ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 590 ซํ้ารอยเดิม
เฉิงเซ่าได้รับบัญชาก็รีบไปยังวังเฉียนชิง
ฮ่องเต้ทรงประทับบนพระแท่นข้างพระบัญชร แสงแดดยามเช้าต้นฤดูร้อนทอดผ่าน หน้าต่างกระจกสุกใสต้องพระพักตร์ของพระองค์ที่เหลืองแห้ง เหนื่อยล้าและอิดโรย
เฉิงเซ่าลอบตกใจ นึกถึงข่าวที่ได้ยินมาบางส่วนเหล่านั้นในช่วงที่ผ่านมา
หรือว่าพระวรกายขององค์ฮ่องเต้ทรุดโทรมลงจริงๆ กันนะ
เขาไม่กล้าเผยสีหน้าพิรุธ ก้าวเข้าไปถวายบังคมอย่างนอบน้อม
ฮ่องเต้ทรงให้คนเก็บฎีกาบนโต๊ะทรงพระอักษรตัวเล็ก พลางตรัสว่า “นั่งลงสนทนากัน เถิด!”
เป็นฮ่องเต้กับข้าราชบริพานมายี่สิบกว่าปี เฉิงเซ่าไม่เกรงใจ ถอดรองเท้าแล้วนั่งลงอีกฝั่ ง ของโต๊ะนํ้าชา
ขันทีค้อมกายเล็กน้อย เดินเข้ามาวางกระดานหมากล้อมอย่างเบามือเบาเท้า
ทว่าฮ่องเต้กลับมิได้ทรงถือหมากดังเช่นทุกที แต่โบกพระหัตถ์ให้ขันทีที่ปรนนิบัติอยู่ใน ห้องถอยออกไปให้หมด แล้วตรัสถามเฉิงเซ่าว่า “เหลนสองคนของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เฉิงเซ่าประหลาดใจเล็กน้อย ทูลตอบว่า “พระองค์ตรัสถามถึงอาเป่ ากับอาเหรินหรือพ่ะ ย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์
เฉิงเซ่ายิ้มพลางทูลว่า “ความประพฤติของเด็กทั้งสองล้วนไร้เดียงสายิ่ง ส่วนเรื่องที่ว่าเป็น เมล็ดพันธุ์แห่งการเรียนรู้หรือไม่นั้น ตอนนี้ยังดูไม่ออก แต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว อุปนิสัยก็สดใสร่า
5456
เริงขึ้นไม่น้อย ทุกครั้งที่ไปบ้านจื่อชวน ก็เล่นแหย่นกวิ่งไล่สุนัขกับลูกชายคนโตของจื่อชวน โหวกเหวกเสียงดังจนวุ่นวายเลยทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สดับฟังแล้วก็แย้มพระสรวลพลางตรัสว่า “ดูเหมือนเด็กๆ จะสนิทสนมกันมาก!”
เฉิงเซ่าทูลว่า “ตระกูลเฉิงในจิงเฉิงมีกันทั้งหมดเพียงไม่กี่คน เวลาฉลองปีใหม่หรือเทศกาล ต่างๆ ก็ไปมาหาสู่กัน ค่อนข้างครึกครื้นเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ตรัสว่า “นั่นก็เป็นเพราะพวกเจ้าอยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่น ไม่เช่นนั้น เด็กเป็นผู้ที่มีการรับรู้ไวที่สุด ใครดีกับเขา ใครไม่ดีกับเขา เขาเห็นแล้วจะไม่พูด แต่ความจริงในใจ กลับมีตาชั่ง หาไม่แล้วเด็กที่เติบโตขึ้นในสถานสงเคราะห์ ก็คงไม่กล้าเล่นแหย่นกวิ่งไล่สุนัขกับ บรรดาคุณชายตัวจริงหรอก”
เฉิงเซ่าคลี่ยิ้มพลางขานรับว่า “พ่ะย่ะค่ะ” มิได้ต่อบทสนทนาอย่างรู้ความ แปดถึงเก้าใน สิบส่วนฮ่องเต้ทรงระลึกถึงบรรดาองค์ชายทั้งหลายเป็นแน่
ใครจะรู้ว่าฮ่องเต้กลับตรัสถึงหัวข้อสนทนานี้ต่อ ตรัสว่า “ได้ยินว่าบรรดาคุณชายของจวน เผิงเฉิงป๋ อล้วนเล่าเรียนที่ประตูเฉาหยางหรือ”
เฉิงเซ่าทูลตอบยิ้มๆ ว่า “หลังจากลูกชายคนโตของจื่อชวนเกิดพี่สะใภ้กระหม่อมถึงได้ค้น พบว่าลูกของญาติที่เกี่ยวดองกันในจิงเฉิงหลายตระกูลล้วนมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน คิดว่าหาก เด็กๆ เรียนหนังสือด้วยกันก็จะมีเครื่องกระตุ้น จึงเชิญอาจารย์ที่เกษียณจากสํานักฮั่นหลินคนหนึ่ง มาเป็นอาจารย์สอนที่บ้าน สอนวิชาพื้นฐานแก่พวกเด็กๆ เผิงเฉิงป๋ อเห็นว่าตระกูลของกระหม่อม ให้กําเนิดจิ้นซื่อหกคนในสามรุ่น คิดว่าคนในตระกูลกระหม่อมมีเคล็ดลับในการอ่านตํารา จึงส่ง ลูกมาที่ประตูเฉาหยาง รํ่าเรียนร่วมกับลูกๆ ของญาติที่เกี่ยวดองกับตระกูลกระหม่อม พระองค์ก็ ทรงทราบ ความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้ใหญ่ของกระหม่อมกับฮูหยินเฟิ งเซิ่งนั้นดียิ่งตั้งแต่ต้น
5457
ด้วยเหตุนี้จึงมิได้มองลูกของตระกูลเผิงเป็นคนนอก ให้พวกเด็กๆ รวมตัวกันเรียนหนังสือด้วยกัน พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แย้มพระสรวลตรัสว่า “ตระกูลพวกเขามุ่งมั่นปรารถนาให้ครอบครัวกําเนิดบัณฑิต สักคนหนึ่งออกมาให้ได้”
เฉิงเซ่าได้ยินพระสุรเสียงในพระดํารัสนั้นเจือความชื่นชมหลายส่วน ก็คล้อยตามพระ ดํารัสของฮ่องเต้ทูลว่า “เด็กๆ ควรศึกษาเล่าเรียนให้มากสักหน่อย หากรู้หนังสือและมีเหตุผล บรรดาพี่น้องในตระกูลก็จะรักใคร่กลมเกลียวกันมากขึ้นเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
ทว่าฮ่องเต้สดับฟังแล้วกลับแย้มพระสรวลเย็นทีหนึ่ง ตรัสว่า “ราชครูที่เราหาให้องค์ชาย ทั้งหลายมีความรู้ความสามารถไม่ลึกซึ้งกว้างขวางพอหรืออย่างไร เหตุใดลูกหมาป่ า ทะเยอทะยานหลายตัวนั้นถึงไม่รู้ว่าอะไรคือพี่น้องปรองดองเคารพกันแม้คนเดียวเล่า”
เฉิงเซ่าทูลว่า “หากจะโทษก็ต้องโทษราชวงศ์ของพระองค์ที่รํ่ารวยมั่งคั่งเกินไป แม้แต่ทาง แห่งปราชญ์ก็ห้ามไม่อยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สดับฟังแล้วสีพระพักตร์ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เฉิงเซ่ามองออกว่า ฮ่องเต้มิได้ทรงมีพระประสงค์จะเล่นหมากล้อม แต่ทรงหนักพระทัย
“อากาศวันนี้ไม่เลว” เขาเอ่ยขึ้นมา “ตอนที่กระหม่อมมาก็เห็นดอกกุหลาบพันปีหลังพระ ตําหนักเบ่งบานหมดแล้ว องค์ฮ่องเต้ทรงประสงค์จะเสด็จไปเดินเล่นหลังพระตําหนักหรือไม่ ประเดี๋ยวดวงอาทิตย์ก็จะโผล่ออกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ดอกไม้ก็จะร่วงโรยไป
เมื่อคืนฮ่องเต้เพิ่งทรงทราบว่าพระชายาองค์ชายสี่ฝากฝังหลานสาวจากบ้านเดิมของตน ไว้กับตําหนักฉือหนิง”
5458
ตอนนั้นพระองค์ก็ทรงพระพิโรธยิ่ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะสะกดพระทัยจนเสร็จสิ้นการว่าราช กิจในเช้าวันนี้ได้ ทว่าความกริ้วนี้นอกจากจะไม่มลายหายไปแล้ว ในทางกลับกันยิ่งสั่งสมก็ยิ่งอัด แน่น พระองค์ไม่ทรงประสงค์จะพิโรธด้วยเรื่องเหล่านี้อีก จึงเรียกเฉิงเซ่ามาพบ
แต่พอทอดพระเนตรเห็นเฉิงเซ่าแล้ว พระองค์ก็อดตรัสถามถึงครอบครัวของเฉิงเซ่าไม่ได้ แม้แต่พระองค์เองก็ทรงไม่ทราบว่าปรารถนาจะสดับฟังคําตอบเช่นไร…
เช่นนั้นก็วางเรื่องนี้ไปก่อนดีกว่า
พระองค์มีพระชนมายุมากแล้ว ทรงประสงค์ให้โอรสทุกพระองค์ได้ดีกันหมดเสมอ
ฮ่องเต้ไปตําหนักหลังกับเฉิงเซ่า ทอดพระเนตรดอกกุหลาบพันปีอย่างไม่สนพระทัยนัก ตอนเที่ยงก็ทรงรั้งเฉิงเซ่ารับประทานอาหาร
เฉิงเซ่ามักจะกินอย่างผ่อนคลายจนอิ่มได้ นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ฮ่องเต้ทรงชื่นชอบรั้งเขา อยู่รับประทานอาหาร
หลังเสวยพระกระยาหารเสร็จ หมอหลวงเฉาก็มาตรวจพระชีพจรพอดี
เฉิงเซ่าจึงเตรียมจะถอยออกไป
แต่ฮ่องเต้กลับทรงรั้งเขาเล่นหมากล้อม
จวบจนตอนที่เล่นหมากล้อม พระทัยของฮ่องเต้ก็ค่อยๆ ดีขึ้น ทั้งสองคนยิ้มแย้มสนทนา กัน ตอนกลางคืนเฉิงเซ่าเข้าเวรที่สํานักฮั่นหลิน ส่วนฮ่องเต้เนื่องจากไทเฮาเสด็จกลับมาจากวัดต้า เซียงกั๋ว จึงเสด็จไปรับไทเฮากลับวังที่ประตูเสินอู๋แต่เนิ่นๆ
เฉิงเซ่าจับตาดูความเคลื่อนไหวทางนั้นมาโดยตลอด
5459
ได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงเสวยพระกระยาหารที่ตําหนักฉือหนิง จากนั้นก็ทรงสนทนาเป็นเพื่อน ไทเฮาแล้วเสด็จกลับพระตําหนัก เขาก็อดไม่ได้พรูลมหายใจยาวเหยียดออกมา
เรื่องที่เฉิงฉือกังวลมิได้เกิดขึ้น เห็นได้ว่าองค์ชายสี่ยังไม่มีพระทัยกล้าถึงเพียงนั้น
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ หากองค์ชายสี่ทรงมีใจทะเยอทะยานไม่หยุด หวงไท่ซุนยังทรงพระเยาว์ ทว่าฮ่องเต้กลับทรงมีพระชนมพรรษามากขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่านับแต่นี้ไปราชสํานักคงไม่มีวันใดที่ สงบสุขอีกต่อไปแล้ว
จากนี้ไปตระกูลเฉิงก็ต้อง ‘พันวันจับขโมย’ ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง
เช่นนั้นไม่สู้รบศึกนี้ไปเสียเลยยังจะดีกว่า
เป็นตายอย่างไรก็มีบทสรุปบทหนึ่ง!
เฉิงเซ่ายิ้มขื่น นอนลงบนเตียงกระดานไม้แข็งที่ไหวซานปูเอาไว้อย่างดี แล้วหยิบหนังสือที่ เอาเข้าวังมาอ่านฆ่าเวลาตอนกลางคืนอันยาวนานขึ้นมาอ่าน
รอบด้านเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง ได้ยินเสียงแมลงดังกังวานชัดเจนยิ่ง
เฉิงเซ่าง่วงเหงาหาวนอน
มีขันทีน้อยวิ่งพรวดเข้ามา เอ่ยเสียงร้อนรนว่า “ใต้เท้าเฉิง องค์ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาให้ ไปพบขอรับ”
เฉิงเซ่าอึ้งงัน ถามว่า “เวลานี้หรือ”
ขันทีน้อยตอบว่า “ขอรับ! องค์ฮ่องเต้ทรงให้ท่านรีบไป”
เฉิงเซ่ารีบสวมอาภรณ์แล้วออกไป
5460
องครักษ์ร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ข้างขันทีน้อยผู้นั้น ดูคุ้นหน้าเหลือเกิน ทว่าชั่วขณะนั้น เฉิงเซ่ากลับนึกไม่ออกว่าคนผู้นี้คือใคร
องครักษ์ผู้นั้นคารวะเฉิงเซ่าพลางกล่าวว่า “ในวังลั่นดาลแล้ว แม้กงกงน้อยจะมีป้ายชื่อก็ ตาม แต่ให้ข้าคุ้มกันทั้งสองท่านไปตําหนักเฉียนชิงดีกว่านะขอรับ”
ห้องเวรยามอยู่หน้าตําหนักซิวซิน แต่หากจะไปตําหนักเฉียนชิงจากห้องเวรยาม กลับต้อง เข้าไปทางประตูเย่ว์หวา
เวลานี้ประตูเย่ว์หวาคงจะลงดาลแล้ว องครักษ์บอกว่าคุ้มกัน แท้จริงแล้วคือการจับตาดู นี่ก็คือกฎของวัง เฉิงเซ่ายิ้มพลางพยักหน้าให้องครักษ์ คนทั้งกลุ่มเดินไปยังตําหนักเฉียนชิง ตําหนักเฉียนชิงเงียบสงัด มีเพียงห้องอุ่นตะวันออกที่จุดโคมไฟ
เฉินลี่ขันทีใหญ่พาศิษย์สองสามคนยืนอย่างนอบน้อมที่เฉลียงห้องอุ่นตะวันออก พอเห็น เฉิงเซ่าเข้ามา ก็ยิ้มให้เขาพลางกล่าวว่า “องค์ฮ่องเต้ทรงรอท่านอยู่ขอรับ! ท่านรีบเข้าไปเถิด!” ขณะที่กล่าวก็เลิกผ้าม่านขึ้นด้วยตนเอง เฉิงเซ่าเดินเข้าไป เขาเห็นในห้องมีคนสองคน คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืน ผู้ที่นั่งย่อมเป็นฮ่องเต้
ส่วนผู้ที่ยืน…กลับเป็นองค์ชายสี่ที่เดิมควรอยู่นอกเมืองไกลหลายร้อยหลี่ในเวลานี้ หนํา ซํ้ายังสวมชุดทหารอยู่
5461
เฉิงเซ่าใจเต้นตึกตัก ยืนมือเท้าแข็งอยู่ที่นั่น
เฉินลี่ก้าวมาจากข้างหลังใช้นํ้าเสียงที่ยามปรกติฟังแล้วอบอุ่นมีมารยาทแต่ตอนนี้กลับทํา ให้คนรู้สึกเย็นเยือกกล่าวขึ้นว่า “ใต้เท้าเฉิง องค์ฮ่องเต้ทรงรอท่านอยู่!”
องค์ชายสี่เข้ามาได้อย่างไร ซํ้ายังโน้มน้าวเฉินลี่สําเร็จได้อย่างไร หรือว่าที่องค์ไทเฮาเสด็จ ออกวังจะเกี่ยวข้องกับองค์ชายสี่กันนะ… ความสงสัยต่างๆ มากมายประดังเข้ามา กลับทําให้เฉิง เซ่าไม่กล้าคิดมาก
เขาปกปิดความตระหนกของตน สาวเท้าก้าวเข้าไปถวายบังคมฮ่องเต้ “กระหม่อมเฉิงเซ่า มาถึงแล้ว เชิญองค์ฮ่องเต้ตรัสสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้เย็นเยียบ เสมือนประทับบนบัลลังก์ในตําหนักจินหลวนยามปรกติ อย่างไรอย่างนั้น มองไม่เห็นพระโสมนัสหรือความเสียพระทัยแต่อย่างใด ตรัสว่า “เรามิได้ให้เจ้า มา ผู้ที่ให้เจ้ามาคือองค์ชายสี่ เจ้าฟังเขาพูดอย่างไรเถอะ!”
เฉิงเซ่าก้มหน้าหลุบตาถวายบังคมองค์ชายสี่
องค์ชายสี่ทรงแสร้งหลบพระวรกาย เพียงรับบังคมของเขาครึ่งหนึ่ง แล้วทรงประคองเฉิง เซ่าขึ้นมาด้วยตนเอง ตรัสเสียงอบอุ่นและอ่อนน้อมว่า “ใต้เท้าเฉิง องค์ฮ่องเต้ทรงมีพระราชดําริว่า หวงไท่ซุนทรงพระเยาว์เกินไป ไม่เหมาะสมที่จะรับตําแหน่งรัชทายาทของแผ่นดิน มีพระประสงค์ จะประทานตําแหน่งให้ข้า ทั้งยังเชิญใต้เท้าเฉิงมาช่วยเขียนราชโองการ” ขณะที่ตรัสก็ชี้ราช โองการว่างเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะทรงพระอักษรเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้
เฉิงเซ่าไม่แม้แต่จะคิด ทูลตอบยิ้มๆ ว่า “องค์ชายสี่ตรัสผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ! รัชทายาทของ ประเทศเป็นรากฐานของแผ่นดิน ตั้งแต่กาลก่อนก็แต่งตั้งสายตรงสืบทอดบัลลังก์ ในเมื่อองค์ชาย สี่ทรงมีพระเชษฐานําหน้า และมีพระนัดดาตามหลัง หากองค์ฮ่องเต้ทรงมีพระทัยพระราชทาน
5462
ตําแหน่งแก่พระองค์ ก็ต้องปรึกษาหารือกับขุนนางในราชสํานักก่อน ทรงตัดสินพระทัยว่าผู้ใดจะ มาสืบราชบัลลังก์เป็นการส่วนพระองค์เช่นนี้ได้อย่างไร องค์ชายสี่โปรดทรงอภัยความเขลาของ กระหม่อมด้วย มิกล้าเขียนพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสี่ทรงเลิกพระขนงขึ้น องคาพยพทั้งห้าพลันเปลี่ยนเป็นแหลมคมดุจปลายดาบก็ ไม่ปาน พระองค์แย้มพระสรวลเย็นตรัสว่า “เจ้าขัดขืนบัญชาหรือ”
“กระหม่อมมิกล้าขัดขืนพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” เฉิงเซ่าตอบยิ้มๆ อิริยาบถดูผ่อนคลาย “ขุน นางราชสํานักมิอาจผูกสัมพันธ์กับอ๋องผู้ครองแคว้น ขอองค์ชายสี่โปรดทรงอภัยด้วยเถิด!”
องค์ชายสี่ทรงสบถเย็นเสียงหนึ่ง ชําเลืองมองมุมห้องทีหนึ่ง เฉิงเซ่าอดเหลือบมองตามไม่ได้ เขาจึงค้นพบว่าที่มุมห้องยังมีคนผู้หนึ่งนอนอยู่ เป็นสหายเก่าแก่ของเขา หลี่อวิ้นผู้เป็นสิงเหรินที่เข้าเวรในคณะพราหมณ์หลวงวันนี้ เฉิงเซ่ามิได้ส่งเสียงใดๆ
นํ้าเสียงของเฉินลี่ดังลอดประตูขึ้นมาว่า “องค์ชายสี่ ใกล้ถึงเวลาผลัดเปลี่ยนเวรป้องกัน แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสี่ได้ยินแล้วก็ทรงกริ้วจนพระพักตร์บิดเบี้ยวหลายส่วน
เฉินลี่กล่าวว่า “วันนี้ผู้ที่เข้าเวรในราชสํานักคือใต้เท้าหยวน พระองค์ว่าอยากจะพาใต้เท้า หยวนเข้ามาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
5463
องค์ชายสี่ทรงดําริแล้วตรัสว่า “ก็ดี”
ข้างนอกมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น จู่ๆ ฮ่องเต้ก็กวักพระหัตถ์เรียกเฉิงเซ่า “มานี่ เล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนข้าที” เฉิงเซ่าจัดเสื้อผ้า เดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน นั่งขัดสมาธิลงเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ แล้ว หยิบหมากและกระดานหมากใต้โต๊ะออกมา ใต้กระดานหมากมีอะไรบางอย่างอยู่ เฉิงเซื่อเก็บไว้ในแขนเสื้ออย่างไร้สุ้มเสียง พระจักษุของฮ่องเต้มีรอยโล่งพระทัยสายหนึ่งวาบผ่าน ทั้งสองคนเล่นหมากล้อม ไม่นาน หยวนเหวยชางก็มาถึง
สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ก้มหน้าถวายบังคมให้ฮ่องเต้กับองค์ชายสี่ องค์ชายสี่ตรัสถ้อยคําที่กล่าวกับเฉิงเซ่าขึ้นอีกครั้ง หยวนเหวยชางประเดี๋ยวหน้าแดงประเดี๋ยวหน้าซีด ทูลตอบว่า “องค์ชายสี่ หากไม่มีพระ ประสงค์ขององค์ฮ่องเต้ กระหม่อมมิกล้าเขียนราชโองการเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสี่ทรงกริ้วยิ่งนักแล้วแย้มพระสรวลตรัสว่า “นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าคนสองคนล้วน อยากเป็นขุนนางที่จงรักภักดี ก็ดี เช่นนั้นข้าก็จะสนองพวกเจ้าเอง…” ขณะที่พระองค์ตรัส ก็ทรงชักฝักพระแสงกระบี่ที่บั้นพระองค์ออกมา
5464
ทว่าข้างนอกกลับมีเสียงอื้ออึงวุ่นวายดังขึ้นมา…ยังมีเสียงหวาดกลัวของเฉินลี่อีกด้วย “องค์ชายสี่ ไม่รู้ว่าหานติงโผล่มาจากไหนพ่ะย่ะค่ะ…”
สีพระพักตร์ขององค์ชายสี่ปรากฏรอยพรั่นกลัวเล็กน้อย แต่ก็คืนความสงบนิ่งกลับมา โดยเร็วพลัน ตรัสว่า “สกัดหานติงเอาไว้…องค์ฮ่องเต้ทรงยืนฝ่ายพวกเรา…”
พระองค์ยังไม่ทันตรัสจบประโยค บานหน้าต่างก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ มีองครักษ์โหนเชือก จากหลังคากระโจนเข้ามา ห้อมล้อมองค์ฮ่องเต้กับเฉิงเซ่าที่กําลังเล่นหมากล้อมอยู่
โจวเสาจิ่นถามเฉิงฉือว่า “หลังจากนั้นเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
เฉิงฉือตอบยิ้มๆ ว่า “องค์ฮ่องเต้ทรงทราบความเคลื่อนไหวขององค์ชายสี่มานานแล้ว แต่ สุดท้ายก็เป็นโอรสพระองค์ ย่อมทรงคาดหวังให้เขาสํานึกตัวได้ ทว่าทรงนึกไม่ถึงว่าองค์ชายสี่จะมี ใจกล้าเหนือความคาดหมายของพระองค์ ถึงกับยอมเสี่ยงชีวิตเพราะเข้าตาจน คิดจะใช้กลยุทธ์ จับโจรเอาหัวโจกขึ้นครองบัลลังก์ แต่เขาก็ประเมินองค์ฮ่องเต้ตํ่าเกินไปเหมือนกัน…”
“ข้ามิได้ถามถึงเรื่องนั้นเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นเอ่ย “ข้าถามถึงของสิ่งนั้นที่ท่านอารองหยิบจาก ใต้กระดานหมากว่าคืออะไรเจ้าค่ะ”