ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 560 วาจาเลื่อนเปื้อน
เฉิงลู่กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “นี่เป็นเรื่องดีหรือ ข้าเกลียดที่บนร่างกายตัวเองยังสกปรกไม่
พออย่างนั้นหรือ ก็เลยหลอกเจ้าอย่างนั้นหรือ!”
หมิ่นเจียสูดหายใจเอาลมเย็นเข้าไปครั้งหนึ่ง
ถึงแม้นางจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าหยวนซื่อจะถึงกับหลอกลวงเฉิงสวี่และ
หลอกลวงตระกูลหมิ่นเช่นนี้!
ในใจของหมิ่นเจียราวกับมีไฟกองหนึ่งกําลังแผดเผาอยู่
สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นไม่น่าดูขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง
เฉิงลู่บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ดวงหน้ามีรอยยิ้มสายหนึ่งวาบผ่าน หันไปค้อมตัวให้
หมิ่นเจียอีกครั้ง “เวลาไม่เช้าแล้ว คาดว่าคนของตระกูลเฉิงคงตามหาเจ้าแล้ว ข้าขอตัวไปก่อน!”
ดวงตาของหมิ่นเจียฉายแววสับสน กล่าวว่า “เจ้ามาหาข้าก็เพื่อบอกเรื่องนี้กับข้าอย่าง
นั้น”
ทําเช่นนี้จะมีความหมายอะไร
เฉิงลู่หัวเราะฮ่า สีหน้าอํามหิต เจือความเกลียดชังที่ล้มผืนฟ้าเผาผลาญผืนดินได้ พลาง
กล่าว “ขอเพียงทําให้เฉิงสวี่เป็นทุกข์ได้ ข้าก็รู้สึกมีความสุขแล้ว!”
หมิ่นเจียตะลึงงัน ทว่าก็ต้องยอมรับว่า คํากล่าวของเฉิงลู่นั้นมีเหตุผล
เฉิงลู่เดินจากไป
ผู้คุ้มกันตะโกนเรียก “สะใภ้ใหญ่” เสียงหนึ่ง เป็นสัญญาณถามนางว่าควรทําอย่างไรดี5190
หมิ่นเจียในเวลานี้กลับจิตใจสับสนวุ่นวาย จึงไม่รู้ว่าควรจะทําอย่างไรดี เห็นผู้คุ้มกันส่ง
สัญญาณถามนาง ความคิดแรกที่แวบขึ้นมาในสมองก็คือรีบปล่อยให้เฉิงลู่ผู้นี้จากไปโดยเร็ว เผื่อ
เขาเป็นบ้าขึ้นมาแล้วตะโกนโหวกเหวกต่อหน้าคนของตระกูลหยวน ตระกูลเหอและตระกูลอื่นๆ
ขึ้นมา เช่นนั้นคงยุ่งยากมากเป็นแน่
นางหันไปโบกมือให้ผู้คุ้มกันอย่างไร้ทางเลือก
ผู้คุ้มกันถอยออกไป
หมิ่นเจียรู้สึกหวาดกลัว
ถ้าหากถ้อยคําของเฉิงลู่เป็นเรื่องจริง นางควรจะทําอย่างไรดี
นางแต่งงานกับเฉิงสวี่แล้ว ตระกูลหมิ่นไม่เคยมีหญิงสาวที่แต่งงานใหม่อีกครั้งมาก่อน ไม่
ว่าอย่างไรนางก็ต้องอยู่ร่วมกับเฉิงสวี่ต่อไป แต่ดูจากความบ้าคลั่งของเฉิงลู่นี้แล้ว วันนี้เขามาพูด
ให้ตนฟัง ผู้ใดจะรู้ว่าพรุ่งนี้เขาจะไปพูดให้ใครฟังอีกบ้าง หยวนซื่อและเฉิงฉือล้วนตกเป็นผู้ต้องหา
หลัก จะหาใครมาหยุดยั้งเฉิงลู่ดีนะ
บ้านเดิมนั้นไม่อาจพูดด้วยเป็นอันขาด แต่งงานออกเรือนมาแล้ว นางก็คือคนของตระกูล
เฉิง เอาเรื่องอื้อฉาวของตระกูลเฉิงไปเล่าให้คนบ้านเดิมฟัง พ่อแม่พี่น้องอาจสงสารเห็นใจนาง แต่
พี่สะใภ้และน้องสะใภ้กลับเป็นคนนอกที่แต่งเข้ามา มีแต่จะหัวเราะเยาะนาง ทําให้คนดูถูกดู
แคลนนางเท่านั้น
คนจากครอบครัวสามี…หมิ่นเจียพลันนึกถึงเฉิงเซ่าขึ้นมา
เขาเป็นผู้ที่อาวุโสที่สุดของตระกูลเฉิงในเวลานี้ อีกทั้งยังเป็นท่านอาของเฉิงฉือและท่านปู่
ของเฉิงสวี่ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะว่าใกล้ก็ใกล้ จะว่าไกลก็ไกล ให้เขาช่วยออกหน้าให้
เหมาะสมที่สุดแล้ว5191
นางตัดสินใจได้แล้ว ทว่าเงยหน้าขึ้นกลับเห็นซางมามาพาป้ารับใช้ร่างกํายําสองสามคน
เร่งเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
หมิ่นเจียอดครวญเสียงเย็นอยู่ในใจไม่ได้
เฉิงฉือผู้นี้ มาได้รวดเร็วจริงๆ!
นางยิ้มพลางหันไปพยักหน้าให้ซางมามา กล่าวยิ้มๆ ว่า “มามามาช้าไปเสียแล้ว เฉิงเซีย
งชิงผู้นั้นจากไปแล้ว”
ซางมามามองท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของนาง ใจเต้นตึกๆ ครั้งหนึ่ง
เฉิงลู่ผู้นี้ ขอเพียงปรากฏตัวออกมา ไม่เคยมีเรื่องดีๆ เลย!
แต่อย่างไรก็ตาม เฉิงลู่ช่างอาจหาญเกินไปแล้ว
เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าตั้งใจจะไปวัดเจ้อถานกันทั้งครอบครัว ปรากฏว่าตระกูลอู๋มาชวนให้ไป
วัดหงหลัวด้วยกัน ยังแจ้งเอาไว้อย่างชัดเจนว่าเพื่อให้สะใภ้เล็กที่แต่งเข้ามาใหม่ไปขอบุตร ฮูหยินร
องชิวซื่อได้ยินแล้วก็สนใจ ต่อมาได้ยินว่าตระกูลหยวนและตระกูลเหอก็มาจุดธูปที่วัดหงหลัว
เช่นกัน จึงร่วมทางมาด้วยกัน
เรื่องที่ตัดสินใจอย่างกะทันหัน ผู้ใดจะคิดว่าจะได้พบกับเฉิงลู่
ดูทีแล้วคงเป็นพวกเขาที่ประมาทเกินไปแล้ว
โชคดีที่คนที่เขามาหาคือสะใภ้ใหญ่สวี่ หากว่าสัมผัสโดนตัวโจวเสาจิ่นล่ะก็…
ซางมามาไม่กล้าแม้แต่จะคิดต่อ
นางรีบกล่าวกับหมิ่นเจียยิ้มๆ ว่า “ทําให้สะใภ้ใหญ่ตกใจกลัวแล้ว!”5192
หมิ่นเจียกล่าวคล้ายกับมีความหมายแฝงว่า “เขาเห็นข้ามีคนห้อมล้อมอยู่จํานวนมาก
พูดกับข้าไม่กี่ประโยคก็วิ่งหนีไปแล้ว”
ซางมามารีบถามนางอย่างเป็นห่วงว่าตกใจกลัวหรือไม่ ต้องการให้เชิญท่านหมอมา
หรือไม่
หมิ่นเจียบอกปัดซางมามาอย่างลวกๆ ว่า “ประเดี๋ยวสะใภ้เล็กที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ของ
ตระกูลอู๋จะมาแล้ว มีอะไรค่อยกลับไปคุยกันอีกทีก็แล้วกัน”
สุดท้ายแล้วก็มิใช่คนครอบครัวเดียวกัน
ซางมามาถอยออกไปยิ้มๆ ไม่ชอบใจนางเท่าไรนัก
ถ้าสะใภ้ใหญ่สวี่เชื่อที่เฉิงลู่พูดจริงๆ ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว อยากโวยวายอย่างไรก็
โวยวายอย่างนั้นไปก็แล้วกัน ขอเพียงไม่มาโวยวายต่อหน้าโจวเสาจิ่นก็พอ
ยังคงเป็นนายท่านสี่ที่เก่งกาจ แยกตระกูลตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่อย่างนั้นหากต้องอยู่ร่วมกับ
หยวนซื่อและคนอื่นๆ วันนี้คนนี้พูดอย่างนี้ พรุ่งนี้คนนั้นพูดอย่างนั้น ต่อให้โจวเสาจิ่นเป็นคนสุภาพ
อ่อนโยนมากกว่านี้ เกรงว่าก็คงรับไม่ไหวเหมือนกัน
ตอนนางได้พบเฉิงฉือนางอดเสนอขึ้นมาไม่ได้ว่า “หาโอกาสหนึ่งล่อเขาไปที่หอโคมเขียว
แล้วตีให้ปางตายสักครั้งหนึ่งดีหรือไม่เจ้าคะ”
เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่าเขากระโจนออกมาเช่นนี้แล้วเห็นว่าไม่มีคนจัดการเขา ก็เลยคิดว่า
ตระกูลเฉิงไม่มีปัญญาจัดการเขา!
“ไม่ต้อง” สีหน้าของเฉิงฉือเย็นชาเล็กน้อย กล่าวว่า “ตอนนี้เขาทําอะไรตระกูลเฉิงไม่ได้
เห็นเจียซ่านสอบผ่านจิ้นซื่อ จึงทั้งริษยาและโกรธเกลียดก็เท่านั้น ในเมื่อเขาไปหาเจียซ่าน ก็ให้เจีย
ซ่านไปจัดการก็แล้วกัน มิใช่ว่าเขาต้องการไปรับราชการต่างเมืองหรอกหรือ หากเรื่องแค่นี้ยัง5193
จัดการได้ไม่ดี ข้าว่ามิสู้รั้งอยู่ในเมืองหลวงจะดีกว่า อยู่จิงเฉิงหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นพวกเรายังช่วย
จัดการความวุ่นวายให้เขาได้ ไปอยู่ต่างเมืองแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง”
นอกจากนี้ ถ้าหากเขาคาดเดาไม่ผิด เกรงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในชาติก่อนเหล่านั้นเฉินลี่ขันที
ใหญ่ประจําตําหนักเฉียนชิงเองก็คงมิได้สะอาดนัก ตอนแรกที่เขาให้เฉิงลู่แต่งเข้าตระกูลเฉินอย่าง
ราบรื่นนั้น ก็มิใช่เพราะถูกใจความสามารถในการกวนเรื่องให้ขุ่นของเฉิงลู่หรอกหรือ ตอนนี้เขา
สานสัมพันธ์กับตําหนักขององค์ชายสี่ได้แล้ว เช่นนั้นก็ให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสนิทสนม
ใกล้ชิดกันอีกสักหน่อยก็แล้วกัน
เฉิงฉือสั่งการซางมามายิ้มๆ ว่า “ข่มขู่จะตีจะฆ่าก็พอ แต่อย่าทําร้ายคนจนบาดเจ็บจริงๆ
เป็นอันขาด”
ซางมามายิ้มพลางขานรับ “เจ้าค่ะ” อย่างเข้าใจความหมาย
เฉินลี่เจ้าเล่ห์ประหนึ่งสุนัขจิ้งจอก ครั้งนี้เกรงว่าคงได้ล่มสลายอยู่ในเงื้อมมือของเฉิงลู่เสีย
แล้ว
นึกถึงตรงนี้เฉิงฉือรู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง ถามซางมามาว่า “ฮูหยินอยู่ที่ไหน”
โจวเสาจิ่นกําลังหลอกล่อให้อวิ้นเกอเอ๋อร์นอนหลับอยู่
อวิ้นเกอเอ๋อร์ที่กําลังจะครบหนึ่งขวบปีในอีกยี่สิบกว่าวันนี้กําลังวังชาช่างเหลือล้นยิ่งนัก
บางทีอาจเป็นเพราะการตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเร่งเดินทางมาวัดหงหลัวทําให้กิจวัตรประจําวันของเขา
คลาดเคลื่อน ถึงเวลาพักกลางวันแล้วทว่าอย่างไรก็ไม่ยอมนอน พลิกตัวปีนขึ้นมาเดิน อีกทั้งยัง
คว้าข้าวของเดินไปด้วย ประเดี๋ยวก็ปีนไปอยู่ข้างๆ โต๊ะบนเตียงเตา ประเดี๋ยวก็พาดตัวอยู่บน
หน้าต่างมองออกไปด้านนอก ไม่มีช่วงเวลาได้สงบเลยแม้แต่เค่อเดียว5194
ไม่นานโจวเสาจิ่นก็หายใจหอบเหงื่อชุ่มไปทั้งร่าง
นางจึงเพียงประคองอวิ้นเกอเอ๋อร์ให้เล่นอยู่ใต้เฉลียงทางเดิน
เขากลับต้องการขึ้นไปยืนอยู่บนเก้าอี้คนงามเพื่อดึงดอกกุหลาบพันปีที่ปลูกอยู่ใต้เฉลียง
ทางเดิน
โจวเสาจิ่นไม่ให้ เขาจึงเบิกดวงตากลมโตแวววาวมองนางพลางเรียก “แม่” ไม่หยุด เรียก
จนโจวเสาจิ่นเกือบจะใจอ่อนแล้ว เริ่มลังเลว่าจะให้เขาดึงดอกมาเล่นสักสองสามดอกดีหรือไม่อยู่
นั้น หมิ่นเจียก็เดินเข้ามาโดยมีข้ารับใช้เดินห้อมล้อมมาด้วย
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ!” วันนี้มีคนมาเป็ นจํานวนมาก อีกทั้งเรือนพักในวัดก็ไม่
สะดวกสบายเท่าที่บ้าน คนของตระกูลเฉิงล้วนพักอยู่ในเรือนพักหลังเดียวกัน พอเห็นหมิ่นเจีย
โจวเสาจิ่นจึงกล่าวทักทายนาง
หมิ่นเจียมองสํารวจโจวเสาจิ่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
วันนี้นางสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีแดงเหลือบทองตลอดทั้งชุด ดวงตาบนดวงหน้าเล็กคู่นั้น
สุกใสดุจสายนํ้า ดูงามตายิ่งกว่าดอกกุหลาบพันปีที่กําลังบานสะพรั่งอยู่ข้างๆ นั่นเสียอีก ดวงหน้า
อบอุ่นอ่อนหวานและดูสบายๆ ประหนึ่งนํ้าพุไหลเอื่อยๆ มาจากหุบเขานั่น ไหนเลยจะมองเห็น
หมอกเมฆครึ้มแม้สักสายหนึ่ง
หมิ่นเจียรู้สึกแปลกใจ
ถ้าหากโจวเสาจิ่นเป็นอย่างที่เฉิงลู่กล่าวมาจริงๆ นางจะดูสบายๆ และอิ่มเอมใจเช่นนี้ได้
อย่างไร
เมื่อความคิดวาบผ่าน หมิ่นเจียกล่าวกับโจวเสาจิ่นอย่างอดไม่ได้ว่า “เมื่อครู่ข้าไปปล่อย
ปลา จู่ๆ ก็มีบุรุษผู้หนึ่งบุกเข้ามา บอกว่าเขาซื่อ ‘เฉิงเซียงชิง’ อะไรสักอย่าง ถูกผู้คุ้มกันไล่ออกไป5195
ข้ากําลังคิดว่าจะไปสอบถามแม่สามีดูว่าเฉิงเซียงชิงผู้นี้คือใคร ได้ยินว่าท่านอาสะใภ้เติบโตอยู่ที่
ตระกูลเฉิงมาตั้งแต่เล็ก เคยได้ยินเกี่ยวกับคนผู้นี้หรือไม่”
เฉิงลู่
เขาต้องการจะทําอะไรอีก?
โจวเสาจิ่นได้ยินชื่อของเขาก็รู้สึกรําคาญใจแล้ว หัวคิ้วขมวดเป็นปมมุ่นขึ้นมาอย่างห้าม
ไม่อยู่ กล่าวว่า “เดิมทีเขาเป็นสายรองของตระกูลเฉิง ต่อมาเพราะประพฤติมิชอบจึงถูกตระกูลเฉิง
ถอดชื่อออก…” นางกล่าวจบก็ถามหมิ่นเจียว่า “มีผู้ใดรู้เรื่องนี้อีกหรือไม่ แจ้งให้หน่วยคุ้มกันของ
ตระกูลเฉิงทราบหรือยัง”
หน่วยคุ้มกันของตระกูลเฉิงส่วนมากล้วนแล้วแต่เป็นคนของเฉิงฉือ หากหน่วยคุ้มกัน
เหล่านั้นทราบเรื่อง เฉิงฉือเองก็คงทราบเรื่องแล้วเช่นกัน
นางเชื่อว่าเฉิงฉือไม่มีทางปล่อยให้เฉิงลู่กระทําวุ่นวายตามใจชอบเช่นนี้แน่นอน
นํ้าเสียงเคร่งครัดในความถูกต้องของโจวเสาจิ่นทําให้หมิ่นเจียประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่ก็ราวกับนํ้าเย็นหนึ่งอ่างที่ราดลงมาบนศีรษะของหมิ่นเจีย
นางพลันตระหนักได้ว่า เฉิงลู่พูดโกหก!
ถ้าหากที่เฉิงลู่กล่าวมาเป็นความจริง โจวเสาจิ่นควรจะช่วยปกปิดให้เขาถึงจะถูก จะพูด
เป็นนัยให้มอบทุกอย่างให้เฉิงฉือจัดการเช่นนี้ได้อย่างไร ต่อให้เฉิงลู่พูดความจริง เขาก็คงจะเลือก
พูดส่วนที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเองเท่านั้น ส่วนเรื่องที่เขาเคยทําอะไรมาก่อนนั้น กลับไม่เอ่ยถึง
แม้แต่คําเดียว
ซึ่งก็หมายความว่า เฉิงสวี่ก็อาจจะมิได้ตํ่าช้าและไร้ยางอายขนาดนั้นอย่างที่เขากล่าวมา5196
ฉับพลันนั้นหมิ่นเจียราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก พรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง
“ซางมามาเร่งไปแล้ว” นางกล่าวยิ้มๆ “แต่ว่าเฉิงเซียงชิงผู้นั้นวิ่งหนีไปก่อน”
ในเมื่อซางมามาทราบเรื่องแล้ว เช่นนั้นเฉิงฉือก็ต้องทราบเรื่องแล้วเช่นกัน
โจวเสาจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง เห็นหมิ่นเจียยังยืนมองนางอยู่ตรงนั้น ในใจพลันกระจ่าง
แจ้งขึ้นมา รู้ว่าเฉิงลู่จะต้องพูดอะไรกับหมิ่นเจียอีกอย่างแน่นอน
ข่าวลือไม่มีผลต่อคนฉลาด แต่ก็มีคํากล่าวที่ว่าข่าวลือที่แพร่กระจายในคนหมู่มากก็
หลอมละลายเหล็กกล้าได้
นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายกล่าวกับหมิ่นเจียว่า “หากเจ้ายังไม่คลายสงสัย มิสู้ไป
สอบถามคุณชายใหญ่สวี่ดู ไม่ว่าอย่างไร พวกเจ้าก็เป็นสามีภรรยากัน”
ระหว่างสามีภรรยาถ้าหากไม่มีสิ่งสําคัญที่สุดอย่างความเชื่อใจ แล้วจะอยู่ร่วมกันต่อไป
ได้อย่างไร
หมิ่นเจียได้ยินแล้วเข้าใจความหมายในคําพูดของนาง
นางนึกถึงโจวเสาจิ่นที่เชื่อฟังเฉิงฉือ
เหตุเพราะเช่นนี้ ระหว่างพวกเขาสามีภรรยาถึงได้รักใคร่กันเช่นนั้นใช่หรือไม่
แต่เฉิงลู่ชอบโจวเสาจิ่น แม้แต่นางยังดูออก…สิ่งที่เฉิงลู่กล่าวมาส่วนไหนจริง และส่วน
ไหนเท็จกันนะ?
หมิ่นเจียรู้สึกปวดศีรษะยิ่งนัก
สุดท้ายนางยังคงตัดสินใจไปสอบถามเฉิงสวี่ดู5197
อย่างน้อยต้องทําให้เฉิงสวี่รู้ว่า นางมิได้โง่งม มิได้ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
แต่เมื่อนางเดินไปถึงห้องหนังสือของเฉิงสวี่ ตอนที่คิดจะเอ่ยปากถามเขานั้น เห็นเขาสวม
ชุดดําทั้งตัว กําลังจัดห้องหนังสือด้วยดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงา คําถามที่นางเตรียม
เอาไว้เสียดิบดีทันใดนั้นกลับรู้สึกว่าพูดไม่ออกเล็กน้อย ตรงกันข้ามเปลี่ยนนํ้าเสียงเป็นการ
ปรึกษาหารือแทนโดยไม่รู้ตัว “เมื่อวานตอนไปวัดหงหลัว ข้ากําลังปล่อยปลาอยู่ข้างบ่อปล่อยปลา
จู่ๆ ก็มีคนโผล่ออกมาผู้หนึ่ง…” นางเล่าเรื่องที่ได้พบเฉิงลู่ให้เฉิงสวี่ฟังอย่างละเอียดทั้งหมด
เฉิงสวี่มองนางอย่างตะลึงพรึงเพริด
ไม่ว่าผู้ใดพานพบกับเรื่องเช่นนี้มิใช่ว่าล้วนไปปรึกษาพูดคุยกับคนข้างกายที่สนิทที่สุด
หรือไม่ก็ไว้ใจที่สุดหรอกหรือ
เขากับหมิ่นเจียต่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน นางจะพูดเรื่องพวกนี้กับเขาได้อย่างไร
นางพูดเรื่องพวกนี้กับเขามีเจตนาแท้จริงอะไรกันแน่
เฉิงสวี่วางหนังสือในมือลง หันมาเผชิญหน้ากับหมิ่นเจีย กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้า
อยากกล่าวอะไรกันแน่”
นางอยากพูดอะไร มิใช่ว่าตอนมาคิดเอาไว้เรียบร้อยแล้วหรอกหรือ
เหตุใดเวลานี้กลับรู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อยด้วยเล่า
หมิ่นเจียเม้มปาก เงยหน้าขึ้นมา มองสบตาเฉิงสวี่อย่างจริงจัง กล่าวขึ้นว่า “ข้าอยากรู้ว่า
คําพูดที่เฉิงลู่กล่าวมาเหล่านั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ท่านเคยข่มเหงโจวซื่อจริงๆ หรือไม่ ท่านอาฉื
อฉวยโอกาสแต่งงานกับโจวซื่อจริงๆ หรือไม่”5198
มุมปากของเฉิงสวี่ยกขึ้น กล่าวประชดประชันว่า “จริงแล้วเจ้าจะทําอย่างไร เท็จแล้วเจ้า
จะทําอย่างไร”
เขายังจะมีท่าทีเช่นนี้อีก!
หมิ่นเจียโกรธจนแทบกระอักเลือด แต่นึกถึงว่าในเมื่อตนมาถามถึงหน้าเฉิงสวี่แล้ว ถ้า
หากถอยกลับไปในเวลานี้ เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ตนคงไม่ได้รู้ความจริงอีกแล้ว และเรื่องนี้ก็คงจะ
กลายเป็นหนามในใจของนางไปตลอดชีวิต