ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 57 อีกครั้ง
สถานที่เดิม ที่กล่าวถึงนั้นก็คือสวนดอกไม้เล็กของจวนห้า
นับตั้งแต่ที่โจวเสาจิ่ข่มขู่เฉิงอี้ไปเมื่อคราวก่อน ช่วงนี้เฉิงอี้จึงไม่ค่อยได้สังสรรค์กับพวกเฉิงนั่วและคนอื่นๆ ตอนนี้เมื่อได้ฟังจึงอดลิงโลดอย่างยินดีไม่ได้ กระซิบกระซาบกับเฉิงนั่วอยู่พักหนึ่งถึงได้ส่งเฉิงนั่วออกไป
ทางด้านเฉิงเวิ่นได้คุกเข่าอยู่ในสวนของศาลาชุนเจ๋อ
พระอาทิตย์ของต้นฤดูร้อนกำลังส่องกระทบอยู่บนแผ่นหิน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แผดเผามากเท่าพระอาทิตย์ในเดือนเจ็ด แต่ก็ไม่อาจดูเบาได้ ยิ่งไปกว่านั้น เฉิงเวิ่นที่ถูกเลี้ยงดูให้อยู่อย่างสะดวกสบายมาเป็นเวลาหลายปีขนาดนี้ อยู่ๆ ก็ได้รับความทุกข์ทนเช่นนี้ ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงพอและเจ็บป่วยขึ้นมาคงจะไม่เป็นการดีแน่
ฮูหยินใหญ่เวิ่นร้อนใจจนเดินวนไปวนมาอยู่ข้างๆ รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่นำเรื่องนี้ไปฟ้องเฉิงซวี่
ทว่าเฉิงเวิ่นกลับมองฮูหยินใหญ่เวิ่นด้วยสายตาเกลียดชัง กล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “เมื่อเช้าเจ้าทำอะไรลงไป พอตอนนี้กลับรู้จักแสร้งทำเป็นคนดี! เรื่องของข้า นับจากวันนี้เป็นต้นไปคงไม่กล้ารบกวนท่านอีก! ตอนเที่ยงเช่นนี้แดดแรงยิ่งนัก ฮูหยินใหญ่เวิ่นรีบกลับไปพักที่เรือนให้ไวเถอะ! หากว่าตากแดดจนเกิดไม่สบายขึ้นมา ข้าคงจะรับผิดชอบไม่ไหว!”
คำพูดเสียดสีนั้นทำให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นโกรธมากจนปวดตับ และยืนเช็ดน้ำตาอยู่ตรงนั้น
เจียงซื่อที่ได้รับข่าวแล้วก็มาเกลี้ยกล่อมให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นกลับจวนห้าไป
เฉิงเจียนั่งอยู่หน้าโต๊ะวาดภาพที่หันไปทางหน้าต่างในห้องข้างของโจวเสาจิ่น ต้นไหวซู่เก่าแก่ต้นใหญ่และหนาบดบังเอาไว้ซึ่งแสงแดดจากด้านนอก สะท้อนให้ทั้งห้องเป็นสีเขียวทึบ
นางจิบน้ำแกงถั่วเขียวไปจิบหนึ่ง ถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจ ยิ้มพลางกล่าว “ท่านป้าสะใภ้จิงจวนหลักช่างฉลาดยิ่งนัก กล่าวว่าต้องอยู่รับใช้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับมื้อเที่ยง แต่ความจริงคือไม่สนใจเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ส่วนท่านป้าสะใภ้อี๋จวนรองก็ต้องดูแลลูกสะใภ้ที่กำลังท้องกำลังไส้ จึงมีเพียงท่านแม่ของข้าเท่านั้น ที่วิ่งไปดูอย่างโง่งม ตอนนี้จึงถูกท่านอาสะใภ้เวิ่นกักตัวเอาไว้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะสามารถปลีกตัวออกมาได้”
ชุดสำหรับฤดูร้อนของก่อนหน้านี้ทำเสร็จแล้ว โจวเสาจิ่นกำลังทำผ้าโพกศีรษะสำหรับฤดูใบไม้ร่วงให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน
นางได้ยินแล้วก็เงยหน้าขึ้นมายิ้ม จากนั้นก็ก้มศีรษะลงไปเย็บผ้าอีกครั้ง
เฉิงเจียไม่พอใจเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า “ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะมาได้สักครั้งหนึ่ง เจ้าก็ดีแต่นั่งทำงานเย็บปักอยู่ที่นี่ ไหนเลยจะมีท่าทีของเจ้าบ้านบ้าง” ขณะที่พูด ก็กำลังจะไปฉวยเอาผ้าโพกศีรษะออกมาจากมือของโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นยกมือขึ้น หลบให้พ้นจากเฉิงเจีย พลางกล่าว “นี่ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร เจ้าจะให้ข้าพูดอะไรหรือ”
เฉิงเจียพูดไม่ออก จากนั้นจึงบุ้ยปากและกล่าวขึ้นว่า “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ข้ารู้สึกว่าท่านอาเวิ่นนั้นทำไม่ถูก ท่านอาสะใภ้เวิ่นต้องทะเลาะกับเขาเช่นนี้ ไม่สู้หย่าขาดกันไปเลยจะดีเสียกว่า สุดท้ายเมื่อไม่เห็นก็จะได้ไม่ต้องตรอมใจ…”
หย่า?
เช่นนั้นต้องเป็นผู้ที่บ้านเดิมมีอำนาจเข้มแข็งถึงจะทำได้!
โจวเสาจิ่นค่อนข้างจะงุนงงเล็กน้อย
ถ้าหากเฉิงเจียไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น นางมีบิดามารดาที่รักนาง มีพี่ชายที่คอยหนุนหลังนาง จึงยังมีความมั่นใจที่จะกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ได้
โจวเสาจิ่นรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
นางนึกถึงจดหมายฉบับนั้นที่เฉิงเจียให้ชุ่ยหวนส่งไปให้นางอีกครั้ง
พวกนางล้วนเป็นผู้ถูกกระทำ
หวังว่าชะตากรรมของพวกนางในชีวิตนี้ล้วนสามารถเปลี่ยนแปลงได้
โจวเสาจิ่นก้มศีรษะลง เย็บผ้าโพกศีรษะของฮูหยินผู้เฒ่ากวนต่อไป
เฉิงเจียนั่งไม่ติดที่อีก กล่าวกับโจวเสาจิ่นอย่างรีบร้อนไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ไปหาเจียงซื่อ
โจวเสาจิ่นยิ้มหยัน
ไปหาเจียงซื่อคือข้ออ้าง ไปจวนห้าเพื่อดูเรื่องวุ่นวายต่างหากคือจุดประสงค์ที่แท้จริงกระมัง
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทุกคนทั้งนายและบ่าวในซอยจิ่วหรูต่างก็พูดถึงเรื่องนี้กันทุกคน
เฉิงเวิ่นไม่สบาย ฮูหยินใหญเวิ่นร้องไห้จนราวกับคนที่ท่วมไปด้วยน้ำตาอย่างไรอย่างนั้น แต่เฉิงเวิ่นก็ไม่ให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นเข้าไปหา ฮูหยินใหญ่เวิ่นไม่มีทางเลือก กลางคืนจึงนอนพักอยู่บนตั่งหลัวฮั่นในห้องโถง เรื่องราวในบ้านไม่มีคนดูแลจัดการ ทุกอย่างล้วนได้แม่นมของฮูหยินใหญ่เวิ่นเป็นผู้ตัดสินใจ
ทางด้านจวนห้าเอะอะเสียงดังอยู่ตลอด
โจวเสาจิ่นไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์อะไร พอกลับมาจากเรือนหานปี้ซานก็ทำงานเย็บปัก หลังจากที่เย็บผ้าโพกศีรษะของฮูหยินผู้เฒ่ากวนเสร็จแล้วก็เริ่มทำชุดสำหรับฤดูหนาวให้บิดาที่อยู่ไกลถึงหนานชาง และตัดสินใจทำกระโปรงให้มารดาเลี้ยงด้วยตัวหนึ่ง
ชาติก่อน หลังจากที่พี่สาวแต่งงานออกไปแล้ว นางกับเฉิงลู่ก็เริ่มคุยเรื่องงานแต่ง ด้วยความที่ลักษณะของนางดูบอบบางและอ่อนแอ หากส่งนางไปที่เป่าติ้งก่อน จากนั้นค่อยแต่งจากเป่าติ้งมาที่จินหลิง ท่านยายกับท่านป้าใหญ่ต่างก็รู้สึกว่าจะเป็นการทำให้นางเหน็ดเหนื่อย นอกจากนี้แล้ว บ้านของบรรพบุรุษตระกูลโจวก็อยู่ที่จินหลิง จึงให้นางรั้งอยู่ที่ตระกูลเฉิง เตรียมตัวรอให้นางอายุครบจนสามารถออกเรือนได้แล้วก็จะทำการหมั้นหมายกัน…ในชีวิตนี้ของนาง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถแต่งกับเฉิงลู่ได้อีกแล้ว ฉะนั้นเมื่อรอให้ถึงวันที่พี่สาวแต่งงานออกไป นางก็จะต้องไปอยู่ที่เป่าติ้ง การแสดงความปรารถนาดีของตัวเองต่อมารดาเลี้ยงในเวลานี้จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่พานจ้าวกลับไปแล้ว พานชิงก็มาเที่ยวหาโจวเสาจิ่น
นางเห็นโจวเสาจิ่นที่นิ่งสงบราวกับน้ำในทะเลสาบ ในตาก็พาดผ่านไปด้วยความงุนงงสายหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้านั่งอยู่ในบ้านเช่นนี้ทุกวัน ไม่ออกไปไหนเลยหรือ”
“ข้ามีเรื่องให้ต้องรีบทำเจ้าค่ะ!” โดยเฉพาะช่วงที่มีปัญหาเกิดขึ้นมากมายเช่นนี้ โจวเสาจิ่นตัดสินใจรักษาระยะห่างที่ชัดเจนกับพวกนาง
พานชิงกล่าวขึ้นในทันทีว่า “จริงด้วย ใกล้จะถึงวันเกิดของท่านยายของเจ้าแล้ว เจ้าต้องเตรียมของขวัญให้ท่านยาย”
โจวเสาจิ่นไม่ได้อธิบายอะไร ก้มศีรษะลงมาเย็บเสื้อผ้าต่อ
พานชิงเห็นเป็นชุดจื๋อตัวสีดำลายเมฆมงคลสีม่วงตัวหนึ่ง จึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “นี่เจ้าทำให้ผู้ใดหรือ”
“ท่านพ่อของข้าเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นเอ่ยโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
พานชิงหยิบขึ้นมาดู
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “เจ้าอย่าขยับ เข็มของข้าบิดงอไปหมดแล้ว”
พานชิงยิ้มขัน วางผ้าที่ตัดเป็นชิ้นในมือลง กล่าวขึ้นว่า “พระจันทร์ด้านนอกสีสวยขนาดนี้ พวกเราไปเดินเล่นด้านนอกดีหรือไม่ ข้ากลับมาจินหลิงในครั้งนี้ยังไม่ได้คุยกับเจ้าดีๆ สักประโยคเลย!”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “คนเดินด้วยกันตั้งหลายคน แต่ยุงมักจะชอบมากัดข้า ตอนกลางคืนข้าจึงไม่ออกไปข้างนอกแล้ว หากว่าเจ้าอยากไปชมจันทร์ เวลานี้เกรงว่าพี่สาวเจียคงจะยังว่างอยู่ เจ้าน่าจะลองชวนนางไปด้วยกัน”
พานชิงยิ้มพลางกล่าว “ไม่ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ นางไม่ชอบข้า…” ในน้ำเสียงให้ความรู้สึกต้องการหยั่งเชิงอยู่หลายส่วน
โจวเสาจิ่นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน กล่าวยิ้มๆ ว่า “อารมณ์ของนางก็เป็นเช่นนี้ แต่จริงๆ แล้วจิตใจนางดียิ่งนัก หากพี่สาวชิงได้อยู่กับนางนานๆ ก็จะรู้เองเจ้าค่ะ”
พานชิงไม่เชื่อ โจวเสาจิ่นอยู่กับเฉิงเจียมานานหลายปีขนาดนี้ อีกทั้งเฉิงเจียยังเป็นคนที่หยิ่งยโสและชอบบงการ แต่โจวเสาจิ่นกลับไม่มีความเห็นใดต่อเฉิงเจียเลยสักนิด ลักษณะของหญิงสาวจากตระกูลผู้ดีที่ว่า ‘อย่ามองอย่างไร้มารยาท อย่ากล่าวอย่างไม่เหมาะสม’ ของนางเช่นนี้ทำให้พานชิงรู้สึกเบื่อหน่าย
คุณหนูรองตระกูลโจวผู้นี้ ก็เป็นแค่คนงามที่ปัญญาทึบผู้หนึ่ง สงสัยจะเรียน ‘วิถีแห่งความดีงามของสตรี’ และ ‘บัญญัติสอนหญิง’ มาตั้งแต่เด็ก ยิ่งไม่มีมารดาคอยชี้แนะเป็นการส่วนตัวด้วยแล้ว จึงยึดเอาสิ่งที่เขียนอยู่ในหนังสือมาปฏิบัติตามอย่างจริงจัง ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ไม่มีความคิดเห็นเป็นตัวเองสักนิด
ราวกับต้องการยืนยันสมมุติฐานของนางอย่างไรอย่างนั้น เพราะหลังจากนั้น พอนางถามหนึ่งประโยค โจวเสาจิ่นก็ตอบหนึ่งประโยค ไม่มีเกินมาเลยแม้สักครึ่งประโยค
พานชิงรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก กล่าวอีกไม่กี่ประโยค ก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา
ตะเกียงน้ำมันค่อนข้างจะทำให้ดวงตาระคายเคืองอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ยิ่งโจวเสาจิ่นตัดสินใจทำโครงเสื้อให้บิดาอย่างประณีต เพื่อจะได้สวมใส่ได้อย่างพอดีตัว จึงไม่อาจทนต่อแสงตะเกียงที่ใหญ่เท่าเมล็ดข้าวนี้ได้ตั้งนานแล้ว แต่ก็เพื่อขับไล่พานชิงถึงได้ทำพฤติกรรมเช่นนี้ออกมา นางลุกขึ้นมาและขยี้ตาพลางกล่าว “พวกเราก็ไปชมจันทร์ในสวนกันเถอะ สองวันมานี้ดอกซ่อนกลิ่นบานสะพรั่ง ตอนตื่นนอนในช่วงเช้ายังได้กลิ่นหอมโชยมา น่าเสียดายที่พอฟ้าสว่างก็เริ่มเ**่ยวเฉา ไม่เช่นนั้นนำมาประดับผมสักสองสามดอกก็ไม่เลวเลยทีเดียว”
ซือเซียงหยิบพัดผูซ่าน[1]ด้ามหนึ่งตามโจวเสาจิ่นออกประตูไป พลางกล่าว “สองวันมานี้ดอกมะลิก็บานได้งดงามยิ่งนัก ข้าจะช่วยเด็ดมาสักสองสามดอกให้คุณหนูรองประดับผมดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ดีเลย!” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “เด็ดมาเยอะหน่อย จะได้เอาไปแขวนที่เตียง ยังเอามาทำพวงมาลัยได้อีก ส่งไปให้พี่สาวสักหน่อย ท่านยาย ท่านป้าใหญ่ และพวกซื่อเอ๋อร์ด้วยก็ส่งไปให้สักหน่อย แล้วก็เอาไปให้เสียถานด้วยสักสองสามดอก…”
พวกนางคุยกันไป และเดินเล่นไปตามทางเดินขนาดเล็กของเรือนหว่านเซียงไปด้วย
พัดผูซ่านในมือซือเซียงโบกสะบัดไปมาไป ทำให้เย็นสบายยิ่งนัก โจวเสาจิ่นรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา
มีเงาดำวิ่งผ่านมาข้างๆ ทางเดินขนาดเล็กนั้น
โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ตกใจกลัวเป็นอย่างมากไปทีหนึ่ง ยิ่งเมื่อโจวเสาจิ่นนึกถึงเรื่องที่ตนเองเจอกับเฉิงสวี่ในสวนดอกไม้เมื่อชาติก่อนแล้ว ก็หวาดกลัวจนหน้าซีด กรีดร้องออกมาเสียงหนึ่งอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่
ซือเซียงรีบกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ และร้องเสียงดังไปยังที่ที่มีเงาดำอยู่นั้นว่า “ใครน่ะ ยังไม่รีบออกมาอีก ไม่เช่นนั้นพวกข้าจะเรียกให้คนมาแล้วนะ”
เมื่อได้ยินแล้วเงาดำนั้นก็หยุดลงเล็กน้อย หมุนตัวเดินออกมา
ชุนหว่านไปหยิบโคมไฟอันหนึ่งมา
อายุประมาณสิบกว่าปี รูปร่างผอมแห้ง สวมเอาไว้ด้วยชุดต่วนเฮ่อสีฟ้าอมเขียม ใบหน้าเฉลียวฉลาด
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นซานเป่า บ่าวข้างกายของเฉิงอี้
ในเวลาเช่นนี้ เขามาทำอะไรอยู่ที่เรือนชั้นใน?
ที่แท้ก็เป็นคนที่ตนเองคุ้นเคยดี โจวเสาจิ่นจึงตบที่หน้าอกเบาๆ ผ่อนลมหายใจยาวออกมา
มีป้าผู้เป็นบ่าวเฝ้าเวรยามตอนกลางคืนถือโคมไฟเดินตรงมาทางนี้ “คุณหนูรอง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
ดวงตาของซานเป่าเผยแวววิงวอนออกมา หันไปพนมมือทั้งคู่ขึ้นให้โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นมีใจอยากช่วยเหลือเขา จึงกล่าวเสียงดังขึ้นว่า “ไม่มีอะไรๆ เมื่อกี้ข้าเหยียบโดนอะไรนิ่มๆ บางอย่างเข้า ไม่รู้ว่าคืออะไร ก็เลยตกใจกลัว”
ป้าทั้งสองคนหัวเราะพลางเดินเข้ามา
ซานเป่ารีบเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังของต้นหลิวที่อยู่ข้างๆ
ป้าทั้งสองคนกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่มีเรื่องอะไรก็ดีแล้ว พวกเราพลอยตกใจตามไปด้วยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณป้าทั้งสอง จากนั้นให้ซือเซียงไปหยิบเศษเงินมาให้ป้าทั้งสองเพื่อเป็นค่ากินดื่ม “รอให้ออกเวรยามแล้ว ก็ไปผ่อนคลายความเหนื่อยล้าสักหน่อย”
ทั้งสองคนไม่ต้องการ กล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ยื้อยุดกับซือเซียงไปมารอบหนึ่ง ถึงค่อยยอมรับเงินนั้นเอาไว้และกล่าวขอบคุณ จากนั้นหมุนกายเดินไปทางอื่น
โจวเสาจิ่นยืนรอคำอธิบายจากซานเป่าอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ซานเป่าเดินออกมาจากหลังต้นไม้ด้วยอาการสั่นเทา อึกๆ อักๆ อยู่พักใหญ่ก็ยังไม่สามารถพูดออกมาเป็นประโยคได้
โจวเสาจิ่นขมวดคิ้วมุ่น ตะโกน ‘ซือเซียง’ เสียงหนึ่ง พลางกล่าวขึ้นว่า “ไปเชิญป้าเวรยามทั้งสองท่านมา”
“คุณหนูรองไว้ชีวิตด้วยขอรับ!” ซานเป่าลงไปคุกเข่าอยู่บนพื้น “คุณหนูรอง คือคุณชายรองขอรับ คุณชายรองเสียเงินไป เลยให้ข้ากลับไปเอา…ข้าคิดว่าทางนี้ใกล้กว่า ก็เลยลัดมาทางนี้…ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว ไม่กล้าอีกแล้วขอรับ!”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ตะลึงงัน โกรธจนแทบจะกระอักเลือด กล่าวขึ้นอย่างดุดันว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ คุณชายรองกำลังเล่นพนันกันอย่างนั้นหรือ เล่นกับใคร เล่นอยู่ที่ไหน เสียเงินไปแล้วเท่าไหร่ และมีใครที่รู้เรื่องนี้บ้าง”
เป่าซานเห็นว่าคำพูดแต่ละคำแต่ละประโยคของนางล้วนเต็มไปด้วยความเป็นกังวล จิตใจที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายจึงผ่อนคลายลง จึงกล่าวอย่างลื่นไหลขึ้นมาว่า “ล้วนเป็นคุณชายที่รู้จักกันในสำนักศึกษาสองสามท่านขอรับ ก็จะมีคุณชายใหญ่นั่วจวนห้าและคุณชายใหญ่จวี่ แต่ก็เล่นกันไม่มากเท่าไหร่ขอรับ เพียงหนึ่งร้อยเหรียญทองแดงต่อหนึ่งตาเท่านั้น เล่นกันที่ศาลาริมน้ำในสวนดอกไม้เล็กของจวนห้า โดยใช้พรมสักหลาดล้อมเอาไว้ทั้งสี่ด้าน จากด้านนอกจึงไม่สามารถมองเห็นแสงตะเกียงได้ วันนี้คุณชายรองพกเงินไปไม่มาก และมือก็ไม่ขึ้นสักเท่าไหร่ ทำให้เสียเงินไปแล้วประมาณสี่ถึงห้าเหลี่ยง เดิมทีอยากจะหยุดก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาแก้มือใหม่ ทว่าคุณชายใหญ่จวี่กลับไม่ยอม เนื่องจากเขาก็เสียเงินไปแล้วกว่าเจ็ดถึงแปดเหลี่ยง คุณชายรองไม่อาจหักหน้าของเขาได้ จึงให้บ่าวกลับมาเอาเงินเพิ่มขอรับ…
…คุณหนูรอง ท่านต้องช่วยคุณชายรองปิดบังเอาไว้นะขอรับ หากว่าให้นายท่านและฮูหยินทราบเรื่องเข้า คุณชายรองต้องถูกลอกหนังศีรษะเป็นแน่ขอรับ”
โจวเสาจิ่นเกือบจะหายใจไม่ออกแม้สักลมหายใจ
แสดงว่าเฉิงอวี้ทำราวกับคำพูดของตนเองเป็นดังสายลมที่เข้าหูซ้ายและทะลุออกหูขวาเท่านั้น เขาไม่เพียงเล่นพนัน แต่ยังเล่นกับพวกเฉิงจวี่และคนอื่นๆ อีกด้วย ฟังจากน้ำเสียงของซานเป่าแล้ว นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก!
นางบิดผ้าเช็ดหน้าและเดินวนไปวนมาอยู่ที่เดิม ครู่ใหญ่กว่าอารมณ์จะสงบลงมาได้ กล่าวกับซานเป่าว่า “เจ้าไปบอกคุณชายรอง ว่าข้ามีเรื่องต้องการพบเขา ให้เขาไม่ต้องเล่นแล้ว และมาพบข้า ข้าจะรอเขาอยู่ที่นี่”
……………………………………………………………………..
[1] พัดผูซ่าน พัดที่ทำจากใบปาล์ม