ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 557 ยืนกราน
หมิ่นเจียตัดสินใจจะยืนดูเฉยๆ
ทว่าสาวใช้เด็กกลับเข้ามาหาอย่างลนลาน กล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินสี่มาเจ้าค่ะ”
ตอนนี้อยากหลบก็หลบไม่พ้นแล้ว!
หมิ่นเจียทําใจดีเข้าสู้ไปยืนต้อนรับฮูหยินผู้เฒ่าและโจวเสาจิ่นที่ประตูชั้นใน
“นี่ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้น” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวปรายตามองหมิ่นเจียด้วยดวงตาคมปลาบครั้ง
หนึ่ง เอ่ยว่า “เจ้าใหญ่เล่า เจียซ่านเล่า”
ผู้ใดจะรู้ว่าหยวนซื่อที่ประคบประหงมบุตรชายดั่งแก้วตาดวงใจนั้นเมื่อเห็นเฉิงสวี่ไม่เชื่อ
ฟังตัวเองแล้วจะถึงกับลงไม้ลงมือได้!
หมิ่นเจียวิพากษ์อยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ ทว่าไม่กล้าเผยความผิดปกติออกมาต่อหน้าฮู
หยินผู้เฒ่ากัวแม้แต่นิดเดียว ก้มหน้าพลางกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ทางด้านพ่อสามีให้คนไปแจ้ง
ข่าวแล้ว ยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ ส่วนสามีและแม่สามีอยู่ที่ห้องหนังสือ…พวกข้าล้วนไม่กล้ากล่าว
อะไร…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย
เนื่องด้วยแม่สามีกําลังโกรธ มีเรื่องขัดแย้งกับสามี เพื่อไม่ทําให้ใครขุ่นเคืองใจ อีกทั้งเป็น
เรื่องสําคัญ ไม่อาจปล่อยให้ทั้งสองคนทะเลาะกันต่อไป จึงมายืนหลบกระแสลมอยู่ข้างนอกอย่าง
คนกลัวปัญหาจะมาถึงตัว…ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการกระทําที่ฉลาดที่สุด แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนึกถึงการ
เข้าไปหาอย่างไม่ยั้งคิดของโจวเสาจิ่นทุกครั้งที่พานพบว่าเฉิงฉือมีปัญหาอะไรขึ้นมา พลันรู้สึกไม่
ค่อยชอบใจความฉลาดเช่นนี้เท่าไรนักขึ้นมา5163
แต่หมิ่นเจียนึกถึงบทสนทนาระหว่างแม่ลูกเมื่อครู่ รีบกล่าวขึ้นด้วยตัวเองอยู่หลังผ้าม่าน
ว่า “ท่านย่ามาเจ้าค่ะ” แล้วเลิกผ้าม่านขึ้น
โจวเสาจิ่นลังเลครู่หนึ่ง ไม่ได้เข้าไปด้วย
หยวนซื่อโกรธจนไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว ทิ้งไม้บรรทัดลงบนพื้น นั่งดวงตาแดงกํ่าอยู่บน
เก้าอี้มีเท้าแขนข้างๆ เพียงผู้เดียว
เฉิงสวี่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าหยวนซื่อ ผมเผ้ารุงรังเล็กน้อย สีหน้าเฉยเมย สวมชุดจื๋อตัวผ้า
ไหมหังโจวสีดํา ดูไม่ออกว่าได้รับบาดเจ็บอะไรหรือไม่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรีบไปประคองเฉิงสวี่อย่างเจ็บปวดใจ หันไปกล่าวกับหยวนซื่อว่า “เขาเอง
ก็แต่งงานมีภรรยา เป็นคนมียศตําแหน่งแล้ว ต่อให้เจ้าอยากสั่งสอนเขา ก็ไม่อาจสั่งสอนเขาด้วย
การตีเขาด้วยไม้เรียวอย่างเด็กไร้เดียงสาไม่รู้ความนี่นา! รีบลุกขึ้นมา เจ้าเป็นคนเรียนหนังสือมี
ความรู้ เคารพฟ้าดินจักรพรรดิบิดามารดาและครูอาจารย์ มาทําให้มารดาของเจ้าโกรธได้อย่างไร
มีเรื่องอะไรที่ไม่อาจพูดคุยกันดีๆ ได้อย่างนั้นหรือ! มีคุณธรรม ปกครองบ้าน ดูแลเมือง สร้างความ
สงบสุขให้โลกหล้า ถึงจะเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชาย หากแม้แต่เรื่องในบ้านยังจัดการได้ไม่ดี
นับประสาอะไรกับเรื่องใหญ่ของราชสํานัก? ตอนนี้เจ้าเองก็มิใช่เด็กแล้ว อะไรควรพูด อะไรไม่ควร
พูด อะไรที่ควรพูดเวลานี้ อะไรที่ควรพูดเวลาอื่น เจ้าควรจะแยกแยะได้ถึงจะถูก…”
หมิ่นเจียที่อยู่ข้างนอกมองโจวเสาจิ่นด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะ
มองสํารวจโจวเสาจิ่นอีกครั้งหนึ่งด้วย
นางสวมชุดเพ่ยจื่อสีเขียวนํ้าทะเลไร้ลวดลาย มีเพียงขอบปกเสื้อและปากแขนเสื้อเท่านั้น
มีลวดลาย ดวงหน้าอมชมพู ดวงตากระจ่างใส สุกใสงดงามยิ่งกว่าแสงแดดในฤดูวสันต์หลาย
ส่วน5164
ถ้าหากนางรู้ว่าเพื่อนางเฉิงสวี่ถึงได้ละทิ้งโอกาสเข้าร่วมการสอบคัดเลือกบัณฑิตซู่จี๋ซื่อจะ
มีสีหน้าอย่างไรนะ
หมิ่นเจียคาดเดา
โจวเสาจิ่นกลับถอยหลังออกมาสองสามก้าว กล่าวอธิบายกับนางเสียงเบาว่า “เกียรติ
ของคุณชายใหญ่สําคัญกว่า ข้าไม่เข้าไปดีกว่า”
ตามหลักแล้ว โจวเสาจิ่นเป็นอาสะใภ้ของนาง หากโจวเสาจิ่นไม่เข้าไป ก็ต้องมีคนอยู่เป็น
เพื่อน พอดีกับที่หมิ่นเจียเองก็ไม่อยากเข้าไปเช่นกัน นางไม่อยากได้ยินเรื่องน่ารําคาญใจระหว่าง
เฉิงสวี่กับหยวนซื่อสองแม่ลูก ได้ยินเช่นนั้นจึงกดเสียงลงตํ่า กล่าวว่า “ท่านอาสะใภ้กล่าวได้มี
เหตุผล ข้าไปดื่มชาเป็นเพื่อนท่านอาสะใภ้ที่ห้องนํ้าชาสักจอกดีหรือไม่”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
เรื่องที่เฉิงสวี่ไม่ไปสอบบัณฑิตซู่จี๋ซื่อนั้นไม่ว่าจะเป็นเพราะเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วหรือ
เป็นเพราะพลั้งปากพูดด้วยความโกรธก็ตาม เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เฉิงจิงก็ดี เฉิงฉือก็ดี หรือแม้แต่เฉิง
เซ่า ย่อมต้องมาเกลี้ยกล่อมเขาอยู่แล้ว นางไม่คิดจะเข้าไปร่วมวุ่นวายด้วย
ทั้งสองคนไปที่ห้องนํ้าชา หมิ่นเจียสั่งให้สาวใช้ไปหยิบชุดนํ้าชาออกมา ชงชาให้โจวเสาจิ่
นด้วยตัวเอง “…ใบชาที่มาจากฝูเจี้ยนทางด้านโน้นของพวกข้าล้วนเป็นชาใบใหญ่ ใบชาขึ้นอยู่บน
ต้นสูง ไม่เหมือนใบชาของเจียงหนาน ที่ล้วนขึ้นอยู่บนต้นเตี้ยพุ่ม ดังนั้นชาที่มาจากทางด้านโน้น
ของพวกข้าล้วนเป็นชาดี มีชาที่ต้มได้เจ็ดถึงแปดครั้งเป็นจํานวนมาก นอกจากนี้รสชาติของชาที่
ชงได้ในแต่ละครั้งล้วนไม่เหมือนกัน นานๆ ทีท่านอาสะใภ้จะได้มาที่ซอยซิ่งหลินสักครั้งหนึ่ง ไม่สู้
ลองชิมชาที่ข้าชงดู”
“ขอบใจมาก!” โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางพูดคุยสนทนากับนาง5165
ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าเดินพลุกพล่านและเสียงตะโกนรายงานของบ่าวรับใช้ดังขึ้นภายใน
ห้องว่า “นายท่านใหญ่กลับมาแล้ว!”
“นายท่านผู้เฒ่ารองมาถึงแล้ว!”
“นายท่านสี่มาถึงแล้ว!”
หมิ่นเจียยิ้มขื่น กล่าวขออภัยโจวเสาจิ่นว่า “เพื่อเรื่องของสามี ทําให้ทุกคนต้องมาเยี่ยม
เยียนแล้ว!”
โจวเสาจิ่นยิ้มไม่ได้กล่าวอะไร
ระหว่างนางและหมิ่นเจียนั้น อย่างมากที่สุดก็พูดคุยได้แค่เรื่องความเป็นอยู่ทั่วไปเท่านั้น
หัวข้อสนทนาเช่นนี้ไม่เอ่ยถึงเป็นดีที่สุด
เรื่องราววุ่นวายไปจนถึงเวลาจุดโคมไฟ เฉิงจิง เฉิงฉือ เฉิงเซ่าและฮูหยินผู้เฒ่ากัวต่าง
ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา พูดหมดทุกอย่างแล้ว เฉิงสวี่ยังคงพูดเพียงว่าจะ “รับราชการต่าง
เมือง”
ทุกคนต่างซ่อนความผิดหวังไว้ไม่มิด
สุดท้ายเป็นเฉิงฉือที่กล่าวขึ้นว่า “อย่างไรเสียการสอบบัณฑิตซู่จี๋ซื่อก็ยังเหลือเวลาอีก
หลายวัน ช่วยลงชื่อสมัครให้เขาเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน”
ถ้าหากไม่อยากไปสอบจริงๆ ถึงเวลาค่อยหาเหตุผลสักเหตุผลหนึ่งก็ได้แล้ว
แต่ถ้าไม่ลงชื่อสมัครเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถึงเวลารู้สึกเสียใจภายหลังก็ไม่ทันแล้ว
โชคดีที่ลุงหลานหรือพี่น้องตระกูลเฉิงล้วนเป็นจิ้นซื่อขั้นสองกันทั้งหมด ในราชสํานักหาก
มิใช่สหายรุ่นเดียวกันก็เป็นสหายร่วมชั้นกัน หรือไม่ก็สหายของสหายรุ่นเดียวกันและสหายร่วมชั้น5166
ของสหายร่วมชั้นกันทั้งนั้น อย่างไรก็หาเส้นสายให้เดินเลี้ยวลดได้โดยที่เฉิงสวี่ไม่ต้องออกหน้าไป
ลงชื่อสมัครด้วยตัวเองก็ได้
ผู้ใดจะรู้ว่าเฉิงสวี่ที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จามาโดยตลอดกลับหน้าเคร่งจนเส้นเลือดบน
หน้าผากปูดโปนขึ้นมาในพริบตา กล่าวด้วยดวงตาแดงกํ่าว่า “ข้าไม่อยากรั้งอยู่จิงเฉิง ไม่อยากรั้ง
อยู่ที่บ้านหลังนี้ เหตุใดพวกท่านถึงยังไม่เข้าใจเสียที ข้าไม่อยากให้พวกท่านลงชื่อสมัครให้ข้า ข้า
ไม่อยากให้พวกท่านหาเส้นสายทางเดินหลังบ้านให้ข้า!”
ภายในห้องพลันเงียบเชียบขึ้นมา
เฉิงฉือหน้าเคร่ง กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าอยากบอกพวกข้าว่า เจ้าไม่อยากพึ่งพาอํานาจ
ของตระกูลเฉิง ตัดสินใจจะเดินออกไปตามทางของตัวเองมือเปล่าอย่างนั้นหรือ”
นั่นจะต่างอะไรกับการออกจากตระกูลกัน?
“มิใช่ขอรับๆ” นัยน์ตาของเฉิงสวี่มีนํ้าตาไหวระริก กล่าวว่า “บุญคุณที่บิดามารดาเลี้ยงดู
มาจะไม่ตอบแทนได้อย่างไร บุญคุณที่ตระกูลเฉิงอุปถัมภ์คํ้าชูจะลืมได้อย่างไร แต่ข้าไม่อยากรั้ง
อยู่ที่จิงเฉิงแล้วจริงๆ ไม่อยากให้ท่านแม่เสียใจ ท่านแม่เอาแต่อยากให้ข้าสอบให้ได้สามหยวน
อยากให้ข้าได้รับแต่งตั้งเข้าสํานักราชเลขาธิการ อยากให้ข้ามีชื่อจารึกในประวัติศาสตร์…หากข้า
ทําไม่ได้ นางก็จะเสียใจผิดหวัง ร้องไห้นํ้าตาเป็นสาย ให้ข้าทํานี่ ให้ข้าทํานั่น คล้ายกับว่าที่ข้ามี
ชีวิตอยู่ ก็เพื่อสอบสามหยวน เพื่อเข้าสํานักราชเลขาธิการและเพื่อมีชื่อจารึกในประวัติศาสตร์ให้
ได้ก็ไม่ปาน…ข้าไม่อยากเป็นเช่นนี้อีกต่อไปแล้วขอรับ” เขากล่าวพร้อมกับมองเฉิงฉือด้วยสายตา
วิงวอน “ท่านอาฉือ ท่านเคยกล่าวว่า หากข้าสอบผ่านได้รับการแต่งตั้ง ก็จะมีเรื่องที่ทําได้อีก
มากมาย! ข้าไม่ขอสิ่งอื่นใด ข้าขอเพียงออกไปรับราชการต่างเมืองเท่านั้น! ไปจากที่นี่เสีย ทุกครั้ง
ที่มารดาเห็นข้าจะได้ไม่เผยแววเสียใจออกมา แทนที่ข้าจะรั้งอยู่ในเมืองหลวงเช่นนี้ มิสู้จากไปให้5167
ไกลเสียจะดีกว่า รอให้นางชราแล้ว ข้าค่อยกลับมาแสดงความกตัญ�ูที่เมืองหลวงหรือไม่ก็รับ
นางไปอยู่กับข้า ณ ที่ประจําการ…”
“เจ้าพูดอะไร” หยวนซื่อเอามือทาบอก เบิกดวงตาโพลง มองบุตรชายตัวเองด้วยสีหน้าไม่
กล้าเชื่อ “เจ้าจะบอกว่า ข้าบีบบังคับให้เจ้าเป็นผู้เป็นคนอย่างนั้นหรือ นี่คือคําพูดที่บุตรชายควร
จะพูดกับมารดาหรือ เจ้ากล่าวถ้อยคําเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร ข้าให้เจ้าพัฒนาตัวเองขึ้นไป เจ้า
กลับคิดว่าข้ากําลังบีบบังคับเจ้าอย่างนั้นหรือ” ยิ่งพูดเสียงพูดของนางก็ยิ่งสูงขึ้น อารมณ์ก็ยิ่ง
เกรี้ยวกราดขึ้น “เจ้ากับข้าไปตัดสินถูกผิดกันที่บ้านของลุงเจ้าดีหรือไม่ ข้าทุ่มเทอบรมสั่งสอนเจ้า
ให้เป็นผู้เป็นคน เจ้ากลับคิดว่าข้ากําลังทําร้ายเจ้า…เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่…” นางก้าวออกมา
ง้างมือขึ้นหมายจะตบเฉิงสวี่
เฉิงฉือขวางนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว กล่าวขึ้นว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ตอนนี้เขาอยู่ในวัยที่พอ
ท่านตีแล้วจะเชื่อฟังอย่างนั้นหรือ”
หยวนซื่อตะลึงงัน จากนั้นนํ้าตาไหลลงมาเป็นสาย ร้องไห้พลางกล่าวว่า “นี่ข้าทําผิดบาป
อะไร ข้าลําบากลําบนไปเพื่อผู้ใด”
เฉิงเซ่า เฉิงจิงและฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้าใจความหมายของเฉิงสวี่
เฉิงจิงหน้าซีดเผือด
เฉิงเซ่าถามเฉิงสวี่ว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่ากําลังทําอะไรอยู่”
เฉิงสวี่สีหน้าสงบ กล่าวขึ้นว่า “ข้าทราบขอรับ ไม่เข้าร่วมการสอบคัดเลือกบัณฑิตซู่จี๋ซื่อ ก็
ไม่อาจเข้าสํานักฮั่นหลิน ไม่มีโอกาสเข้าสํานักราชเลขาธิการ ต่อให้เป็นเช่นนี้ ข้าก็อยากไปรับ
ราชการต่างเมืองขอรับ…5168
…ท่านแม่บอกข้ามาตั้งแต่เด็กว่าต้องเรียนหนังสือ เรียนหนังสือแล้วจะได้กินของอร่อย
เรียนหนังสือคือการเป็นเด็กดี เรียนหนังสือคือการกตัญ�ูรู้คุณ ข้าเพียงอยากรู้ว่า ตกลงแล้วข้า
ชอบเรียนหนังสือจริงๆ หรือไม่”
เฉิงจิงมองหยวนซื่อครั้งหนึ่ง
หยวนซื่อราวกับถูกสายตาของเฉิงจิงแผดเผาตีโพยตีพายขึ้นมาว่า “ท่านมองข้าทําไม
หรือว่าข้าให้เขาเรียนหนังสือก็เป็นเรื่องผิดอย่างนั้นหรือ…”
“พอได้แล้ว!” เฉิงจิงตะเบ็งเสียงกล่าวตัดบทคําของหยวนซื่อ มองเฉิงสวี่อย่างระงับความ
โกรธเอาไว้ครั้งหนึ่ง กล่าวกับเฉิงฉือว่า “พรุ่งนี้เจ้าช่วยไปลงชื่อสมัครสอบบัณฑิตซู่จี๋ซื่อให้เขา
ดังเดิม ให้เขาลองทบทวนดีๆ สักสองสามวัน หากตัดสินใจจะไม่เข้าร่วมการสอบคัดเลือกบัณฑิต
ซู่จี๋ซื่อจริงๆ เช่นนั้นก็แล้วแต่เขา ก็คิดเสียว่าข้าไม่เคยมีบุตรชายผู้นี้มาก่อนก็แล้วกัน เจ้าเองก็ไม่
ต้องพูดอะไรทํานองว่ารอให้ข้าแก่แล้วจะกตัญ�ูต่อข้า เจ้าไปใช้ชีวิตของเจ้าก็พอ ตระกูลเฉิงไม่มี
เจ้า ก็ยังมีเฉิงรั่ง ยังมีอวิ้นเกอเอ๋อร์ ยังมีอาเป่ าอยู่…อย่างไรก็ไม่มีวันล่มสลายเหตุเพราะไม่มีเจ้า
หรอก!”
สุดท้ายแล้วก็ยังคงต้องการบีบบังคับให้เฉิงสวี่ไปสอบบัณฑิตซู่จี๋ซื่ออยู่ดี
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าศีรษะหนักไปหมด ยืนไม่มั่นคงเล็กน้อย
เฉิงฉือรีบก้าวออกไปประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “เสาจิ่นเล่า?
ข้าจะให้คนไปเรียกนางเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“อย่าไปเลย” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างเหนื่อยอ่อน “เป็นเพราะนางต้องการรักษาหน้า
ให้เจียซ่าน! เจ้าจะทําลายนํ้าใจของนางในครั้งนี้ไปทําไม”5169
เฉิงฉือย่อมรู้อยู่แล้ว เพียงแต่เวลานี้ร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ปกตินักทว่าโจวเสาจิ่
นกลับไม่อยู่ข้างกาย เขากลัวว่ามารดาจะคิดมาก ถึงได้ชิงถามออกมาก่อนสักประโยคหนึ่ง
“น้องรอง” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่มองเฉิงฉือ แต่กล่าวกับเฉิงเซ่าแทน “พวกเรากลับกันเถอะ!
เจียซ่านเองก็มิใช่เด็กแล้ว เรื่องของเขาเขาตัดสินใจเองได้!”
เฉิงเซ่าถอนหายใจอย่างไร้ทางเลือกเล็กน้อย ค้อมตัวให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว เป็นสัญญาณ
บอกว่าล้วนเชื่อฟังที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวบอกทุกอย่าง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเดินออกไปด้านนอกโดยไม่กล่าวอะไร
เฉิงสวี่เปล่งเสียงเรียกเสียงหนึ่งว่า “ท่านย่า”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าตัดสินใจได้แล้วไปบอกย่าสักคําก็แล้วกัน” จากนั้น
เดินออกไปโดยไม่หันกลับมา
สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูไปแจ้งโจวเสาจิ่นนานแล้ว
โจวเสาจิ่นและหมิ่นเจียวิ่งเหยาะๆ ออกมาจากห้องนํ้าชา
เห็นเฉิงฉือประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ เฉิงเซ่าเดินตามหลังพวกเขาออกมาจากห้องโถง
โจวเสาจิ่นรีบก้าวออกไปประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัว
หมิ่นเจียเดินไปส่ง
มีเสียงร้องไห้ของหยวนซื่อดังออกมาจากในห้อง “เจ้ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร หรือว่านี่เป็น
ความผิดของข้าทั้งหมดอย่างนั้นหรือ เจ้าพูดอะไรต้องมีความเป็นธรรมด้วย…”
หมิ่นเจียได้แต่ทําเป็นไม่ได้ยิน ลอบเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น5170
ไม่ง่ายเลยกว่าจะส่งเฉิงเซ่าและคนอื่นๆ กลับไป นางราวกับได้ยกภาระอันหนักอึ้งออกไป
กําลังจะหมุนกายกลับ มีบ่าวชายเด็กจากหน้าประตูวิ่งเข้ามา กล่าวว่า “สะใภ้ใหญ่ขอรับสะใภ้
ใหญ่ มีคนส่งเทียบมาให้ท่านแผ่นหนึ่งขอรับ”
นับตั้งแต่ที่เฉิงสวี่สอบจิ้นซื่อได้เป็นต้นมา คนที่ตั้งใจส่งเทียบมาให้นางเป็นพิเศษก็เพิ่มขึ้น
มาก
นางให้สาวใช้เด็กรับเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจนัก ตกกลางคืนเมื่อกลับถึงห้องถึงได้นึกถึงเทียบ
แผ่นนั้นขึ้นมา กลัวว่าจะมีเรื่องอะไร จึงเปิดออกมาดู
ผลปรากฏว่าชื่อผู้ส่งคือ “เฉิงเซียงชิง” ชื่อของเฉิงลู่