ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 562 ดึงตัว
หลี่ซื่อซาบซึ้งใจในความเอาใจใส่ของฮูหยินผู้เฒ่ากัว กระซิบกล่าวกับโจวเสาจิ่นไม่หยุด
ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าช่างแสนดีจริงๆ! เจ้าวาสนาดี ได้พบกับแม่สามีดีขนาดนี้!”
“นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ” ในข้อนี้ โจวเสาจิ่นไม่เคยถ่อมตัวเลย กล่าวยิ้มๆ ว่า “แม่
สามีของข้าไม่เพียงเป็นคนจิตใจกว้างขวาง ยังมีโลกทัศน์กว้างไกลอีกด้วย การปฏิบัติตัวต่อผู้อื่น
และความประพฤติก็จัดอยู่ในลําดับบนสุด หลายปีนี้ข้าได้ติดตามอยู่ข้างกายนางก็ได้เรียนรู้อะไร
ไปไม่น้อยทีเดียว”
หลี่ซื่อพยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม ถามโจวชูจิ่นว่า “พวกเจ้าจะกลับเจิ้นเจียงเมื่อใดหรือ พวก
เราก็ควรจะฝากของขวัญไปด้วยสักชิ้นหนึ่งถึงจะถูก”
วันที่สิบหกเดือนหก น้องสาวของเลี่ยวเส้าถังจะออกเรือน โจวชูจิ่นรอเสร็จจากพิธี
ครบรอบขวบปีของอวิ้นเกอเอ๋อร์แล้วจะพากวนเกอและฮูหยินใหญ่เลี่ยวแม่สามีเดินทางกลับเจิ้น
เจียงด้วยกัน
โจวชูจิ่นกล่าวขอบคุณ กล่าวยิ้มๆ ว่า “แม่สามีกําหนดเรื่องงานแต่งเอาไว้ตั้งแต่ก่อนมาจิง
เฉิงแล้ว เนื่องจากบุตรเขยอายุน้อยกว่าน้องสามีหนึ่งปี ดังนั้นตกลงกันแล้วว่ารอให้น้องสามีอายุ
ครบสิบแปดปีแล้วค่อยแต่งเข้าไป สินเจ้าสาวก็ได้จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว แต่
สองสามปีมานี้แม่สามีอาศัยอยู่ที่จิงเฉิงตลอด ญาติสนิทมิตรสหาย ลูกพี่ลูกน้องและภรรยา ยังมีผู้
อาวุโสในบ้านที่ต้องไปเยี่ยมเยียนอีกคนแล้วคนเล่าอีก ตามความคิดของแม่สามีข้าแล้ว วันที่ยี่สิบ
หกเดือนสี่ก็ต้องออกเดินทางแล้ว เร่งกลับเจิ้นเจียงไปให้ทันฉลองวันที่สิบห้า”
วันคล้ายวันเกิดของอวิ้นเกอเอ๋อร์คือวันที่ยี่สิบสี่เดือนสี่5209
หลี่ซื่อตะลึงงันเล็กน้อย กล่าวว่า “เช่นนั้นมิเท่ากับว่าวันที่สามหลังพิธีครบรอบขวบปีขอ
งอวิ้นเกอเอ๋อร์ก็ออกเดินทางแล้วหรอกหรือ ข้ายังคิดว่าจะเดินทางกลับพร้อมพวกเจ้า”
“นานๆ ทีโย่วจิ่นและจงจิ่นจะได้มาสักครั้งหนึ่ง ท่านก็อยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวันเถิด!”
โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ “อย่างไรเสียเป่าติ้งก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่”
หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าจะออกเดินทางเร็วเพียงนี้! ถึงแม้ว่าข้าอยากจะร่วม
ทางไปกับเจ้าก็ไม่ได้แล้ว ตอนมาบิดาของพวกเจ้ายํ้ากําชับข้าว่า ให้ข้าพาเด็กๆ ไปร่วมดื่มยินดีกับ
นายท่านผู้เฒ่ารองก่อนค่อยกลับ”
โจวชูจิ่นยิ้มพลางหันไปมองรอบๆ เห็นสาวใช้และแม่นมต่างห้อมล้อมอวิ้นเกอเอ๋อร์ กวน
เกอ โย่วจิ่นและจงจิ่นเล่นกันอยู่ที่ลานด้านนอก ภายในห้องเงียบเชียบมีเพียงพวกนางสามสตรี
เท่านั้น จึงกดเสียงลงตํ่าถามถึงฉางกูกูขึ้นมา “…ได้ยินว่าเขียนอักษรได้ดียิ่ง กูกูในวังหลวง ความรู้
ความสามารถล้วนเป็นเลิศกระมัง”
“เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “แต่ว่าเป็นคนอ่อนโยนยิ่ง น่าจะพูดคุยด้วยไม่
ยากเจ้าค่ะ”
ขณะที่ทั้งสามคนกําลังคุยกันอยู่ โจวชูจิ่นเอามือทาบอก หัวคิ้วขมวดมุ่นน้อยๆ ท่าทางดู
ทรมานเป็นอย่างมาก
โจวเสาจิ่นรีบถามขึ้นว่า “นี่ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
โจวชูจิ่นพึมพํากล่าวอย่างเขินอายว่า “ข้า ข้าตั้งครรภ์แล้ว…”
“หา!” โจวเสาจิ่นและหลี่ซื่อร้องขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่
อยู่ คนหนึ่งถามขึ้นว่า “กี่เดือนแล้ว ต้องการให้เชิญท่านหมอมาตรวจดูอีกครั้งหรือไม่ คํานวณวัน5210
แล้วก็น่าจะมีข่าวดีแล้ว” อีกคนหนึ่งกล่าวว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้เหตุใดท่านพี่ไม่บอกข้าเลย หากรู้
เช่นนี้แต่เนิ่นๆ พวกเราน่าจะไปจัดงานเลี้ยงที่ศาลาริมนํ้า ทางด้านโน้นอากาศดีกว่า”
โจวชูจิ่นหน้าแดงกล่าวขึ้นว่า “เพิ่งจะสามเดือน พี่เขยของเจ้าทั้งต้องเข้าร่วมการสอบขุน
นางช่วงวสันตฤดูและเข้าร่วมการสอบคัดเลือกบัณฑิตซู่จี๋ซื่อ ข้าจึงมิได้ป่าวประกาศออกไป พวก
เจ้าอย่าได้เป็นห่วง ข้าสบายดี” กล่าวอีกว่า “จะว่าไปแล้วก็แปลก ลูกคนนี้ราวกับกลัวว่าจะรบกวน
บิดาของเขาก็ไม่ปาน ก่อนหน้านี้ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย จวบจนเรื่องของพี่เขยของเจ้าถูก
กําหนดเรียบร้อยแล้ว ข้าถึงเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายขึ้นมา พี่เขยของเจ้าบอกว่า ลูกคนนี้เป็นคนรู้จัก
เห็นใจผู้อื่นคนหนึ่ง” กล่าวจบ นางเม้มปากหัวเราะขึ้นมา ดวงหน้าของนางเอิบอาบไปด้วย
ความสุขของคนเป็นแม่
โจวเสาจิ่นดีใจแทนโจวชูจิ่น
ชาติก่อนไม่ง่ายเลยกว่าพี่สาวจะให้กําเนิดบุตรได้สักคนหนึ่ง ชาตินี้กลับมีโอกาสได้เป็น
แม่คนอีกครั้งหนึ่งแล้ว
นางอดไม่ได้กอดแขนของพี่สาวเอาไว้พลางกล่าว “ยินดีกับท่านพี่ด้วยเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นกล่าวขอบคุณเสียงอบอุ่น
โจวเสาจิ่นรีบบอกให้เพิ่มอาหารผักสดเข้าไปในมื้อกลางวันอีกหลายอย่าง
กระทั่งถึงเวลารับประทานอาหารเที่ยง เฉิงฉือเองก็ทราบข่าวด้วยเช่นกัน
เขยทั้งสองคนจึงดื่มสุราด้วยกันไปหลายจอก ส่วนหลี่ซื่อและโจวเสาจิ่นสองพี่น้องพูดคุย
เรื่องการเลี้ยงลูก เวลาจึงล่วงเลยผ่านไปท่ามกลางความครึกครื้น
โจวเสาจิ่นและเฉิงฉือส่งแขกเสร็จ บอกกล่าวหลี่ซื่อครั้งหนึ่งแล้ว ทั้งสองคนก็ไปหาฮูหยิน
ผู้เฒ่ากัว5211
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกําลังเอกเขนกอยู่บนหมอนใบใหญ่อ่านพงศาวดารท้องถิ่นอยู่
เห็นพวกเขาเข้ามาใบหน้าเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา ถามโจวเสาจิ่นว่าทุกคนเล่นกัน
สนุกสนานหรือไม่
โจวเสาจิ่นจึงเล่าเรื่องที่หลี่ซื่อกล่าวชมฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะฮ่า รู้ว่าโจวเสาจิ่นกําลังหลอกล่อนางให้ดีใจ จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
เท่าใดนัก นึกถึงคนตระกูลฉางที่พักอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนขึ้นมา ถามโจวเสาจิ่นว่า “พิธีครบรอบขวบปี
ของอวิ้นเกอเอ๋อร์ ส่งเทียบเชิญไปให้ทางโน้นหรือยัง”
“ส่งแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ข้าไปส่งเทียบเชิญด้วยตัวเองเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวร้อง “อืม” เสียงหนึ่งอย่างพึงพอใจ กําลังจะคุยรายละเอียดพิธีครบรอบ
ขวบปีของอวิ้นเกอเอ๋อร์กับนาง ก็มีสาวใช้เด็กกล่าวรายงานมาจากนอกผ้าม่านว่า “คนของ
ตําหนักองค์ชายสี่ส่งของขวัญมาแสดงความยินดี หมัวมัวข้างวรกายพระชายาปรารถนาจะเข้ามา
คารวะฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินเจ้าค่ะ”
หลังวันสรงนํ้าพระพุทธเจ้า ตําแหน่งตราตั้งของภรรยาขุนนางขั้นสี่ของโจวเสาจิ่นก็มีพระ
ราชโองการโปรดเกล้าฯลงมา ยังมีมารดาหรือไม่ก็ภรรยาของขุนนางอีกหลายท่านในเมืองหลวง
ได้รับแต่งตั้งพร้อมนางด้วย โจวเสาจิ่นเข้าวังไปแสดงความสํานึกในพระเมตตาพร้อมกับคน
เหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ยังได้ทําความรู้จักชื่อแซ่ของกันและกัน ได้รู้จักภรรยาของขุนนางขั้นสี่หลาย
คนด้วย
ตั้งแต่ออกมาจากวังหลวง คนในบ้านก็เริ่มเปลี่ยนมาเรียกขานโจวเสาจิ่นว่า ‘ฟูเหริน’ แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยกับโจวเสาจิ่นว่า “เจ้าเคยได้ยินเจ้าสี่พูดถึงบ้าง
หรือไม่ ระยะนี้องค์ชายสี่กับพวกเราใกล้ชิดกันยิ่งนัก!”5212
โจวเสาจิ่นไม่อยากโกหกฮูหยินผู้เฒ่ากัว แต่ก็ไม่กล้าเล่าแผนการของเฉิงฉือให้นางฟัง จึง
ได้แต่กล่าวอย่างคลุมเครือไปว่า “เรื่องขององค์ชายสี่ล้วนเป็นสามีที่จัดการด้วยตัวเองมาโดย
ตลอด เหตุใดระยะนี้ตําหนักขององค์ชายสี่กับพวกเราถึงใกล้ชิดกันนั้นข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน
ประเดี๋ยวสามีกลับมาแล้วข้าจะคุยกับสามีดูเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสั่งการให้สาวใช้เด็กผู้นั้นพาคนของตําหนักองค์ชายวี่เข้ามา จากนั้นเอ่ย
กับโจวเสาจิ่นว่า “รอเจ้าสี่เลิกงานแล้วให้เขามาหาข้าสักครู่ก็แล้วกัน”
ความหมายก็คือ ต้องการสอบถามเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
โจวเสาจิ่นรับคํายิ้มๆ ตกเย็นตอนได้พบเฉิงฉือจึงรู้สึกกังวลใจแทนเขาด้วยเรื่องนี้ “…จะ
บอกท่านแม่อย่างไรดีเจ้าคะ”
“นี่มีอะไรยากกัน” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ท่านแม่มิใช่คนไม่เคยประสบกับลมฝนมาก่อน
ประเภทนั้น ระยะนี้องค์ชายสี่ส่งของขวัญไปผูกสัมพันธ์กับผู้ทรงภูมิทั่วจิงเฉิง ต่อให้ข้าไม่บอกท่าน
แม่ ฮูหยินเผิงเฉิงก็น่าจะบอกท่านแม่แล้ว”
โจวเสาจิ่นไม่ค่อยเข้าใจ “หรือว่าก่อนหน้านี้พวกเราจะสงสัยผิดไป หากเขามีใจต่อราช
บัลลังก์ จะประมาทเช่นนี้ได้อย่างไร เขาไม่กลัวฝ่าบาทจะสงสัยเขาหรือเจ้าคะ”
“เขามิได้ไปป้วนเปี้ยนอยู่ต่อหน้าขุนนางใหญ่ทั้งหลาย ฝ่ าบาทจะทรงสงสัยเขาได้
อย่างไร” เฉิงฉือปล่อยให้โจวเสาจิ่นเปลี่ยนอาภรณ์ให้เขา คุยเรื่องนอกบ้านกับนาง “เบื้องบนเขามี
องค์ชายสามกดทับอยู่ ตอนนี้หากเขาไม่สานสัมพันธ์กับตระกูลมีเกียรติหรือไม่ก็ขุนนางขั้นสี่ขั้น
ห้าอย่างข้า เบื้องบนมีหวงไท่ซุน เบื้องล่างมีองค์ชายสาม ผู้ใดยังจะจดจําเขาได้เล่า!”5213
โจวเสาจิ่นฟังแล้วหัวใจกระตุก ถามเฉิงฉืออย่างลิงโลดเล็กน้อยว่า “เป็นเพราะพวกเราบีบ
คั้นจนแน่น ฉะนั้นเรื่องราวถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่ องค์ชายสี่ที่เดิมทีอยู่อย่างถ่อมตน
ไร้ผู้คนสังเกตเห็นตอนนี้ถูกบีบให้สูงขึ้นมา”
ชาติก่อนองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ องค์ฮ่องเต้ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ต้องการ
แต่งตั้งพระราชนัดดาองค์โตเป็นรัชทายาทหวงไท่ซุน องค์ชายหลายพระองค์คัดค้าน องค์ฮ่องเต้
รู้สึกว่าพวกเขาไร้ความรักต่อพี่น้อง มุ่งหวังแต่ราชบัลลังก์ จึงบังเกิดความระแวงสงสัยขึ้นมา องค์
ชายรองและองค์ชายสามที่อยู่ก่อนหน้าองค์ชายสี่ถึงได้ค่อยๆ ร่วงหล่นลงจากม้า จวบจนหวงไท่
ซุนสิ้นพระชนม์ เขาจึงได้สืบทอดตําแหน่งจักรพรรดิไปโดยปริยาย
แต่ชาตินี้ องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ด้วยความโกรธ องค์ชายรองและองค์ชายเจ็ดถูกลาก
เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ทว่าองค์ชายสามกลับอยู่รอดปลอดภัยดี และเพราะองค์ฮ่องเต้ทรงสูญเสีย
องค์ชายหลายพระองค์ติดต่อกันจึงทรงโศกเศร้าอาดูรเหลือแสน ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายสองสาม
พระองค์ที่ยังเหลืออยู่หรือว่าจะเป็นขุนนางใหญ่ในราชสํานักล้วนไม่อาจคัดค้านมิให้องค์ฮ่องเต้
แต่งตั้งพระราชนัดดาองค์โตเป็นรัชทายาทหวงไท่ซุนได้ กระดานลูกคิดสมดังใจหมายขององค์
ชายสี่จึงถูกตีจนเสียหาย
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ช่างน่าแปลกยิ่งนัก! ถ้าหากพวกองค์ชาย
รองถูกองค์ชายสี่ใส่ร้าย เหตุใดองค์ชายสี่ถึงไม่อดทนรอจนกว่าหวงไท่ซุนจะสิ้นพระชนม์เหมือน
ชาติก่อนเจ้าคะ เขาไปตรงนั้นทีไปตรงนี้ทีเหมือนคนไร้กฎเกณฑ์เช่นนี้…ช่างน่าแปลกยิ่งนัก!”
แปลกอะไรกันเล่า
เฉิงฉือกล่าวอยู่ในใจ หากมิใช่เพราะเขาจัดคนไปอยู่ข้างวรกายองค์รัชทายาททําให้องค์
รัชทายาทหลบหลีกกับดักได้หลายต่อครั้งล่ะก็ องค์ชายสี่จะรีบใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์
ระหว่างองค์ชายรองและนางกํานัลแซ่ไต้ผู้นั้นอย่างรีบร้อนเช่นนี้หรือ5214
แต่อย่างไรก็ตาม เฉิงฉือไม่คิดจะบอกให้โจวเสาจิ่นรู้
เสาจิ่นจิตใจดี รู้เรื่องนี้แล้วเกรงว่าจะรู้สึกไม่สบายใจ มิสู้ไม่บอกนางดีกว่า
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องราวมักจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่แน่ว่าชาติก่อนผู้ช่วยที่เสนอ
ความคิดนี้ให้เขาอาจจะคิดไม่ออกด้วยหลากหลายเหตุผลก็เป็นได้”
นี่ก็ใช่
โจวเสาจิ่นถอนหายใจ กล่าวขึ้นว่า “แต่ก็หวังว่าจะเปลี่ยนแปลงเพียงเรื่องเล็กๆ พวกนี้
เท่านั้น มิเช่นนั้นข้าคงทําร้ายท่านแล้ว”
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ โอบบ่าของโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวว่า “เอาล่ะ พวกเราไปคารวะท่านแม่
ก่อน เรื่องขององค์ชายสี่ ให้หวงไท่ซุนออกหน้าถึงจะถูก”
ให้การสิ้นพระชนม์ขององค์รัชทายาทชี้เป้าไปที่องค์ชายสี่ หวงไท่ซุนย่อมต้องไป
ตรวจสอบ และตอนนี้สิ่งที่องค์ชายสี่อดทนไม่ได้เป็นที่สุดก็คือการตรวจสอบ
ส่งผู้ใดไปอยู่ข้างวรกายหวงไท่ซุนดีนะ
ใช้ขุนนางฝ่ายพลเรือนหรือฝ่ายกองทัพดี?
หัวสมองของเฉิงฉือขบคิดอย่างรวดเร็ว ไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัวพร้อมกับโจวเสาจิ่น
หลังจากที่เขาเล่าเรื่องที่ระยะนี้องค์ชายสี่ติดต่อกับคนเช่นไรบ้างให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพลันเข้าใจขึ้นมาในทันที กล่าวขึ้นว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! เขารู้ว่าขุนนางใหญ่
หลายๆ ท่านไม่สนใจเขา ดังนั้นจําต้องไปมาหาสู่กับขุนนางยศขั้นสี่ขั้นห้าอย่างพวกเจ้าแทน
อยากได้รับการสนับสนุนจากพวกเจ้า”5215
เฉิงฉือรู้ว่ามารดาของตนย่อมเข้าใจ กล่าวว่า “ข้ารู้จักองค์ชายสี่มาตั้งแต่ต้น การที่เขาส่ง
ของขวัญมาแสดงความยินดีในพิธีสรงสามครบรอบเดือนครบรอบขวบปีของอวิ้นเกอเอ๋อร์ก็เป็น
เรื่องปกติยิ่ง”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงยํ้ากําชับเขาอย่างไม่วางใจว่า “อย่างไรก็ติดต่อกันให้น้อยลงจะ
ดีกว่า! ยังไม่รู้ว่าหวงไท่ซุนเป็นคนเช่นไร”
เฉิงฉือขานรับคํา “ขอรับ” อย่างนอบน้อม
ผ่านไปไม่กี่วัน ใกล้ถึงพิธีครบรอบขวบปีของอวิ้นเกอเอ๋อร์ โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ก็
เปลี่ยนเป็นยิ่งยุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
มีข่าวมาจากกรมขุนนาง เฉิงสวี่ได้บรรจุในตําแหน่งนายอําเภอประจําอําเภอเหมียนจู๋
เหมียนจู๋อยู่ภายใต้การปกครองของเมืองเต๋อหยาง เป็นอําเภอระดับกลางๆ แต่เนื่องจาก
อยู่ซื่อชวน ตั้งอยู่ห่างไกล จึงมิใช่งานที่คนให้ความสนใจเท่าไรนัก
ตอนที่เฉิงสวี่ได้รับข่าวนั้นนิ่งเงียบไปครึ่งค่อนวัน
ได้ออกไปรับราชการต่างเมืองแล้ว!
ได้ออกไปรับราชการต่างเมืองจริงๆ แล้ว!
เรื่องที่เฝ้าปรารถนามาเนิ่นนานจนเกือบจะกลายเป็นหมกมุ่นไปแล้วพลันสําเร็จขึ้นมาใน
พริบตา ความรู้สึกประเภทนี้ทําให้เฉิงสวี่รู้สึกแปลกใหม่ยิ่งนัก
หยวนซื่อนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอนด้วยสีหน้าซีดเผือด กระดาษและผ้าม่านเตียงที่แขวน
อยู่ทําให้ไม่ว่าจะมองไปที่ไหนสายตาของนางล้วนหม่นหมองไปหมด
สุดท้ายแล้วยังคงให้เฉิงสวี่มีเส้นทางของตัวเอง5216
เขาอยากไปจากตนถึงเพียงนี้
เพื่อให้ได้ไปจากตนแล้ว แม้แต่อนาคตก็ไม่ต้องการแล้วอย่างนั้นหรือ
ถ้าหากตอนแรกนางสู่ขอโจวเสาจิ่นให้เขา เขาจะตั้งใจเรียนอย่างหนักต่อไปเหมือนตอน
เข้าร่วมการสอบระดับภูมิภาค สอบได้ตําแหน่งจ้วงหยวน และช่วงชิงเอาสามหยวนมาสัก
ตําแหน่งหนึ่งได้หรือไม่นะ?
หยวนซื่ออดคิดไม่ได้
ทว่าก็อดที่จะบอกตัวเองไม่ได้ว่าให้หยุดคิดเช่นนี้
โจวเสาจิ่นคือสตรีกําพร้ามารดามาอาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น นอกจากใบหน้างดงามแล้วมี
อะไรให้เชิดหน้าชูตาได้บ้าง
นางจะเทียบกับหมิ่นซื่อได้อย่างไร!