉิงสวี่เขียนจากความทรงจําลงด้านข้างเบาๆ
แววตาเฉิงสวี่หม่นหมองลง
เฉิงจิงกลับกระโดดตัวโหยงขึ้นมาอย่างร้อนใจ กล่าวว่า “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร อะไรที่บอกว่า ข้าอยากได้รับการแต่งตั้ง? พวกข้าทําให้เจ้าอดอยากหรือขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม อย่างนั้นหรือ หากสอบรอบนี้ไม่ผ่าน ก็ยังสอบรอบหน้าได้” เขาพลันนึกถึงท่าทีจะนั่งจะยืนก็ไม่ เป็นสุขของภรรยาเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมา รีบกล่าวขึ้นว่า “เป็นเพราะมารดาของเจ้าพูดอะไรกับ เจ้าใช่หรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงเลอะเลือนขึ้นมาได้ แน่นอนว่าการได้รับการแต่งตั้งเป็นเรื่องดี แต่จวี่เห รินที่สอบตกก็มีไม่น้อย ตอนแรกที่ข้าไม่ให้เจ้าเข้าร่วมการสอบขุนนางช่วงวสันตฤดูในทันทีก็ เพราะกลัวว่าเจ้ามีตําแหน่งเจี้ยหยวนคํ้าศีรษะแล้วจะกดดัน คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังคงเลือกเส้นทาง สายกลางอยู่ดี…”
เขาปิดความผิดหวังไม่มิด
เฉิงสวี่ก้มหน้าไม่ได้กล่าวอะไร
2 สามหยวน (三元) กล่าวถึงผู้ที่สอบขุนนางได้ลําดับที่หนึ่งในสามระดับ โดยระดับภูมิภาคเรียกว่า เจี้ยหยวน (解元) ระดับประเทศเรียกว่า ฮุ่ยหยวน (会元) และระดับสํานักพระราชวังเรียกว่า จ้วงหยวน (状元)
5127
บางครั้งเขาครุ่นคิด รู้สึกว่าที่บิดาและมารดารักใคร่กลมเกลียวกันยิ่งนั้นก็มิใช่ว่าไม่มี สาเหตุเสียทีเดียว
พวกเขาล้วนอยากให้เขาสอบผ่านสามหยวนให้ได้
แต่การสอบผ่านสามหยวนนั้นมันสอบง่ายดายเพียงนั้นเชียวหรือ
ไม่ระวังเพียงหนึ่งครั้ง เขาอาจจะถูกกวาดไปอยู่ในกลุ่มผู้สอบผ่านชั้นสาม และกลายเป็น ถงจิ้นซื่อได้
นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่มีทางยอมรับได้
เขานึกถึงคําพูดของเฉิงฉือ
บางทีนี่ต่างหากเป็นสาเหตุที่สุดท้ายแล้วเขาเลือกว่าขอเพียงสอบผ่านอยู่ในกลุ่มผู้สอบ ผ่านชั้นสองได้รับการแต่งตั้งก็พอกระมัง?
เฉิงเซ่าได้ยินคําพูดของเฉิงจิงแล้วอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “เจ้ากลายเป็นคน กระหายอยากได้ชื่อเสียงขนาดนี้ไปได้อย่างไร ใต้หล้านี้มีบัณฑิตมากมายเพียงใด หากเจียซ่าน สอบผ่านได้รับการแต่งตั้งก็นับว่าวาสนาดีมากแล้ว ในประวัติศาสตร์ไม่รู้ว่ามีผู้มีพรสวรรค์ มากมายเท่าไรที่สอบไม่ผ่านจิ้นซื่อเลยตลอดชีวิตของพวกเขา นอกจากนี้เจียซ่านก็โตเป็นผู้ใหญ่ มีความคิดและการวางแผนของตัวเองแล้ว ถ้าหากไม่อยากศึกษาค้นคว้าอยู่ที่สํานักฮั่นหลินไป ตลอดชีวิต การสอบผ่านได้รับการแต่งตั้งก็เพียงพอแล้ว ข้าว่าความเรียงของเจ้านี้ไม่น่ามีปัญหา อะไร เจ้าเตรียมตัวสอบบัณฑิตซู่จี๋ซื่อเถิด!”
เฉิงจิงอับอาย ยังอยากพูดอะไรอีก เฉิงเซ่ากล่าวขึ้นก่อนว่า “เจียซ่านเองก็เหนื่อยแล้ว เจ้า พาเจียซ่านกลับบ้านไปพักผ่อนดีๆ สักหน่อยเถิด เอกสารก็ถวายส่งขึ้นไปแล้ว พูดอะไรก็กลายเป็น ข้อเท็จจริงไปแล้ว จึงไม่ต้องถามอะไรให้มากความอีกแล้ว รอประกาศผลการสอบก็พอ หากสอบ
5128
ผ่าน ก็ดีใจอย่างสงบเสงี่ยม ถ้าไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร ครั้งหน้าค่อยสอบใหม่ เขายังหนุ่มแน่น ยังมี โอกาสอยู่อีก เป็นเจ้าต่างหาก ที่ต้องระงับอารมณ์รักษากิริยาให้ได้ถึงจะถูก ตระกูลเฉิงของพวก เราก็มิใช่ว่าเกิดมาจะสอบผ่านจิ้นซื่อได้โดยไม่ต้องลงแรงและเวลา เหมือนอย่างเจ้าสี่เองก็มิใช่ว่า ใช้เวลาไปหลายปีหรอกหรือ”
“ท่านอาสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว!” เฉิงจิงคํานับเฉิงเซ่า ดวงหน้าแดงกํ่า
เฉิงสวี่ได้ยินแล้วมองเฉิงเซ่ามุมปากเผยอออก แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร คํานับคารวะเฉิง เซ่าแล้วถอยออกไป
เฉิงเซ่าส่ายศีรษะไม่หยุด
ฉางกูกูยกนํ้าชาเข้ามา พบว่าเฉิงจิงและเฉิงสวี่จากไปแล้ว อดประหลาดใจไม่ได้
เฉิงเซ่าไม่ถูกใจนัก กล่าวขึ้นว่า “อย่าสนใจพวกเขาเลย คล้ายกับเด็กผู้หนึ่งก็ไม่ปาน ฟัง ลมเป็นฝน นิ่งสงบสู้เจ้าสี่ไม่ได้”
ฉางกูกูได้ยินแล้วเม้มปากกลั้นยิ้ม หน้าตาเหมาะสม กิริยาสบายๆ รินชาให้เฉิงเซ่าอย่าง เบามือเบาเท้า
เฉิงเซ่ารับจอกชาไปทว่าดูลังเลขึ้นมา
ฉางกูกูมองเขาอย่างไม่เข้าใจ ยืนรอเขาพูดอย่างสงบ
สีหน้าของเฉิงเซ่าพลันเปลี่ยนเป็นไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมาเล็กน้อย กว่าครู่ใหญ่ถึงได้กล่าว เสียงเบาว่า “ก็ไม่อาจให้เจ้าติดตามข้าไปเฉยๆ เช่นนี้ ข้าคิดดีแล้ว หากเจ้าไม่รังเกียจข้า พรุ่งนี้ข้า จะไปหาพี่สะใภ้ใหญ่ของข้า ให้นางเป็นเถ้าแก่ให้พวกเรา…แต่งเจ้าเข้ามา”
มิใช่รับนางเข้ามา แต่เป็นแต่งนางเข้ามา…
5129
กระบอกตาของฉางกูกูทั้งแสบและร้อนขึ้นมาอย่างกะทันหัน สายตาพร่ามัวไปหมด นางพึมพํากล่าว “ข้า บ้านข้าเป็นเพียงตระกูลพ่อค้า…ก็มิได้มีใครมากมาย…” เฉิงเซ่ากล่าว “ข้าเองก็ตัวคนเดียว…เจ้าไม่รังเกียจที่ข้าตัวคนเดียวก็พอ…” “ไม่เจ้าค่ะๆ” นํ้าตาของฉางกูกูไหลลงมาเป็นสาย “ท่านเป็นถึงปั๋งเหยี่ยนของปีนั้น…” เฉิงเซ่าหัวเราะ พลางกล่าว “ตอนนี้ก็แค่คนแก่ผุพังผู้หนึ่งเท่านั้น!” “มิได้เจ้าค่ะๆ” ฉางกูกูพูดอะไรไม่ออกแล้ว เฉิงเซ่าปรึกษานาง “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปประตูเฉาหยางสักครั้งหนึ่ง?”
“เจ้าค่ะ!” ฉางกูกูกล่าวเสียงเบา มือปิดปากไว้กลัวตัวเองส่งเสียงร้องไห้ออกมา หมุนกาย รีบสาวเท้าออกจากห้องชั้นในของเรือนหลักไป เมื่อกลับถึงเรือนปีกตะวันออกที่นางพักอยู่ในระยะ นี้ หยิบกล่องสีดําไม่สะดุดตากล่องหนึ่งออกมาจากชั้นบนสุดของชั้นหนังสือ ด้านในวางตั๋วเงิน และก้อนเงินไว้จํานวนหนึ่ง
นางหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากด้านล่างสุดของกล่อง
กระดาษถูกพับให้มีขนาดเท่ากับตั๋วเงินอย่างเรียบร้อย สีเหลืองซีดเล็กน้อย เมื่อเปิด ออกเป็นกระดาษอย่างดีจากซวนเฉิงที่ถูกฉีกออกเป็นครึ่งแผ่น บนกระดาษเขียนคําว่า ‘ยากง่าย ก่อกําเนิดกันและกัน ยาวสั้นพิสูจน์กันและกัน’ เอาไว้
ตัวอักษรสมบูรณ์ ลายมือสง่างาม นางเก็บซ่อนมาสิบสี่ปีแล้ว
5130
นางยังจําได้ วันนั้นนางอยู่เวรปฏิบัติหน้าที่ ไม่รู้องค์ฮ่องเต้ทรงไม่สําราญพระทัยด้วยเหตุ อันใด เรียกเฉิงเซ่าเข้าวังไปสนทนาด้วย คุยไปคุยมา องค์ฮ่องเต้ก็ทรงพิโรธขึ้นมา พวกนางล้วน ตกใจกลัวจนตัวสั่น เฉิงเซ่าจึงเขียนคําเหล่านี้ให้องค์ฮ่องเต้
องค์ฮ่องเต้ทอดพระเนตรแล้วยิ่งพิโรธ ฉีกกระดาษทิ้งเสีย
ต่อมาก็ทรงอารมณ์ดีขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ ยังให้พวกนางนํากระดานหมากเข้าไป และ เดินหมากกับเฉิงเซ่า
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางก็จดจําเฉิงเซ่าคนผู้นี้ไว้ และจดจําอักษรนี้ไว้เช่นกัน
ทุกครั้งที่เขาเข้าวัง ขอเพียงนางอยู่ปฏิบัติหน้าที่ นางจะชงนํ้าชาที่เขารู้สึกถูกปาก เปลี่ยน แท่งหมึกไม้กฤษณาที่เขาชื่นชอบ และคอยกล่าวเตือนเขายามองค์ฮ่องเต้ทรงกําลังพิโรธเป็นครั้ง คราว
ตอนที่บุตรชายของเขาเสียชีวิต นางเสียใจยิ่งกว่าเขาเสียอีก
นางคิดว่าชีวิตนี้นางคงได้แต่มองเขาเช่นนี้แล้ว คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่ง เพราะอายุมากที่สุด อีกทั้งไม่ค่อยพูด องค์ฮ่องเต้จึงทรงพระราชทานนางให้เฉิงเซ่า
พระราชทานให้เฉิงเซ่าก็ช่างเถิด นางคิดว่าหากนางยังขยับเขยื้อนได้ เฉิงเซ่าไม่รังเกียจที่ นางอายุมาก นางก็จะตั้งใจปรนนิบัติเขาเช่นนี้สักสองสามปี คิดไม่ถึงว่าเฉิงเซ่าจะสู่ขอนาง แต่งงาน
หรือว่านี่จะเป็นประสงค์ของสวรรค์!
ฉางกูกูทิ้งตัวบนผ้าห่ม ร้องไห้ไร้เสียงออกมา
5131
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวทราบวัตถุประสงค์การมาของเฉิงเซ่าแล้วก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวขึ้น ว่า “เนื่องจากฉางกูกูเป็นคนที่เคยถวายการรับใช้องค์ฮ่องเต้มาก่อน คิดว่ากิริยามารยาทไม่เลว หากท่านคิดว่าเหมาะสม ข้าจะให้เจ้าสี่ไปเลือกวันมงคลที่สํานักโหร ช่วยจัดงานมงคลให้พวกเจ้า”
เมื่อองค์ฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องแล้วกลับทอดพระเนตรเฉิงเซ่าด้วยความประหลาดพระทัย ไม่ตรัสอะไรไปกว่าครึ่งค่อนวัน ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้สติคืนกลับมา รีบตรัสขึ้นว่า “คงมิใช่เพราะข้า ประทานนางให้เจ้า เจ้าก็เลยต้องสู่ขอนางแต่งงานหรอกกระมัง หากข้างกายเจ้าไม่มีคน ข้าช่วย เป็นพ่อสื่อให้เจ้าก็ได้ เจ้าไม่จําเป็นต้องฝืนตัวเองแต่งงานกับนางกํานัลเช่นนี้” ขณะที่ตรัส พระองค์ ก็นึกถึงคนจากตระกูลเดิมของไทเฮาที่เข้าวังมาเข้าเฝ้าไทเฮาเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมา ทรงตรัสว่า “ข้าจําได้ว่าตระกูลเผิงเฉิงป๋ อมีบุตรสาวดีๆ อยู่ สักวันข้าช่วยสอบถามให้เจ้าดูดีหรือไม่ หรือไม่ก็ หาใครสักคนจากในหมู่ราชเลขาธิการก็ได้ จะแต่งกับฉางอวี้เอ๋อร์ได้อย่างไร”
เฉิงเซ่าไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กล่าวขึ้นว่า “ข้าอายุขนาดนี้แล้ว ฝ่ าบาทยังจะ ให้ข้าแต่งกับเด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกปีอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ ข้าเห็นว่าฉางซื่อไม่เลว อีกทั้งยังเป็นคน ข้างพระวรกายของฝ่าบาท เป็นนางดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยเท่าไรนัก ตรัสว่า “แต่งกับคนอายุสิบห้าสิบหกแล้วอย่างไร ฉางอวี้ เอ๋อร์อายุมากเพียงนั้น ย่อมไม่อาจให้กําเนิดบุตรแล้ว เจ้าไม่อยากแต่งงานใหม่ก็แล้วไป แต่ในเมื่อ จะแต่งงานใหม่ อย่างไรก็ต้องมีบุตรชายบุตรสาวสักคนถึงจะดี เจ้าไม่ต้องเห็นแก่หน้าข้า ตอนนั้น ข้าก็แค่ให้นางไปปรนนิบัติดูแลเจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าไม่รู้จะจัดวางนางอย่างไรดี ส่งนางกลับมาก็ได้ แล้ว สักวันข้าจะปล่อยตัวนางออกจากวังไป ให้ไปอยู่เป็นเพื่อนบรรดาไท่เฟยที่วัดหวงเจวี๋ย”
นั่นมิเท่ากับเป็นการทําร้ายฉางซื่อหรอกหรือ
5132
เฉิงเซ่าขอความเมตตา “มิใช่ว่าข้ามีเหลนชายอยู่แล้วหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่าง ข้าอายุ ขนาดนี้แล้ว ก็แสวงหาเพียงความสุขสงบ ฉางซื่ออยู่วังหลวงก็นับได้ว่าเป็นคนจิตใจดี อ่อนโยน และซื่อสัตย์ แค่นี้ก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ฮ่องเต้ทรงดําริไปมาจนได้พระราชดําริหนึ่งในใจ ตรัสว่า “หรือว่าข้าประทานงานแต่ง ให้เจ้าดีหรือไม่”
เฉิงเซ่าไม่รู้จะพูดอะไรดีจริงๆ แล้ว ได้แต่กล่าวว่า “ข้าปรึกษาพี่สะใภ้ของข้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ จะเชิญคนในบ้านมารับประทานอาหารด้วยกันสักมื้อหนึ่งก็พอ ไม่จําเป็นต้องมีพิธีรีตองขนาดนั้น พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ฮ่องเต้นึกถึงนิสัยถ่อมตนและสันโดษของเฉิงเซ่า ตรัสขึ้นอย่างยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง ว่า “เช่นนั้นก็ให้ฮองเฮาประทานสิ่งของให้ฉางซื่อสักหน่อย และให้หวงไท่ซุนไปร่วมดื่มสุรามงคล”
เฉิงเซ่าไม่กล้าปฏิเสธอีก กล่าวขอบพระทัยในพระเมตตา องค์ฮ่องเต้ยังทรงถามเขาอีกว่า “เจ้าอยากลองคิดดูใหม่อีกครั้งหรือไม่” เฉิงเซ่าจึงรีบลุกขึ้นกล่าวอําลา
ทางด้านนี้โจวเสาจิ่นจดรายการสิ่งของสําหรับงานแต่งของเฉิงเซ่าไปด้วย กล่าวกับฮูหยิน ผู้เฒ่ากัวที่หยอกล้อเล่นกับอวิ้นเกอเอ๋อร์อยู่บนเตียงเตาตรงหน้าไปด้วยว่า “ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่ค่อย เหมาะสมสักเท่าไรนัก! แม้นจะกล่าวว่าฉางกูกูอายุมากแล้ว แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เป็นเจ้าสาว เชิญเพียงคนในบ้านมารับประทานอาหารด้วยกันมื้อหนึ่งเช่นนี้ คล้ายกับรับอนุก็ไม่ปาน ฉางกูกู ย่อมรู้สึกเสียใจอยู่บ้างอย่างแน่นอน เช่นนี้ท่านอารองอย่าแต่งผู้อื่นจะดีกว่า แต่ในเมื่อตัดสินใจจะ แต่งงานแล้ว พิธีการนี้ก็ต้องทําให้ถูกต้องถึงจะดีเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตะลึงงัน กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นเจ้าเห็นว่าควรทําอย่างไรดี”
5133
“ข้าคิดว่าท่านอารองจะต้องกลัวความวุ่นวายเป็นแน่” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “มิสู้ยังคงยึด ตามพิธีการเก่าแก่ เพียงแต่ไม่ต้องเชิญแขกเหรื่อมากมายก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวครุ่นคิดพิจารณาครู่หนึ่ง กล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะไปคุยกับอารองของเจ้าก็ แล้วกัน”
เฉิงเซ่าฟังแล้วประหลาดใจเล็กน้อย เขาถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “คําพูดของภรรยาจื่อชวน …มีเหตุผลยิ่งใช่หรือไม่”
“ข้าคิดว่ามีเหตุผล” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “แม้นจะกล่าวว่าบางเรื่องทําเพียงเพื่อให้ผู้อื่นดู แต่หากไม่ทํา ก็ไม่อาจเป็นอิสระ ทําให้คนรู้สึกแปลกประหลาดได้”
เฉิงเซ่าเองก็ตรงไปตรงมา กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเรื่องนี้คงต้องมอบหมายให้พวกท่านแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงให้โจวเสาจิ่นไปถามฉางกูกูว่ามีบ้านเดิมให้กลับไปหรือไม่ ถึงแม้ว่าหก พิธีจะดูเร่งด่วนเล็กน้อย ทว่าก็พอจะทําตามพิธีการได้
ฉางกูกูกระบอกตารื้นชื้น กล่าวขึ้นว่า “ข้าเป็นคนหย่งติ้ง ไม่ได้กลับบ้านมานานหลายปี แล้ว ไม่รู้ว่าที่บ้านยังมีใครอยู่บ้าง”
โจวเสาจิ่นจึงให้เฉิงฉือไปสืบความมาให้
ฮูหยินเผิงเฉิงทราบเรื่องแล้วกลับยื่นมือมาอย่างไม่ลังเล กล่าวว่า “ต่อให้หาพบแล้วจะทํา อย่างไร อยู่ห่างไกลขนาดนั้น พวกเจ้าจะไปวางของหมั้นที่หย่งติ้งหรือ ข้าว่าเช่นนี้ดีกว่า ข้ารับฉาง กูกูเป็นบุตรสาวบุญธรรม ถึงเวลาก็ให้นางออกเรือนจากจวนของพวกข้า คนจากบ้านเดิมของนาง มาร่วมพิธีก็พอแล้ว”
เช่นนี้ก็นับได้ว่านางได้เกี่ยวดองกับตระกูลเฉิงด้วยแล้ว
5134
ฮูหยินเผิงเฉิงยิ้มร่า