ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 567 ครบรอบขวบปี
เฉิงจิงมองหยวนซื่อด้วยสายตาเย็นชา ไม่กล่าวอะไรไปครู่ใหญ่
หยวนซื่ออดรู้สึกหวาดผวาอยู่ในใจไม่ได้ ปรับอารมณ์ตัวเองครู่ใหญ่ถึงได้ฝืนยิ้มออกมา
เตรียมจะก้มศีรษะยอมรับความผิดแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่านางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เฉิงจิงก็กล่าวขึ้นก่อน
ว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน!”
กล่าวจบก็เดินออกไป
ข้ารับใช้ภายในห้องต่างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว อยากจะหายตัวได้เป็นอย่างยิ่ง
หยวนซื่อมองแล้วให้รู้สึกแน่นหน้าอกจะหายใจเข้าก็ไม่ได้ จะหายใจออกก็ไม่ได้ หน้าแดง
กํ่าด้วยความอับอาย
หมิ่นเจียที่อาศัยอยู่ที่เรือนด้านหลังรู้ข่าวแล้วลอบแสยะยิ้มเย็น
แม่สามีของนางผู้นี้ จิตใจคับแคบเกินไปสักหน่อย
หากไม่ปรับเปลี่ยนข้อเสียนี้ ต่อไปยังมีเรื่องขบขันเกิดขึ้นอีก
โชคดีที่นางใกล้จะได้ไปจากที่นี่แล้ว
พูดถึงเรื่องที่ได้ติดตามเฉิงสวี่ไปที่เหมียนจู๋ด้วยนั้น ต้องขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่า หากมิใช่
เพราะนางเอ่ยปาก ต่อให้ตนหยิบยกเรื่องทายาทมาเป็นข้ออ้าง เกรงว่าหยวนซื่อก็คงไม่ยอมตอบ
ตกลงง่ายดายเพียงนี้
หมิ่นเจียนึกถึงพิธีครบรอบขวบปีของอวิ้นเกอเอ๋อร์ในวันพรุ่งนี้ขึ้นมา ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเฝ้า
ฝันให้อวิ้นเกอเอ๋อร์เติบโตขึ้นมาอย่างปลอดภัยแข็งแรงมาโดยตลอด นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ให้สาวใช้5252
คนสนิทไปเปิดหีบสินเจ้าสาวของตัวเอง หยิบจี้ผิงอันอวยพรให้ปลอดภัยแกะสลักจากไม้ต้นท้อชิ้น
หนึ่งมาบรรจุลงกล่องใบเล็ก วันรุ่งขึ้นนําไปที่ประตูเฉาหยางด้วย
ท้องฟ้ายังเช้าอยู่มาก ทว่าที่ประตูเฉาหยางกลับประดับประดาด้วยโคมไฟ เปิดประตู
ต้อนรับแขกแล้ว
แขกเหรื่อก็มากันไม่น้อยแล้ว
ตอนนางลงจากเกี้ยวก็ได้พบกับฮูหยินใหญ่และสะใภ้สามของตระกูลหยวน
นางรู้จักฮูหยินทั้งสองท่านดี ฮูหยินใหญ่เป็นตัวแทนของตระกูลหยวนออกมาพบปะเข้า
สังคมมิใช่เรื่องแปลกแม้แต่นิดเดียว แต่ที่น่าแปลกก็คือสะใภ้สาม นับตั้งแต่เรื่องที่นายท่านสาม
ของตระกูลหยวนเลี้ยงอนุไว้ข้างนอกแพร่ออกมา สะใภ้สามก็ไม่ออกจากบ้านมาพักใหญ่แล้ว ไม่รู้
ว่าเหตุใดครานี้ถึงมาร่วมพิธีครบรอบขวบปีของอวิ้นเกอเอ๋อร์ได้
หมิ่นเจียพึมพํากล่าวอยู่ในใจ ทว่าไม่กล้าเผยความผิดปกติออกมาทางสีหน้าแม้แต่นิด
เดียว ติดตามอยู่ด้านหลังหยวนซื่อก้าวออกไปทําความเคารพฮูหยินตระกูลหยวนทั้งสองท่าน
อย่างยิ้มแย้ม
ตระกูลหยวนเป็นตระกูลเดิมของหยวนซื่อ มีความสัมพันธ์เป็นญาติกันแล้ว ยามพูดคุย
จึงสนิทสนมกว่าคนอื่นๆ
ฮูหยินใหญ่หยวนกล่าว “เจียซ่านจะออกจากเมืองหลวงเมื่อใด ลุงของเขาอยากจัดโต๊ะ
อาหารเลี้ยงที่บ้านสักโต๊ะหนึ่งเพื่อเลี้ยงส่งเจียซ่าน ข้าดูแล้วพรุ่งนี้เป็นวันดี พรุ่งนี้เป็นอย่างไร”
หยวนซื่อขานรับยิ้มๆ ว่า “ดีเจ้าค่ะ” จากนั้นก็มีเกี้ยวหามเข้ามาอีกหลังหนึ่ง
ภรรยาสาวสวมเพ่ยจื่อสีแดงดอกทับทิม กระโปรงจีบหม่าเมี่ยนสีกรมท่าลายดอกไม้ผู้
หนึ่งลงมาจากเกี้ยวโดยมีป้ารับใช้ที่มากับเกี้ยวช่วยประคอง5253
หมิ่นเจียมองแล้วไม่คุ้นหน้ายิ่งนัก หยวนซื่อและฮูหยินใหญ่หยวนเองก็ปกคลุมไปด้วย
ม่านหมอก เห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักเช่นกัน กลับเป็นสะใภ้สามหยวนที่กล่าวทักทายสตรีผู้นั้นยิ้มๆ ว่า
“ฮูหยินใหญ่หงก็มาด้วยหรือ ช่างเป็นแขกหายากจริงๆ จะว่าไปพวกเราก็ไม่ได้เจอกันมาสี่ถึงห้าปี
แล้ว”
สตรีผู้นั้นก้าวออกมาทําความเคารพ
สะใภ้สามกล่าวแนะนําสตรีผู้นั้นให้หมิ่นเจียและคนอื่นๆ รู้จัก “ท่านผู้นี้คือฮูหยินของใต้
เท้าหงอดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ ายตรวจตราประจําเจ้อเจียง เดือนสี่ของปีนี้ใต้เท้าหงกลับมาที่กรมการ
ตรวจตราแล้ว ฮูหยินใหญ่หงคงจะติดตามกลับมาเมืองหลวงด้วย”
เนื่องจากทุกคนต่างต้องไปมาหาสู่กันระหว่างตระกูลขุนนางในจิงเฉิง เริ่มแรกจึงต้อง
แถลงไขให้ชัดเจนว่าผู้ใดเป็นผู้ใด
พอสะใภ้สามกล่าวจบ คนอื่นๆ อีกสามคนก็รู้ว่านางคือใคร
เป็นบุตรสะใภ้ของหงซิ่วรองเจ้ากรมกลาโหมพ่วงตําแหน่งผู้ปกครองแคว้นสองก่วงอย่างก่
วงตงและก่วงซี และก็เป็นหลานสะใภ้ของฮูหยินใหญ่หงของจวนรองที่ซอยจิ่วหรูอีกด้วย
จวนรองของซอยจิ่วหรูกับจวนหลักแยกตระกูลกัน คนของตระกูลหงกลับมาร่วมพิธี
ครบรอบขวบปีของบุตรชายคนโตของเฉิงฉือ…
ฮูหยินใหญ่หยวนกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนนี้ใต้เท้าหงและใต้เท้าเฉิงคนเล็กเป็นสหายร่วมงาน
กันแล้วกระมัง”
ฮูหยินใหญ่หงพยักหน้าหงึก กล่าวยิ้มๆ ว่า “ถูกต้องแล้ว พอพวกข้ากลับมาถึงเมืองหลวง
ก็ได้ยินว่าใต้เท้าเฉิงจัดพิธีครบรอบขวบปีให้บุตรชายคนโต” และถามสะใภ้สามหยวนว่า “ตอนนี้
นายท่านสามยังไม่รับราชการอีกหรือ ไม่รู้ว่างานเช่นไรถึงจะรั้งนายท่านสามเอาไว้ได้”5254
หยวนเปี๋ยอวิ๋นสอบผ่านจิ้นซื่อก่อนเฉิงฉือหนึ่งรอบการสอบ ยังสอบบัณฑิตซู่จี๋ซื่อผ่านแล้ว
และผ่านการสังเกตการณ์ที่กรมพิธีการแล้วด้วย เพียงแต่เป็นบัณฑิตซู่จี๋ซื่อยังไม่ครบสามปีเขาก็
อดทนไม่ไหวลาออกจากตําแหน่งแล้วออกเดินทางท่องไปทั่วทุกที่ ตั้งแต่ก่อตั้งรัชสมัยนี้มา เขาถือ
ว่าเป็นคนแรก
เมื่อก่อนเวลาสะใภ้สามหยวนได้ยินผู้อื่นถามเช่นนี้ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่จาก
ที่หยวนเปี๋ยอวิ๋นมีเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่าแล้ว สะใภ้สามหยวนก็ไม่เห็นเรื่องพวกนี้สลักสําคัญอีก
นางกล่าวยิ้มๆ “เหมือนเด็กผู้หนึ่งก็ไม่ปาน ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะโตเป็นผู้ใหญ่”
นี่ก็มิใช่เรื่องดีอะไร!
ทุกคนทักทายกันสองประโยค ก็พากันเข้าประตูชั้นในไป
โจวเสาจิ่นออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง พาพวกนางไปทําความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัวก่อน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้ถามถึงเรื่องของหยวนเปี๋ยอวิ๋น ทว่าจับมือของสะใภ้สามหยวนเอาไว้
พลางกล่าว “เจ้าเด็กคนนี้หนักแน่นเด็ดเดี่ยวมาตั้งแต่เด็ก หากเปี๋ยอวิ๋นมิได้แต่งกับเจ้า ผู้ใดจะอยู่
กับเขาได้ เจ้าเป็นคนที่จะได้รับการอวยพรในบั้นปลายผู้หนึ่ง”
เวลานี้เองที่กระบอกตาของสะใภ้สามหยวนรื้นชื้นขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “ขอให้เป็นดั่ง
ที่ฮูหยินผู้เฒ่าอวยพร ข้าจะรอเจ้าค่ะ”
ขณะที่กําลังพูดคุยกันนั้น ฮูหยินซ่งพาคุณหนูใหญ่ที่ออกเรือนไปแล้วมาด้วย
ทุกคนโอภาปราศรัยกันอีกครั้งหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กว่าหมิ่นเจียจะออกจากลานทิงเซียง ดวงอาทิตย์ก็เคลื่อนขึ้นมาสามเสาแล้ว5255
นางถือโอกาสตอนที่โจวเสาจิ่นมาส่งพวกนางที่ประตูยื่นกล่องบรรจุจี้ไม้ส่งให้โจวเสาจิ่น
กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่เป็นของที่ข้าขอมาตอนไปวัดหลิงอิ่น ทําพิธีเบิกเนตรเรียบร้อยแล้ว มอบให้อวิ้น
เกอเอ๋อร์สวมใส่เล่น”
ของขวัญของซอยซิ่งหลินส่งมาให้ตั้งแต่เช้าแล้ว
นี่จึงนับได้ว่าเป็นของที่หมิ่นเจียมอบให้อวิ้นเกอเอ๋อร์เป็นการส่วนตัว
ตั้งแต่หมิ่นเจียแต่งเข้ามาล้วนเฉยๆ กับโจวเสาจิ่นมาโดยตลอด โจวเสาจิ่นคิดไม่ตกว่า
เหตุใดจู่ๆ นางถึงเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหัน แต่ในเมื่อหมิ่นเจียมีท่าทีเป็นมิตร โจวเสาจิ่นก็ย่อมไม่
ถือทิฐิ
นางกล่าวขอบคุณหมิ่นเจียยิ้มๆ
ไม่รู้เพราะเหตุใด หมิ่นเจียรู้สึกโล่งอกไปครั้งหนึ่งอย่างอธิบายไม่ได้
นางยิ้มพลางไล่ตามหยวนซื่อและคนอื่นๆ ไป
หยวนซื่อเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าคุยอะไรกับโจวซื่อ”
หมิ่นเจียไม่อยากคุยอะไรกับนางมาก กล่าวยิ้มๆ ให้นางสบายใจว่า “อวิ้นเกอเอ๋อร์ครบ
หนึ่งขวบแล้ว ข้าจึงแสดงความยินดีกับท่านอาสะใภ้สี่ไปสองสามประโยค”
หยวนซื่อไม่ถามอะไรอีกอย่างที่คาดเอาไว้
พวกนางนั่งอยู่ในโถงรับรองครู่หนึ่ง คนก็นั่งจนเกือบจะเต็มโถงรับรองแล้ว
หยวนซื่อนั่งสนทนากับคนที่ไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนมเป็นประจําอยู่ข้างๆ
หมิ่นเจียเห็นชิวซื่อพาเซี่ยซื่อไปช่วยโจวเสาจิ่นรับแขกอยู่ตรงนั้น ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วก็ตาม
ไปด้วย5256
เมื่อมีอะไรให้ทําแล้ว ก็คล้ายกับว่าเพียงพริบตาเดียวก็ถึงฤกษ์งามยามดี อวิ้นเกอเอ๋อร์
กําลังจะไปหยิบของเสี่ยงทายที่ห้องโถงแล้ว
บรรดาฮูหยินและสะใภ้ทั้งหลายที่นั่งอยู่ในโถงรับรองทางด้านนี้ตามไปด้วยจนเกือบหมด
ส่วนผู้อาวุโสที่ห้องหนังสือและที่ลานทิงเซียงมาเพียงฮูหยินผู้เฒ่ากัว ฮูหยินเผิงเฉิงและอีกไม่กี่คน
เท่านั้น
ที่ห้องโถงใหญ่ตั้งโต๊ะตัวยาวและปูพรมสีแดงเอาไว้ มีเครื่องรางปลา ดาบไม้ต้นท้อ ชุด
เครื่องเขียน และหนังสือของหลากหลายนักคิด…ตลอดจนของสะสมชั้นยอดและของสวยงาม
ต่างๆ วางเอาไว้จนเต็มโต๊ะ
จึงมีคนในกลุ่มสตรีพูดถึงเรื่องหยิบของเสี่ยงทายของบุตรตัวเองยามเป็นเด็กขึ้นมา “…
หยิบพู่กันมาด้ามหนึ่ง วันนี้เติบใหญ่แล้ว อย่างอื่นไม่ได้เรื่องนัก แต่เรียนหนังสือได้ดียิ่ง”
ทุกคนต่างทยอยกันขานรับคํา
โจวเสาจิ่นอุ้มอวิ้นเกอเอ๋อร์เดินออกมา
เด็กน้อยสวมชุดมงคลสีแดงสด สวมสร้อยคอทองคําแท้ห้อยจี้แม่กุญแจอายุยืนแวววาว
เส้นผมสีดําเงางาม ผิวขาวเนียนละเอียด ดวงตาทั้งคู่สีดําสุกใสประหนึ่งผลองุ่นดํา ขนตายาวทั้ง
ดกหนาและงอนงามคล้ายกับพัดขนาดเล็กก็ไม่ปาน มองแล้วสตรีในห้องต่างกล่าวชมอวิ้นเกอ
เอ๋อร์ว่าหน้าตาหล่อเหลา
เป็นครั้งแรกที่อวิ้นเกอเอ๋อร์ได้เห็นคนจํานวนมากขนาดนี้
เขาซุกตัวหลบอยู่ในอ้อมอกของโจวเสาจิ่นอย่างเขินอายเล็กน้อยพลางแอบชําเลืองมอง
ออกไป5257
โจวเสาจิ่นลูบหลังเขาเบาๆ อย่างอ่อนโยน กระซิบกล่าวหลอกล่อเขาว่า “ไม่เป็นไรๆ ทุก
คนเห็นอวิ้นเกอเอ๋อร์หล่อเหลาอีกทั้งยังเชื่อฟัง จึงชื่นชอบกันเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นถึงได้ห้อม
ล้อมกันมาดูเจ้า ประเดี๋ยวเมื่อไปถึงโต๊ะตัวยาวนั่นแล้วเจ้าหยิบของที่เจ้าชอบมาให้แม่ชิ้นหนึ่งก็
เสร็จแล้ว แล้วแม่จะพาเจ้าไปหาท่านย่าไปกินของกินอร่อยๆ ดีหรือไม่”
ไม่รู้ว่าอวิ้นเกอเอ๋อร์ฟังเข้าใจหรือไม่ เขาพยักหน้า หันไปมองของที่วางอยู่บนโต๊ะเหล่านั้น
ด้วยสายตาเป็นประกาย
โจวเสาจิ่นจึงวางเด็กน้อยลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง
เฉิงฉือพาบุรุษที่มาชมพิธีเข้ามา
อวิ้นเกอเอ๋อร์ยกยิ้มที่มุมปาก พุ่งเข้าหาเฉิงฉือพลางเรียก “ท่านพ่อ”
เฉิงฉือเดินเข้าไปลูบศีรษะของเขาอย่างรักใคร่ กล่าวขึ้นว่า “หยิบของที่เจ้าชอบมาให้พ่อ
สักชิ้นหนึ่ง”
อวิ้นเกอเอ๋อร์เบิกบานใจขึ้นมา หัวเราะคิก เดินเตาะแตะอย่างไม่มั่นคงนักไปที่ตรงกลาง
โต๊ะ จากนั้นทิ้งก้นนั่งลง มองซ้ายมองขวาไปครู่ใหญ่ หยิบเครื่องรางปลาขึ้นมา
ฮูหยินเผิงเฉิงหัวเราะร่า กล่าวว่า “ต่อไปอวิ้นเกอเอ๋อร์ของพวกเราจะต้องได้เป็นขุนนาง
ใหญ่ผู้หนึ่งอย่างแน่นอน”
ปรากฏว่าเสียงพูดของนางยังไม่ทันจบลง อวิ้นเกอเอ๋อร์ก็หยิบดาบไม้ข้างๆ ขึ้นมาอีก
ฮูหยินซ่งกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไอ้โหยว เก่งทั้งบู๊และบุ๊นทั้งสองอย่างเลย”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะไม่หยุด
อวิ้นเกอเอ๋อร์กลับทิ้งเครื่องรางปลาและดาบไม้ในมือลงแล้วหยิบลูกคิดที่อยู่ไม่ไกลขึ้นมา5258
ลูกคิดเป็นตัวแทนของพ่อค้า
เวลานี้สีหน้าของทุกคนดูหดหู่เล็กน้อย
โจวเสาจิ่นกลับคิดว่าอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น
ฝานหลิวซื่อบอกว่า ตอนนางเป็นเด็กหยิบพู่กันมาด้ามหนึ่ง ผลปรากฏว่านางก็ไม่ได้มี
ความรู้มากมายอะไร
โจวเสาจิ่นกําลังจะก้าวออกไปลูบอวิ้นเกอเอ๋อร์ อวิ้นเกอเอ๋อร์กลับทิ้งลูกคิดแล้วหยิบแท่ง
หมึกที่พันด้วยด้ายสีแดงเหลือบทองตรงหน้าขึ้นมาแทน
บรรยากาศในห้องโถงเปลี่ยนไปอีกครั้ง
จึงมีคนกล่าวหยอกเย้าขึ้นว่า “เอาล่ะๆ ต่อไปอวิ้นเกอเอ๋อร์ของพวกเราจะเป็นบัณฑิตผู้
หนึ่ง”
อุ้มเด็กน้อยขึ้นมาในเวลานี้ พิธีหยิบของเสี่ยงทายถือเป็นอันเสร็จสิ้น และถือให้ครั้งนี้เป็น
การเสี่ยงทายครั้งสุดท้าย
เพราะฉะนั้นทุกคนถึงได้รู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่งกระมัง!
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม กําลังจะไปอุ้มอวิ้นเกอเอ๋อร์ขึ้นมา
อวิ้นเกอเอ๋อร์กลับทิ้งแท่งหมึกพันด้ายแดงเหลือบทองไป ไถลตัวไปหยิบของข้างๆ หยิบ
ต้นหอมกําหนึ่งขึ้นมา
ต้นหอม3041เป็นตัวแทนของความเฉลียวฉลาด
1 ต้นหอม ต้นหอมในภาษาจีนอ่านออกเสียงว่า ชง (葱) พ้องเสียงกับคําอ่านของคําว่า ชงหมิง (聪明) ที่แปลว่าฉลาด5259
ทุกคนต่างตะลึงงันกันไปหมด
อวิ้นเกอเอ๋อร์ยัดต้นหอมเข้าปากไปแล้ว
ด้วยอารามตกใจ โจวเสาจิ่นจึงห้ามไม่ทัน
อวิ้นเกอเอ๋อร์เผ็ดจนร้องไห้ “แง” เสียงดังออกมา
โจวเสาจิ่นรีบกอดบุตรชายเอาไว้ ช่วยดึงต้นหอมออกจากปากของเขาไปด้วย พลางกล่าว
ล่อหลอกอวิ้นเกอเอ๋อร์ไปด้วยว่า “ไม่ร้องนะไม่ร้อง! เจ้ารีบคายออกมา แม่จะรีบไปเอานํ้าผึ้งมาให้
เจ้า” ในใจกลับพรํ่าบ่นว่าถึงแม้ที่บอกให้นําต้นหอมมาวางด้วยจะเป็นความคิดของนางเอง แต่
นางมิได้จะให้พวกเขาใช้ต้นหอมจริงๆ ให้พวกเขาไปหาต้นหอมทําจากหยกที่เป็นสินเจ้าสาวใน
หีบของนางชิ้นนั้นออกมาใช้ต่างหาก…
อวิ้นเกอเอ๋อร์ร้องไห้เสียงดัง กําต้นหอมแน่นไม่ยอมปล่อย
โจวเสาจิ่นไร้หนทางแล้ว จําต้องให้เขากําเอาไว้
แขกในพิธีมองสถานการณ์แล้วรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าของวันเกิดของพวกเราในวันนี้หยิบ
ต้นหอม นั่นหมายความว่าอวิ้นเกอเอ๋อร์ของพวกเราเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ต่อไปไม่ว่าทําอะไรก็ล้วน
ดีทั้งสิ้น!”
คําอธิบายนี้ก็ไม่เลวนัก
เฉิงฉือยิ้มพลางบอกให้ทุกไปรับประทานอาหารที่โถงรับรองหรือไม่ก็ที่ลานด้านหน้า
ส่วนโจวเสาจิ่นพาอวิ้นเกอเอ๋อร์กลับไปดื่มนํ้าผึ้งที่ห้อง และถือโอกาสนี้อบรมอวิ้นเกอ
เอ๋อร์ว่า “ต่อไปห้ามเอาของเข้าปากโดยไม่ดูให้แน่ชัดว่าเป็นอะไรก่อนเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่”
อวิ้นเกอเอ๋อร์พยักหน้าด้วยดวงตาเปื้อนนํ้าตา5260
โจวเสาจิ่นมองแล้วหัวใจอ่อนยวบไปหมด
หยิบนํ้าผึ้งมาป้อนอวิ้นเกอเอ๋อร์ ปลอบโยนให้เขาสงบใจลง
มีคนปรบมืออยู่ข้างประตู
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้น เห็นจี๋อิ๋งที่สวมชุดเพ่ยจื่อสีกรมท่าประทับลายดอกหงอนไก่สีเงินยืน
ตัวตรงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มอยู่ ริมฝีปากแดงปลั่งประหนึ่งดอกทับทิมเบ่งบานเต็มที่
“จี๋อิ๋ง เจ้ามาได้อย่างไร!” โจวเสาจิ่นกระโดดตัวโหยงด้วยความยินดี อุ้มลูกลุกขึ้นมา
“ข้ามาร่วมพิธีครบรอบขวบปีของอวิ้นเกอเอ๋อร์!” จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ เดินเข้ามาอย่างเกียจ
คร้าน มองอวิ้นเกอเอ๋อร์อย่างยิ้มแย้ม กล่าวขึ้นว่า “คุณชายใหญ่อวิ้น ทําได้ดีมาก! ข้ากลัวว่าเจ้า
จะหยิบเครื่องรางปลาเหมือนบิดาของเจ้าตอนเป็นเด็ก และสุดท้ายก็ไปสอบเป็นจิ้นซื่อขั้นสอง”
อวิ้นเกอเอ๋อร์มองคนแปลกหน้าอย่างจี๋อิ๋ง มองด้านหลังของนางอย่างประหลาดใจพลาง
เรียก “พ่อ” เสียงหนึ่ง
“เฉิงจื่อชวนหรือ!” จี๋อิ๋งหน้าซีดเผือดประหนึ่งดอกไม้ไร้สี ดีดตัวย่องไปหลบอยู่หลังโจวเสา
จิ่น
ด้านนอกลมโชยพัดต้นไผ่เขียว มีเงาร่างของเฉิงฉือที่ไหนกัน
ทุกคนต่างหัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน