ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 572 ดูแลครอบครัว
เฉิงฉือไม่เห็นด้วย “จี๋อิ๋งเป็นภรรยาที่จื่อผิงสู่ขอมา ย่อมต้องรักใคร่กันอยู่แล้ว” กล่าวถึง ตรงนี้ เขาหยุดไปครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “มีเรื่องหนึ่ง…หลายวันก่อนศิษย์พี่ฉินเขียน จดหมายมาให้ข้าเป็นการเฉพาะฉบับหนึ่ง บอกว่าหากหนานผิงเห็นด้วย อยากให้นางแต่งกับ ฉินจื่ออัน จื่ออันเองก็เคยมาหาข้าด้วยเรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน เพียงแต่ว่าด้านหนางผิงนั้น…ข้าไม่ อาจถามมากได้ นางรับใช้ข้ามาตั้งแต่เด็ก หากข้าให้นางแต่ง นางก็ย่อมแต่งอยู่แล้ว แต่สุดท้าย แล้วนางชอบหรือไม่ชอบจื่ออันนั้น…จื่อหนิงจากไปนานหลายปีขนาดนี้แล้ว บางครั้งข้ายังคิดถึง ท่าทางของเขาขึ้นมา…วันนี้เขาไม่อยู่แล้ว ข้าคงไม่อาจแม้แต่คนของเขาก็ดูแลให้เป็นสุขไม่ได้ หรอกกระมัง…
…เรื่องนี้ข้าคิดไปคิดมาแล้ว มีแต่ต้องขอให้เจ้าช่วยออกหน้าไปสอบถามความเห็นของ นางแทนข้าแล้ว…
…หากนางไม่เห็นด้วย ข้าเองก็ไม่อาจฝืนบังคับได้ แต่หากนางตกลง ข้าจะเตรียมสิน เจ้าสาวยาวสิบหลี่ให้นางแต่งออกไป…”
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนพอจะเข้าใจหนานผิงอยู่บ้าง
หลายปีมานี้นางใช้ชีวิตเสมือนกับหม้ายสาวก็ไม่ปาน ไม่ค่อยออกไปไหน ยินดีใช้ชีวิตอยู่ กับวันเวลาเก่าก่อนเช่นนี้ตลอดไป
นางในชาติก่อนก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ
แต่เมื่อได้เดินออกมาจริงๆ แล้ว ถึงได้รู้ว่าภายนอกยังมีทิวทัศน์ที่งดงามอยู่
ก็เหมือนนาง ถ้าหากไม่เปลี่ยนนิสัยขี้ขลาดขี้กลัวของชาติก่อน จะได้รู้จักกับเฉิงฉือได้ อย่างไร จะได้แต่งงานกับเฉิงฉือได้อย่างไร
5297
“ข้าจะไปถามนางให้เจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นรับหน้าที่นี้โดยไม่ลังเลใจเลยแม้แต่นิดเดียว เฉิงฉือยิ้มพลางจุมพิตหน้าผากของนาง สาวน้อยของเขาก็ค่อยๆ เริ่มช่วยบรรเทาความกังวลให้เขาได้แล้ว “อีกไม่กี่วันกู้จิ่วเนี่ยจะมาจิงเฉิง” เขากล่าวกับนางเสียงอบอุ่น “หวงหลี่แนะนํางาน ตําแหน่งเจ้าพนักงานกรมยุติธรรมให้เขา” โจวเสาจิ่นประหลาดใจ “หวงหลี่ หวงหลี่ที่ไม่ลงรอยกับพี่ใหญ่คนนั้นหรือเจ้าคะ” มิใช่ว่าตระกูลกู้มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเฉิงมายาวนานหรอกหรือ
นางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ในเมื่อมีตําแหน่งนี้ว่างอยู่ เหตุใดพี่ใหญ่ถึงไม่แนะนําให้ คุณชายหกกู้เล่า”
เฉิงฉือมีสีหน้าเย็นเยียบขึ้นเล็กน้อย มุมปากกระตุก สุดท้ายก็เม้มปาก กล่าวขึ้นว่า “เขา มักจะคิดว่าญาติพี่น้องของตัวเองไม่สําคัญ มีเรื่องอะไรมาขอร้องต่อหน้าเขา เขามักจะคิดถึงผู้อื่น ก่อน หากคิดถึงครอบครัวตัวเองมากเกินไป กลัวว่าจะมีชื่อเสียงไม่ดีตกมาอยู่บนตัวของเขาได้ แต่ ไม่รู้เลยว่าสําหรับเขาอาจเป็นเพียงเรื่องง่ายดายอย่างการกระดิกนิ้ว ทว่าสําหรับผู้อื่นแล้วเป็นเรื่อง ของความเป็นความตาย แน่นอนว่าการกลับไปรับราชการอีกครั้งของนายท่านผู้เฒ่าเก้าของ ตระกูลกู้เป็นเรื่องสําคัญ แต่สําหรับจวนอื่นๆ อีกหลายจวนของตระกูลกู้แล้ว อนาคตของกู้จิ่วเนี่ย สําคัญกว่า ตอนแรกมิใช่ว่าข้าไม่ยํ้าเตือนเขามาก่อน ในเมื่อจัดการเรื่องของนายท่านผู้เฒ่าเก้า ของตระกูลกู้ไปแล้ว เหตุใดถึงไม่สะดวกหาตําแหน่งให้กู้จิ่วเนี่ยอีกสักตําแหน่งหนึ่ง เขาคล้อยตาม ข้า ทว่าหาไปหามาบอกว่าหาตําแหน่งที่เหมาะสมไม่ได้ เดิมทีข้าคิดจะไปคุยกับขุนนางใหญ่ซ่งสัก ครั้ง ผู้ใดจะรู้ว่านายท่านผู้เฒ่าซ่งจากไปเสียก่อน…แล้วก็เป็นเช่นนี้ไปครึ่งเดือน อาจารย์ของจิ่ว เนี่ยแนะนําให้เขารู้จักกับหวงหลี่ เขาบอกหวงหลี่แล้วว่ามีความสัมพันธ์กับพวกเราอย่างไร ทว่า
5298
หวงหลี่บอกว่าไม่เป็นไร จิ่วเนี่ยจะปฏิเสธก็ไม่กล้าปฏิเสธแล้ว…เจ้าบอกว่าชาติก่อนหวงหลี่ได้เข้า สํานักราชเลขาธิการก่อนพี่ใหญ่อีกมิใช่หรือ ดูจากตอนนี้แล้ว ถึงแม้ข้าจะช่วยจัดการหวงหลี่ให้เขา ทําให้พี่ใหญ่ได้เข้าสํานักราชเลขาธิการก่อนหวงหลี่แล้ว ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี หวงหลี่ผู้นี้ ไม่ว่าจะ เป็นความคิดหรือความสามารถ ล้วนอยู่เหนือกว่าพี่ใหญ่ทั้งสิ้น…หากพี่ใหญ่ยังเลอะเลือนเช่นนี้ ต่อไปอีก ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดกลลวงอะไรขึ้นอีก!”
สิ่งที่สําคัญที่สุดคือ เขามีความเคลือบแคลงสงสัยหนึ่งอยู่ในใจ
ชาติก่อน หากท่านอารองเสียชีวิตตามปกติ เหตุใดตระกูลเฉิงถึงไม่จัดงานให้ยิ่งใหญ่ เหตุ ใดถึงไม่มีการสดุดีจากราชวงศ์ แต่ถ้าท่านอารองเสียชีวิตอย่างผิดปกติ แล้วเฉิงจิงกําลังทําอะไร อยู่
เฉิงฉือเอามือไพล่หลัง เดินวนอยู่ในห้องสองรอบอย่างรู้สึกวุ่นวายใจเล็กน้อย
น้อยครั้งที่จะมีเรื่องที่ทําให้เฉิงฉือเผยอารมณ์ของเขาออกมาเช่นนี้
ดูคล้ายกับมีเรื่องน่าขุ่นเคืองใจอะไรบางอย่างทําให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ไปชั่ว ขณะหนึ่ง
โจวเสาจิ่นกอดเฉิงฉือเอาไว้อย่างเห็นใจสงสาร ลูบหลังของเขาเบาๆ อย่างต้องการ ปลอบโยน
ตัวอ่อนนุ่มนิ่มกลิ่นหอมอยู่ในอ้อมอก อารมณ์ของเฉิงฉือก็ค่อยๆ สงบลงมา
เขาลูบเส้นผมของโจวเสาจิ่น กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าไม่เป็นไร…เพียงแต่ว่ารู้สึกหงุดหงิด งุ่นง่านเล็กน้อยชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น”
“ข้าทราบเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเขา
5299
เขามีเรื่องอะไรมักชอบเก็บไว้ในใจ และเรื่องที่เขาเก็บไว้ในนั้นล้วนเป็นเรื่องใหญ่ๆ ทั้งสิ้น อย่างเช่นเรื่องที่ตระกูลเฉิงถูกกําจัดทั้งตระกูล และถ้ายกตัวอย่างต่อไปอีก หากสถานการณ์เดินไปถึงจุดนั้นจริงๆ ก็จะเป็นเรื่องความ ปลอดภัยของนาง ฮูหยินผู้เฒ่ากัว ลูก และคนตระกูลเฉิงทุกคน… คิดถึงตรงนี้แล้ว โจวเสาจิ่นรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ตนเล่าเรื่องในชาติก่อนให้เฉิงฉือฟัง
นางกล่าวกับเฉิงฉือว่า “งานที่ท่านมอบหมายให้ข้าทําเมื่อคราก่อนข้าทําไปครึ่งหนึ่งแล้ว ท่านอยากไปดูหรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงฉือวาดภาพนกและดอกไม้ด้วยศิลปะการวาดภาพสีด้วยพู่กันขนาดภาพหนึ่งตาราง ฉื่อ3071สิบสองภาพ ให้โจวเสาจิ่นนําไปติดกระดาษถึงเวลาจะได้เอาไว้มอบเป็นของขวัญให้ผู้อื่น
ตอนเช้าโจวเสาจิ่ต้องช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวจัดการเรื่องต่างๆ ภายในบ้าน ตอนบ่ายบางครั้ง ก็ต้องเล่นเป็นเพื่อนอวิ้นเกอเอ๋อร์ ตอนเย็นเมื่อเฉิงฉือกลับมา นางต้องปรนนิบัติเขาผลัดเปลี่ยน อาภรณ์ ต้องปรนนิบัติเขารับประทานอาหาร หากเขาอยู่ที่ห้องหนังสือ นางยังต้องปรนนิบัติฝน หมึกให้เขา ตอนกลางคืนทั้งสองคนพูดคุยกันครู่หนึ่ง หนึ่งวันจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถ้าหากเฉิง ฉืออารมณ์ดี…มักจะเล่นซนกันจนถึงกลางดึกค่อนคืน นางต้องไปคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่ากัว ไม่กล้านอนตื่นสาย จึงต้องงีบหลับในตอนกลางวันของวันถัดมา ภาพวาดสิบสองภาพนี้เฉิงฉือ วาดตอนอยู่บ้านช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ถึงตอนนี้ก็เกือบจะครึ่งปีแล้ว นางทําๆ หยุดๆ จึงติดกระดาษ เสร็จไปเพียงหกภาพเท่านั้น
1 ฉื่อ หนึ่งฉือเท่ากับ 0.333 เมตรโดยประมาณ
5300
หากมิใช่เพราะเห็นว่าเฉิงฉืออารมณ์ไม่ดี นางก็คงไม่หยิบยกขึ้นมาอวดอ้าง หาเรื่องบางอย่างมาดึงความสนใจของเฉิงฉือ อารมณ์ของเขาจะได้ค่อยๆ ดีขึ้น เมื่อก่อนนางเองก็เป็นเช่นนี้ เฉิงฉือสนใจเป็นอย่างยิ่งตามคาด กล่าวว่า “ไป ไปดูที่ห้องหนังสือกัน” โจวเสาจิ่นไปที่ห้องหนังสือของตัวเองพร้อมกับเฉิงฉืออย่างเบิกบาน กล่าวว่าเป็นห้องหนังสือ แต่ความจริงคือห้องขนาบข้างอยู่หัวมุมสุดทางทิศตะวันตกของ เรือนหลัก เนื่องจากเป็นห้องที่โจวเสาจิ่นใช้เพียงผู้เดียว นอกจากชุดเครื่องเขียน หนังสือม้วน ภาพวาด มุมกําแพงยังมีชั้นวางดอกไม้ขนาดสามตารางฉื่อหนึ่งอัน ชั้นแขวนผ้าด้านข้างมีด้ายทุก สีทุกแบบและตาข่ายที่สานเสร็จแล้วแขวนอยู่ บนขอบหน้าต่างยิ่งแล้วใหญ่มีแจกันดอกไม้ กระเบื้องเคลือบสีขาวอ่อนหวานไร้ลวดลายวางเอาไว้หนึ่งชิ้น ปักดอกทับทิมสีแดงสดใสไว้กําหนึ่ง อากาศในห้องหอของสตรีโชยผ่านหน้า ให้ความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย เฉิงฉือชื่นชอบยิ่งนัก โดยเฉพาะตอนที่เห็นเก้าอี้โยกที่มีเบาะรองนั่งสีทองวางไว้ตรงมุมห้อง เขาถึงกับนึกภาพของโจวเสาจิ่นที่นอนคดคู้อ่านหนังสืออ่านเล่นอยู่บนเก้าอี้โยกยาม ว่างเว้นจากธุระตอนที่เขาไม่อยู่บ้านได้ เฉิงฉืออดไม่ได้โน้มกายลงมาจุมพิตหน้าผากของโจวเสาจิ่น โจวเสาจิ่นเห็นสายตาของเขากวาดผ่านไปที่เก้าอี้โยกอย่างรวดเร็ว แล้วก็จุมพิตนาง นาง หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่
5301
คราก่อนเฉิงฉือเอาขาทั้งสองของนางพาดไว้บนเก้าอี้มีเท้าแขนแล้วรักนาง…ท่วงท่านั้นทํา ให้นางอึดอัดยิ่ง…ทั้งยังแปลกประหลาดมากด้วย
นางเองก็ไม่รู้ว่าตนไปจุดไฟแผดเผาเขาตอนไหนกันแน่…แต่เขาอย่าได้ทําเช่นครั้งนั้นอีก เด็ดขาด…
โจวเสาจิ่นรีบพาเขาไปที่โต๊ะหนังสือตัวใหญ่ ดึงม้วนภาพวาดที่ตนติดกระดาษเสร็จแล้ว มาให้เขาดู
เฉิงฉือเห็นภาพวาดสองสามภาพนั้นล้วนติดกระดาษได้อย่างตั้งตรงและแนบเนียนเป็น ธรรมชาติ ราวกับว่ามันเกิดขึ้นอยู่บนนั้นจริงๆ อดประหลาดใจใหญ่โตไม่ได้
ฝีมือเช่นนี้ บางคนสิบปียี่สิบปีก็ยังทําไม่ได้ด้วยซํ้า
ถ้าหากเป็นการเรียนกับปรมาจารย์ ก็ถือว่าสําเร็จการศึกษาแล้ว
เขาพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าใช้กระดาษอะไรติดตรงกลางหรือ”
โจวเสาจิ่นคิดว่าตัวเองติดได้ดีมากแล้ว ได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวขึ้นอย่างร้อนใจว่า “ทําไม หรือ ใช้ไม่ได้หรือเจ้าคะ”
“มิใช่ๆ” เฉิงฉือเห็นนิ้วมือนางสั่นเล็กน้อย รีบดึงนางมากอดไว้ในอ้อมแขน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ติดได้ดียิ่ง! ถือได้ว่าเรียนจบจากปรมาจารย์แล้ว ให้เวลาอีกสักหน่อย หนังสือเก่าแก่ในบ้านก็ มอบหมายให้เจ้าดูแลได้แล้ว”
โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ในใจบังเกิดความภาคภูมิใจขึ้นเล็กน้อยอย่างอธิบาย ไม่ได้ ดวงหน้าแต่งแต้มไปด้วยความอิ่มเอมใจอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่กล้าเอา ภาพวาดของท่านไปติดเลยทันที จึงนําภาพลวดลายต่างๆ ที่เมื่อก่อนตัวเองเคยวาดเอาไว้เหล่านั้น ออกมาลองติดดูก่อน แต่ไม่ว่าจะทําอย่างไร ภาพวาดก็มักจะมีรอยย่นเล็กน้อย มิใช่ตรงนี้ก็ตรงนั้น
5302
อยู่รํ่าไป ไม่อาจทําให้เรียบตึงได้ ข้าคิดหาวิธีไปมากมาย สุดท้ายนึกถึงกระดาษเฉิงซินที่ท่านพ่อ มอบให้ข้าขึ้นมา แข็งแรงกว่ากระดาษประเภทอื่นๆ จึงนํามาทําเป็นกระดาษติดตรงกลาง…มันดี มากใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางเงยหน้าขึ้นมองเฉิงฉือ ดวงตายิ้มแย้ม สีหน้าเผยความคาดหวังออกมา โดยไม่รู้ตัว
มุมปากของเฉิงฉือยกขึ้นเล็กน้อย
กระดาษเฉิงซินนั้น…ทั้งหายากและราคาสูง…แพงกว่าทองคําเสียอีก…ใช้หนึ่งแผ่นก็ เท่ากับมีกระดาษเฉิงซินน้อยไปหนึ่งแผ่น…ใช้ทําเป็นกระดาษติดตรงกลาง…ไม่รู้ว่าหากพ่อภรรยา ทราบเรื่องแล้วจะเร่งเดินทางจากเป่าติ้งมาอบรมสั่งสอนเด็กน้อยของเขาหรือไม่…ถ้าหากให้พวกผู้ เฒ่าอวดรู้ที่สํานักฮั่นหลินเหล่านั้นรู้เข้า ไม่รู้ว่าจะตีอกชกหัวหรือไม่…
แต่ตอนที่สายตาของเขาและโจวเสาจิ่นสบประสานกันนั้น เขาก็รู้สึกว่านี่มิใช่ปัญหาอะไร สิ่งของมิใช่ว่าต้องนําออกมาใช้หรอกหรือ เอาไว้เขียนอักษรกับนํามาติดภาพวาดแตกต่างกันตรงไหน “ไม่เลวเลยทีเดียว!” เฉิงฉือกล่าวชมนางอย่างยิ้มแย้ม “เจ้าคิดถึงวิธีนี้ได้อย่างไร” โจวเสาจิ่นพลันเบิกบานใจขึ้นมา รู้สึกว่าการเค้นสมองขบคิดอย่างเหน็ดเหนื่อยของหลายวันนั้นได้ผลตอบแทนกลับมาแล้ว “ข้าคิดถึงตอนปักลาย” นางกล่าวด้วยดวงหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “หากอยากปักให้ สวย ต้องขึงผ้าให้ตึง กระดาษก็เช่นกันยิ่งหนายิ่งดี หากพูดถึงความหนา กระดาษที่ข้ารู้จักก็มีแค่ กระดาษเฉิงซินแล้วเจ้าค่ะ…”
5303
เฉิงฉือกล่าว “รอให้เจ้านําภาพวาดมาติดครบแล้ว พวกเราก็ใช้เป็นของขวัญส่งไปให้แต่ ละบ้านได้แล้ว”
ให้พวกเขาได้เห็นความสามารถของเสาจิ่นด้วย จะได้ไม่เอาแต่คิดว่าเสาจิ่นแต่งงานกับ เขาแล้วเขาต้องทุกข์ทนมากมายนั่นอีก
โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า
ภาพวาดและอักษรภาพของเฉิงฉือค่อนข้างมีชื่อเสียงที่เจียงหนาน ยามต้องการแสดง ความยินดีกับบ้านใดในหมู่ญาติพี่น้อง ส่งภาพวาดหรืออักษรภาพของเฉิงฉือให้สักภาพก็ถือเป็น งานที่ประณีตงดงามชิ้นหนึ่งแล้ว
“เช่นนั้นท่านเขียนอักษรภาพอีกสักสองสามภาพ” โจวเสาจิ่นร้องขอ “วันที่หกเดือนหน้า เป็นวันคล้ายวันเกิดของท่านพ่อ ท่านเขียนอักษรภาพ ข้าติดกระดาษให้ ถึงเวลาส่งไปเป็น ของขวัญวันเกิดให้ท่านพ่อ”
บิดาจะต้องชอบอย่างแน่นอน
“ดีเลย!” เฉิงฉือรู้สึกว่าความคิดนี้ก็ไม่เลวนัก
โจวเสาจิ่นฝนหมึก เฉิงฉือเขียนอักษรภาพ เขียนไปสองชั่วยาม ถึงเลือกอักษรภาพที่เขียน ว่า ‘อายุยืนยาวดั่งภูเขาหนานซาน’ ออกมาได้ภาพหนึ่ง
เฉิงฉือกล่าว “ดูธรรมดาไปสักหน่อยหรือไม่ เขียนกลอนอะไรสักบทหนึ่งดีหรือไม่”
“ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นคิดว่าเฉิงฉืองานยุ่งขนาดนี้ หากเขียนมากกว่านี้ อย่าง น้อยก็ต้องใช้เวลาเจ็ดถึงแปดวัน “ครั้งนี้ส่งอันนี้ไปก็พอแล้วเจ้าค่ะ ครั้งหน้าพวกเราค่อยเตรียมการ เร็วสักหน่อย วาดภาพเหมือนผู้เฒ่าอายุยืนทั้งสามให้ท่านพ่อสักภาพหนึ่ง”
5304
ทั้งสองคนหารือเรื่องของขวัญวันเกิดให้โจวเจิ้นอีกครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงตีกลองบอกเวลา ยามสองดังเข้ามาจากด้านนอก โจวเสาจิ่นถึงได้เร่งให้เฉิงฉือไปพักผ่อนด้วยความละอายใจ “พรุ่งนี้ยังต้องไปทํางานอีกเจ้าค่ะ!”
“ไม่เป็นไร” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “มิต้องไปประชุมเช้า”
ตอนนี้เขายังไม่มีคุณสมบัติต้องไปประชุมเช้า
แต่ทั้งสองยังคงอาบนํ้าครั้งหนึ่งแล้วขึ้นเตียงไปพร้อมกัน
โจวเสาจิ่นนึกถึงเรื่องของกู้จิ่วเนี่ยขึ้นมา
ชาติก่อนกู้จิ่วเนี่ยไม่ได้ช่วยวิ่งเต้นให้ตระกูลเฉิง จะเกี่ยวข้องกับการที่หวงหลี่แนะนํา ตําแหน่งขุนนางให้เขาหรือไม่นะ?
นางเล่าความกังวลใจของตัวเองให้เฉิงฉือฟัง
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากพี่ใหญ่มิได้กดอยู่บนศีรษะของหวงหลี่ หวงหลี่อาจจะอยากขัน แข่งกับพี่ใหญ่ก็เป็นได้ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่หวงหลี่กําลังได้เปรียบทุกอย่างนั้นพี่ใหญ่กลับก้าว นําไปก่อนก้าวหนึ่ง พูดกันตามหลักแล้วหวงหลี่น่าจะนับถือพี่ใหญ่ถึงจะถูก และถ้าเป็นเช่นนี้ เขา อาจจะไม่อยากเปิดศึกกับพี่ใหญ่ โดยมากน่าจะเป็นเพราะถูกใจความสามารถของจิ่วเนี่ย มากกว่า แต่รายละเอียดเป็นอย่างไรนั้น คงต้องรอให้จิ่วเนี่ยมาถึงจิงเฉิงก่อนถึงจะรู้ได้” จากนั้น กล่าวปลอบโยนนางว่า “ในสายตาของผู้อื่นข้าก็เป็นคนของขุนนางใหญ่ซ่งมิใช่หรือ เจ้าเองก็ไม่ ต้องคิดมาก รีบนอนเถิด! ด้วยนิสัยของจี๋อิ๋งแล้ว ช่วงนี้ต้องมาสอนอวิ้นเกอเอ๋อร์ว่ายนํ้าทุกวันเป็น แน่ ยังมีเวลาให้เจ้าต้องยุ่งอีก