ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 561 โน้มน้าว
หมิ่นเจียกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ถ้าหากเป็นเรื่องจริง พวกเราหย่ากัน แต่ถ้าไม่จริง มิใช่ว่า
ท่านต้องการไปรับราชการต่างเมืองหรอกหรือ หากตระกูลเฉิงไม่เห็นด้วย ข้าจะไปหาท่านพ่อและ
พี่ชายของข้า ร่วมทางไปกับท่านด้วย”
นางคํานวณมาดีแล้วว่าตระกูลเฉิงไม่มีทางยอมให้นางไปขอความช่วยเหลือจากคนบ้าน
เดิมแน่นอน เฉิงจิงเป็นขุนนางใหญ่ ตระกูลหมิ่นก็เป็นแค่ตระกูลมีชื่อเสียงที่รับราชการมายาวนาน
กว่าตระกูลเฉิงก็เท่านั้น ผละจากตระกูลเฉิงไปขอร้องตระกูลหมิ่น ตระกูลเฉิงย่อมไม่ยอมเสียหน้า
อย่างแน่นอน
เฉิงสวี่ประหลาดใจอย่างยิ่ง มองหมิ่นเจียเนิ่นนานไม่กล่าวอะไร
สีหน้าของหมิ่นเจียยิ่งเย็นชามากขึ้น
เฉิงสวี่หัวเราะเยาะตัวเอง
หมิ่นเจียอยากติดตามเขาไปรับราชการต่างเมือง คงเพราะรู้สึกว่าตระกูลเฉิงวุ่นวาย
เกินไป ไม่อยากเข้ามาข้องเกี่ยวกับโคลนตมของตระกูลเฉิงนี้แล้วกระมัง
เขาพลันรู้สึกว่าหมิ่นเจียเองก็น่าสงสารเช่นกัน
ชีวิตขึ้นอยู่กับบิดามารดา การแต่งงานขึ้นอยู่กับพ่อสื่อแม่สื่อ แน่นอนว่าการแต่งงานของ
บุตรชายหญิงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบิดามารดา หมิ่นเจียก็แค่คนที่ต้องเชื่อฟังบิดามารดา
ไม่ได้มีความผิดอะไร ทว่าตกลงมาในปลักของพวกเขาด้วยความผิดพลาด และเขาก็เป็นผู้สร้าง
ปลักบ่อนี้ขึ้นมา
นางมีความผิดอะไร5200
อารมณ์ของเฉิงสวี่เปลี่ยนเป็นสงบอ่อนโยนขึ้นมา
เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นให้หมิ่นเจียฟัง รวมถึงเรื่องที่ตนเกือบจะกระทําการหยาม
เกียรติโจวเสาจิ่นนั่นด้วย “…เฉิงลู่บอกว่าเขาและโจวซื่อรักใคร่กลมเกลียวกันมาตั้งแต่เด็ก มารดา
ของเขาก็โปรดปรานโจวซื่อเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือเขากําลังฉาบทองบนใบหน้าให้ตัวเขาเองดูดี! โจ
วซื่อนั้นเบื้องบนมีบิดา เบื้องล่างมีพี่สาว ตระกูลเฉิงที่จินหลิงก็มิใช่ตระกูลธรรมดาสามัญทั่วไป
ต่อให้เป็นเพราะเขาฉลาดเฉลียวตั้งแต่เด็กจนได้รับความโปรดปรานจากผู้ใหญ่ ก็ไม่อาจเข้าออก
เรือนชั้นในได้ตามใจชอบ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องได้ไปมาหาสู่กับโจวซื่ออะไรนั่นเลย…
…ส่วนเรื่องงานแต่งงานของโจวซื่อและท่านอาฉือนั้น ท่านย่าของข้าเป็นเถ้าแก่ทาบทาม
ให้ โจวซื่อคัดอักษรได้งดงามยิ่ง เคยช่วยคัดพระธรรมให้ท่านย่าของข้ามาก่อน ยังไปจุดธูปที่เขาผู่
ถัวเป็นเพื่อนท่านย่าด้วย ได้รับความโปรดปรานจากท่านย่าเป็นอย่างมาก แต่ว่าเวลานั้นยังไม่ได้
แยกตระกูล อีกทั้งท่านอาฉือยังอายุมากกว่าโจวซื่อมาก ทุกคนจึงไม่ได้คิดไปในทํานองนี้ ต่อมา
เมื่อมาอยู่จิงเฉิงแล้ว ทุกคนได้มาพบกันอีกครั้ง มีคนเอ่ยกับท่านย่าเรื่องให้คุณหนูหกตระกูลฟาง
จากจวนรองแต่งงานกับท่านอาฉือ เวลานั้นคุณหนูหกตระกูลฟางเองก็อายุเพียงสิบห้าสิบหกปี
แก่กว่าโจวซื่อเพียงหนึ่งถึงสองปีเท่านั้น ท่านย่าถึงได้นึกถึงโจวซื่อขึ้นมา จึงเป็นเถ้าแก่ทาบทามโจ
วซื่อให้ท่านอาฉือด้วยตัวเอง จะเป็นอย่างที่เฉิงลู่กล่าวว่าท่านอาฉือวางแผนร้ายตบแต่งโจวซื่อมา
ได้อย่างไร เรื่องงานแต่งระหว่างพวกเขาถ้าหากมีการบีบบังคับหรือไม่ยินยอมแม้แต่นิดเดียว ใต้
เท้าโจวบิดาของโจวซื่อเองก็เป็นจิ้นซื่อขั้นสอง ดํารงตําแหน่งเป็นเจ้าเมืองเป่าติ้ง ต่อให้ตระกูลเฉิง
เห็นด้วยตระกูลโจวก็ไม่มีทางเห็นด้วยอย่างแน่นอน”
หมิ่นเจียมองเฉิงสวี่อย่างตกตะลึง
ไม่คาดคิดว่าเรื่องนี้จะมีอาเซวียนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
นางนึกถึงความไม่พอใจของฟางเซวียนที่มีต่อสามีขึ้นมา5201
ดูเหมือนว่าตอนแรกจะมิใช่เช่นนี้ แต่พอเวลาผ่านไปยิ่งอยู่ความสัมพันธ์ของฟางเซวียน
กับน้องชายของนางก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ
หรือว่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ ถึงแม้น้องชายของนางจะได้ชื่อว่ามีความสามารถและ
พรสวรรค์ แต่กลับสอบไม่ผ่านการสอบขุนนางปีนี้ ทว่าเฉิงฉือนั้นนับตั้งแต่ที่เขาฟ้องร้องชวีหยวน
เป็นต้นมายิ่งอยู่ชื่อเสียงก็ยิ่งรุ่งโรจน์ ยิ่งอยู่ตําแหน่งในราชการก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
แต่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องล้วนอยู่จิงเฉิง แค่ไปสืบดูก็รู้แล้ว หมิ่นเจียคิดว่าแปดถึงเก้าในสิบส่วน
ของเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง
นางรู้สึกปวดศีรษะยิ่งนัก
เฉิงสวี่มิได้ปฏิเสธเรื่องที่หยวนซื่อทําลายงานแต่งระหว่างโจวเสาจิ่นและเฉิงอี้เพราะเขา
เป็นต้นเหตุ แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องที่หยวนซื่อขับไล่เฉิงลู่ออกไปเรียนหนังสือที่อื่นเพื่อเขา ยิ่งมิได้
ปฏิเสธเรื่องที่เขาชอบโจวเสาจิ่น
หมิ่นเจียนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน กล่าวเสียงเบาว่า “เช่นนั้นข้าจะไปคุยกับพี่ชายของข้า ให้
เขาช่วยหาทางคุยกับใต้เท้าหวังเจี่ยนรองเจ้ากรมขุนนาง หาโอกาสไปรับราชการต่างเมืองให้ท่าน”
แม้นหวังเจี่ยนจะมิใช่เจ้ากรมขุนนาง ทว่าเป็นคนดูแลเรื่องรายละเอียดต่างๆ ของกรมขุน
นาง ตําแหน่งไหนที่ทําได้ ตําแหน่งไหนที่คัดเลือกกันภายใน เขาอาจจะรู้ดีกว่าเจ้ากรมขุนนางเสีย
อีกด้วยซํ้าไป
ถ้าหากได้ไปรับราชการต่างเมืองจริงๆ เขาและหมิ่นเจียก็นับได้ว่าต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกัน
และกันแล้ว!
เฉิงสวี่กล่าว “ขอบใจเจ้ามาก!”
สีหน้าจริงใจและอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน5202
หมิ่นเจียพยักหน้ายิ้มๆ ออกมาจากประตูห้องหนังสือก็ไปหาหยวนซื่อ กล่าวว่า “สามี
ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าต้องการไปรับราชการต่างเมือง ตอนที่ข้ายกนํ้าชาเข้าไปให้สามีนั้น สามี
กําลังเขียนเทียบไปให้พี่ชายของข้าอยู่ บอกว่าจะให้พี่ชายของข้าช่วยพูดต่อหน้าใต้เท้าหวังสัก
สองสามประโยค ข้าห้ามเขาแล้วก็ห้ามไม่อยู่ ตั้งใจจะไปเชิญท่านย่ามาเกลี้ยกล่อมเขา จึงอยาก
มาขอแผ่นป้ายคู่หนึ่งจากท่านแม่นั่งเกี้ยวไปเจ้าค่ะ”
หยวนซื่อได้ยินแล้วก็เดือดดาล กล่าวขึ้นว่า “สะใภ้บ้านใดที่มีเรื่องอะไรนิดหน่อยก็วิ่งไป
หาบ้านเดิมแล้วบ้าง เขาไม่สอบบัณฑิตซู่จี๋ซื่อ เจ้าก็เกลี้ยกล่อมเขาสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ คําที่
กล่าวกันบ่อยๆ นั่นช่างกล่าวได้ดี ภรรยาดีถือเป็นความสุขครึ่งหนึ่ง จะดีร้ายเจ้าก็มาจากตระกูล
ใหญ่ ตั้งใจเกลี้ยกล่อมเจียซ่านดีๆ สักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ หากเขาไม่ประสบความสําเร็จ เจ้าจะ
มีชีวิตที่ดีได้หรือ”
แต่ตราบใดที่ยังพัวพันกับหยวนซื่ออยู่ ต่อให้เฉิงสวี่ได้รับแต่งตั้งเข้าสู่สํานักราชเลขาธิการ
พวกเขาก็ไม่อาจมีชีวิตที่ดีอะไรได้
หมิ่นเจียพึมพําอยู่ในใจ ทว่าสีหน้านอบน้อม กล่าวว่า “ฉะนั้นข้าถึงได้ห้ามสามีเอาไว้
อยากไปหาท่านย่า!”
หยวนซื่อสะอึก
สีหน้าของหมิ่นเจียยิ่งนอบน้อมมากขึ้น กล่าวว่า “ท่านแม่ เรื่องนี้สมควรเร็วไม่สมควร
ล่าช้า หากล่าช้าอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้!”
หยวนซื่อจําต้องโบกมือไล่นางอย่างไร้ทางเลือก พลางกล่าว “รีบไปรีบกลับ!”
หมิ่นเจียรับคําแล้วออกไป เร่งไปที่ประตูเฉาหยางอย่างรีบร้อน5203
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินคํารายงานของข้ารับใช้แล้ว กล่าวกับโจวเสาจิ่นที่กําลังหยอกล้ออ
วิ้นเกอเอ๋อร์เล่นพร้อมกับตัวเองนั้นว่า “เพิ่งกลับมาจากวัดหงหลัวเมื่อวาน วันนี้หมิ่นซื่อก็มาเยี่ยม
ถึงบ้านแล้ว หรือว่าพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าจะพูดอะไรที่เชื่อถือไม่ได้ขึ้นมาอีก?”
โจวเสาจิ่นกล่าวปลอบโยนนางยิ้มๆ ว่า “พบคนก่อนถึงจะรู้เจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า เชิญหมิ่นเจียเข้ามา
หมิ่นเจียไม่กล้าพูดเรื่องของเฉิงลู่ พูดเพียงเรื่องที่เฉิงสวี่ตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องการไป
จากจิงเฉิงเท่านั้น ยังตั้งใจจะเขียนจดหมายไปให้ตระกูลหมิ่นด้วย นางไม่มีทางเลือก ถึงได้มา
ขอร้องฮูหยินผู้เฒ่า ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยพูดให้เฉิงสวี่ ให้เฉิงสวี่ได้ออกออกไปรับราชการต่าง
เมือง “…บีบไว้ในเวลานี้ มีแต่จะยิ่งบีบก็ยิ่งแน่น มิสู้ถอยหลังหนึ่งก้าว รอให้สามีรู้ดีชั่วแล้ว ค่อยคิด
หาวิธีเข้าสํานักสารบรรณกลางก็เป็นทางหนึ่ง อยู่กรมการตรวจตราเหมือนท่านอาฉือก็เป็นอีกทาง
หนึ่ง ไม่ว่าจะเดินเส้นทางไหน ต้องเป็นทางที่ตัวเขาเองยอมเดินถึงจะใช้การได้ ฝืนเด็ดแตงโม
เช่นนี้นอกจากจะไม่หวานแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดเรื่องด้วยก็เป็นได้นะเจ้าคะ”
ช่วงนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็กําลังเป็นห่วงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน
ยังมีเวลาอีกสองสามวัน ทว่าอย่างไรเฉิงสวี่ก็ไม่ยอมไปเข้าร่วมการสอบบัณฑิตซู่จี๋ซื่อ
พวกเขาคงไม่อาจบีบบังคับให้เขาไปสอบหรอกกระมัง ต่อให้บังคับคนไปเข้าสอบได้ เขาไม่ตั้งใจ
เขียนความเรียง สอบไม่ผ่าน จะไม่เป็นการเปล่าประโยชน์หรือ!
“กล่าวเช่นนี้” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างผิดหวัง “แสดงว่าเขาตัดสินใจแล้วกระมัง”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” หมิ่นเจียกล่าวโน้มน้าว “สําหรับผู้อื่น สอบบัณฑิตซู่จี๋ซื่อไม่ผ่านก็เท่ากับ
เสียอาชีพข้าราชการไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ตระกูลอย่างพวกเรานี้ อย่างน้อยที่สุดท่านพ่อก็ยังอยู่ใน5204
สํานักราชเลขาธิการได้อีกสิบปี สิบปีถัดจากนั้น มิใช่ว่ายังมีท่านอาฉืออยู่อีกหรือ การไปรับ
ราชการต่างเมืองสักระยะหนึ่งมีอะไรให้ต้องเป็นกังวลกันเจ้าคะ!”
นี่ก็จริง
ราชสํานักมีคนเป็นขุนนางได้ดีอยู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีความเชื่อมั่นในตัวเฉิงฉือมากกว่าเฉิงจิงเสียอีก
ถ้อยคํานี้ของหมิ่นเจียทําให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวคล้อยตามแล้ว
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงพึมพํากล่าวว่า “เรื่องใหญ่เรื่องสําคัญ อย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องหารือ
กับปู่รอง บิดาและอาของเขาเสียก่อน”
นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว
หมิ่นเจียครุ่นคิด กล่าวเสียงเบาว่า “หากสามีออกไปรับราชการต่างเมือง สุขภาพของพ่อ
สามีและแม่สามียังแข็งแรงดีอยู่ ข้าอยากตามไปดูแลอาหารการกินและความเป็นอยู่ของสามีเจ้า
ค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวประหลาดใจ ทว่าก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
นางแก่ชราแล้ว ปัญหาเล็กน้อยระหว่างคู่สามีภรรยาเด็กนั้นจะปิดซ่อนจากสายตาของ
นางไปได้อย่างไร
นับตั้งแต่แต่งเข้ามาหน้าท้องของหมิ่นเจียยังคงเงียบเชียบไร้ความเคลื่อนไหวมาโดย
ตลอด ติดตามเจียซ่านไปรับราชการต่างเมืองด้วย ได้อยู่ห่างจากสะใภ้ที่จู้จี้จุกจิกชอบประชด
ประชันอย่างหยวนซื่อบ้าง บางทีนางอาจจะได้อุ้มเหลนชายในไม่ช้าก็เป็นได้ ความสัมพันธ์ของ
หมิ่นซื่อและเจียซ่านก็จะได้พัฒนาขึ้นด้วย5205
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า มิได้ปิดบังความพึงพอใจของตัวเอง
หมิ่นเจียโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
มีเรื่องลูกเป็นข้ออ้าง ต่อให้หยวนซื่ออยากรั้งนางไว้ก็มีผู้อาวุโสในบ้านเอ่ยปากพูดให้
เฉิงสวี่ยังหนีไปแล้ว นางจะอยู่รับอารมณ์โกรธอยู่ที่นี่ไปทําไม!
อยากไปก็ไปด้วยกันทุกคนนั่นแหละดีแล้ว
อย่างไรเสียชีวิตในวันข้างหน้าก็อีกยาวไกล ผู้ใดจะรู้ว่าจะได้พบคนหรือเรื่องเช่นไรอีกบ้าง
นางกลับมาถึงซอยซิ่งหลินด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จก็ไปหาเฉิงสวี่ที่
ห้องหนังสือ
เฉิงสวี่มองท่าทางของนางแล้วก็รู้ได้ว่าประสบผลสําเร็จแล้ว จิตใจเลื่อนลอยเล็กน้อย
หมิ่นซื่อเองก็เป็นคนมีความสามารถมากผู้หนึ่ง ถ้าหากไม่ได้แต่งกับเขา คงมีชีวิตที่ดีมาก
กระมัง
สายตาที่เฉิงสวี่มองหมิ่นซื่อจึงอบอุ่นขึ้นมาก
หมิ่นเจียมิได้สังเกตเห็น ความนึกคิดของนางทั้งหมดวางอยู่ที่เรื่องออกไปรับราชการต่าง
เมือง นั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนตรงข้ามเฉิงสวี่จิบชาไปด้วย เค้นสมองกล่าวจากความทรงจําไป
ด้วยว่า “ประสบการณ์ความรู้ของท่านสามัญยิ่ง หากให้ท่านไปอําเภอใหญ่ ก็คงเป็นได้แค่ผู้ช่วย
นายอําเภอผู้หนึ่งเท่านั้น หากทําไม่ดีอาจเป็นได้แต่นายทะเบียนผู้หนึ่ง ข้าว่าไม่สู้ไปเป็นพ่อเมืองที่
อําเภอขนาดเล็กสักที่ดีกว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตัดสินใจด้วยตัวเองได้ จะให้ดีที่สุดคือเลือกที่ที่มีผู้
หลักผู้ใหญ่ในบ้านไปประจําการเป็นเจ้าเมืองอยู่ที่นั่นสักคนหนึ่ง…ข้าคิดดูแล้ว ที่ซานตงดียิ่ง แต่
ท่านต้องหลีกเลี่ยงการกระทําที่อาจทําให้เกิดข้อสงสัย เช่นนั้นเจียงหนานดีที่สุดแล้ว…”5206
นางพูดเจื้อยแจ้วอยู่ที่นั่นไม่จบไม่สิ้น เป็นครั้งแรกที่เฉิงสวี่ฟังเงียบๆ โดยไม่กล่าวอะไร
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเรียกบุรุษในบ้านมาพูดคุยเรื่องของเฉิงสวี่ที่ประตูเฉาหยาง
เฉิงจิงไม่กล่าวสิ่งใด
เฉิงเซ่ายังคงยืนกรานให้เฉิงสวี่เข้าร่วมการสอบ “ต่อให้สอบไม่ผ่าน พวกเราก็ได้ทําในสิ่งที่
สมควรทําไปแล้ว ถึงเวลาจะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียใจภายหลัง”
ท่าทีของเฉิงฉือกลับแข็งกร้าวยิ่ง กล่าวว่า “ชีวิตเป็นของเขา ถนนเป็นเขาที่ต้องเดินด้วย
ตัวเอง ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว พวกเราก็อย่าพูดอะไรมากความอีกเลย เจียงหนานอะไรนั่นก็อย่า
ให้เขาไป เรื่องสําคัญขนาดนี้ เขาไม่มาบอกพวกเราด้วยตัวเอง กลับเป็นภรรยาของเขาที่มาขอร้อง
ฮูหยินผู้เฒ่าแทน เจียงหนานเป็นสถานที่ที่ขุนนํ้าขุนนางต้องแข่งขันกัน เป็นแหล่งซุกซ่อนมังกร
และเสือมาตั้งแต่โบราณ แทนที่จะให้เขาไปสร้างเรื่องที่นั่นขึ้นมาแล้วพวกเราต้องช่วยเก็บกวาด
ความยุ่งเหยิงให้ มิสู้ให้เขาไปซื่อชวนหรือไม่ก็ซีอันดีกว่า รุ่งเรืองมิเท่าเจียงหนานทว่าก็มิได้
ยากลําบากเช่นหลิ่งหนาน ให้เขาออกไปพบเห็นโลกกว้างก็ไม่เลวเหมือนกัน ตอนนั้นพี่รองเองก็
เคยเดินทางรอนแรมจนถึงซื่อชวน ต่อไปเมื่ออวิ้นเกอเอ๋อร์โตขึ้นแล้วก็ต้องเดินทางไปสักครั้งหนึ่ง
ด้วยถึงจะใช้การได้”
ตามความคิดของท่านตาของเฉิงฉือแล้ว บุรุษที่ดีควรกระหายออกเดินทางไกลสร้าง
รอยเท้าของตัวเอง ในวัยหนุ่มควรออกเดินทางไกลสักครั้งหนึ่ง เพิ่มพูนประสบการณ์ ลับ
ประณิธานความคิดให้แหลมคม กว่าจะได้เฉิงสวี่มานั้นไม่ง่ายเลย หยวนซื่ออย่างไรก็คัดค้านถึง
ที่สุด ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็ไม่กล้าดึงดัน พอถึงคราวของเฉิงรั่ง ก็เลยแล้วแต่พวกเขาแล้ว
เฉิงจิงหน้าแดง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ให้เจียซ่านไปรับราชการต่างเมืองเถิด!”5207
ต่อให้บุตรชายไปถึงที่ประจําการแล้วไม่มีผลงานดีๆ รอให้ถึงตอนที่เขาเกษียณ ปกติองค์
ฮ่องเต้มักจะทรงเมตตาพระราชทานบําเหน็จให้ ถึงเวลาค่อยหาทางพาบุตรชายกลับมาก็ได้แล้ว
กระทั่งการสอบคัดเลือกบัณฑิตซู่จี๋ซื่อเสร็จสิ้น ก็ถึงปลายเดือนสี่ ใกล้จะถึงพิธีฉลอง
ครบรอบขวบปีของอวิ้นเกอเอ๋อร์แล้ว
หลี่ซื่อพาโจวโย่วจิ่นและโจวจงจิ่นมาถึงหลังวันสรงนํ้าพระพุทธเจ้า เข้าพักที่เรือนรับรอง
แขกของประตูเฉาหยาง
โจวชูจิ่นและเลี่ยวเส้าถังที่สอบบัณฑิตซู่จี๋ซื่อผ่านแล้วและได้สังเกตการณ์อยู่ที่กรม
ยุติธรรมสองสามีภรรยาพากวนเกอมาคารวะหลี่ซื่อ
หลี่ซื่อดีใจมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง จัดงานเลี้ยงแสดงความยินดีให้เลี่ยวเส้าถังตรงลาน
บ้านในเรือนรับรองแขกของนาง
เฉิงฉือและโจวเสาจิ่นพาอวิ้นเกอเอ๋อร์มาร่วมด้วย แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวบอกว่าอากาศร้อน
เกินไป ไม่อยากขยับไปไหน ให้พวกเขาเที่ยวเล่นกันให้สนุก ส่วนตัวเองอยู่ที่เรือนทิงเซียงไม่ได้
มาร่วมด้วย