ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 591 บทส่งท้าย
“ไม่รู้” เฉิงฉือตอบอย่างจริงจัง “ไม่รู้?!” โจวเสาจิ่นประหลาดใจ
“ไม่รู้ว่าคืออะไรจริงๆ” เฉิงฉือกล่าว “เพราะว่าท่านอารองก็ไม่ได้ดูเช่นกัน ตอนที่ราช องครักษ์จับองค์ชายสี่ก็คืนสิ่งของนั้นแก่องค์ฮ่องเต้”
โจวเสาจิ่นรู้สึกเบาใจอย่างอธิบายไม่ได้ พึมพําขึ้นว่า “หรือว่าเป็นราชโองการอะไรกันนะ”
“บางทีอาจจะเป็นพระราชสาสน์ขอความช่วยเหลือหรือราชโองการลับให้ปกป้องราชา… ล้วนเป็นไปได้หมด” เฉิงฉือกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แม้ว่าองค์ฮ่องเต้ทรงล่วงรู้แผนการขององค์ ชายสี่ แต่ข้าคิดว่า พระองค์มิอาจมั่นใจได้เก้าในสิบส่วน จําต้องเก็บพระหัตถ์ข้างหนึ่งไว้ก็เป็นไป ได้เช่นกัน หาไม่แล้วท่านอารองก็คงไม่พบอะไรใต้กระดานหมากหรอก” ขณะที่เขาพูดก็ใคร่ครวญ ขบคิดพลางกล่าวว่า “หากว่าข้าเดาไม่ผิด ในชาติที่แล้วทุกคนต่างไม่ได้สังเกตเห็นใจ ทะเยอทะยานขององค์ชายสี่ พระองค์ทรงเตรียมการอย่างใจเย็น เริ่มจากการลอบปลงพระชนม์ องค์รัชทายาท จากนั้นก็ใช้เรื่องการแต่งตั้งรัชทายาทลากองค์ชายสามและองค์ชายอื่นๆ ตกจาก หลังม้า หลังจากแต่งตั้งหวงไท่ซุนแล้ว ก็เริ่มหาทางจัดการหวงไท่ซุนอีก เพียงแต่ไม่รู้ว่าสุดท้าย หวงไท่ซุนทรงประชวรแล้วสิ้นพระชนม์หรือถูกพระองค์ลอบปลงพระชนม์กันแน่ อย่างไรก็ตามเมื่อ เวลาผ่านไป พวกเราก็คงจะรู้เอง หลังจากหวงไท่ซุนสิ้นพระชนม์ พระทัยขององค์ฮ่องเต้จะต้อง แปรเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน พระองค์มีพระชนมายุมากแล้ว หากทรงแต่งตั้งรัชทายาทที่ทรงพระ เยาว์อีกคนหนึ่งล่ะก็ ถ้าเกิดรัชทายาทสิ้นพระชนม์ขณะทรงพระเยาว์อีกจะทําอย่างไร องค์ชายสี่ เหตุเพราะเคยทรงพระเจริญในตําหนักหยวนโฮ่ว พระเชษฐาหลายพระองค์ก่อนหน้าก็ล้วนประสบ อุบัติเหตุ พระองค์จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทอย่างราบรื่น…
5466
…เป็นไปได้ว่าเรื่องที่หวงไท่ซุนสิ้นพระชนม์จะถูกองค์ฮ่องเต้ค้นพบ หรือบางทีพระองค์ อาจจะทําเรื่องอะไรที่ทําให้องค์ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่งก็เป็นได้…
…หลังจากนั้นองค์ฮ่องเต้ก็ทรงสละแผนการของพระองค์ทิ้ง…
…ดูจากเหตุการณ์ในครั้งนี้แล้ว ในเมื่อพระองค์ทรงดึงเฉินลี่มาร่วมก่อกบฏในสถานการณ์ เช่นนี้ได้ ชาติที่แล้วพระองค์ทรงมีทั้งจังหวะเวลา สถานที่และการสนับสนุนจากทุกๆ ฝ่าย เจ้าเอง ก็บอกอีกว่าหลังจากเหตุการณ์จบลงแล้วเฉินลี่ก็กลายเป็นขันทีใหญ่ในตําหนักฉือหนิง พระองค์ จะต้องล่วงรู้ถึงแผนการขององค์ฮ่องเต้จากการช่วยเหลือของเฉินลี่เป็นแน่ ดังนั้นจึงทรงฉวย โอกาสยามที่องค์ฮ่องเต้ทรงพระประชวรบีบบังคับพระองค์ให้สละราชสมบัติจนถึงที่สุด…
…ตอนนั้นพระองค์ทรงเป็นรัชทายาทแล้ว ครั้นองค์ฮ่องเต้ทรงเสด็จสวรรคต พระองค์ก็ เถลิงราชย์อย่างชอบธรรมได้แล้ว…
…แต่มิใช่ทุกคนในวังที่จะรับฟังพระบัญชาของพระองค์…
…อาทิ หานติง ผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์เช่นนี้ จะต้องเป็นคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ หรือคนที่จงรักภักดีต่อพระองค์อย่างแน่นอน..
…หากองค์ชายสี่ทรงประสงค์จะลอบปลงพระชนม์องค์ฮ่องเต้ คงไม่มีทางเล็ดลอดผ่า นหานติงไปได้หรอก…
…ชาติก่อนทุกคนต่างคิดว่าองค์ชายสี่ทรงขึ้นครองราชย์ตามปรกติ…
…กล่าวอีกนัยได้ว่า ชาติที่แล้วเรื่องที่บีบบังคับองค์ฮ่องเต้ให้สละราชสมบัติทํานองนั้น ล้วนดําเนินการอย่างเงียบๆ…
…องค์ชายสี่ทรงบุกเข้าห้องบรรทมขององค์ฮ่องเต้ ทว่าไม่คาดคิดว่าเขตรอบวังหลวงจะ ไม่มีความเคลื่อนไหวสักเท่าใด ไม่ว่าใครก็บอกแน่ชัดไม่ได้ว่าผู้ใดเป็นขุนนางภักดีผู้ใดเป็นไส้ศึก…
5467
…องค์ฮ่องเต้จําต้องใช้พระทัยตัดสิน…
…ตอนนี้พระองค์ทรงล่วงรู้เบาะแสขององค์ชายสี่ ในสถานการณ์ที่คนของคณะพราหมณ์ หลวงกับขุนนางใหญ่หยวนต่างไม่ยอมยกพู่กันเขียนราชโองการ ทั้งยังทรงมอบของบางอย่าง ให้กับท่านอารอง นอกจากนี้ยังเป็นสถานการณ์เดียวกับชาติก่อนที่ถูกองค์ชายสี่ลอบทําร้ายอีก ด้วย…
…พระองค์ต้องทรงมอบของบางอย่างให้แก่ท่านอารองเช่นเดียวกันอย่างแน่นอน…
…ก็เป็นของชิ้นนั้น ที่นําไปสู่การยึดทรัพย์และประหารยกตระกูลของตระกูลเฉิงนั่นเอง”
โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ เมื่อรําลึกถึงเหตุการณ์ที่ตระกูลเฉิงประสบในชาติที่แล้วขึ้นมานัยน์ตา ก็พลันแสบเล็กน้อย เอ่ยว่า “ชาติก่อนท่านอารองถูกฝังโดยตระกูลเฉิง ถ้าหากท่านอารองเสียชีวิต ในวัง ของชิ้นนั้นจะต้องไม่อยู่ในมือของเขาเป็นแน่ คนของตระกูลเฉิงจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เลยหรือ ต่อให้รู้แล้ว แต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัด ก็ไม่กล้าพูดอะไรอยู่ดี เหตุใดองค์ชายสี่ยังต้องพาน พิโรธตระกูลเฉิงด้วย หรือว่าเป็นเพราะความจงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้ของท่านอารองกันนะ พระองค์ท่านทรงทําอย่างนี้ ย่อมมิใช่ราชาที่ทรงมีปรีชาญาณใดๆ อย่างแน่นอนนะเจ้าคะ!”
นางกล่าวอย่างขุ่นเคือง กลับลืมไปแล้วว่าชีวิตนี้กับชาติก่อนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมา นานแล้ว ตอนนี้องค์ชายสี่เป็นนักโทษจองจําเสียแล้ว
เฉิงฉือคลี่ยิ้มพลางลูบผมของนาง กล่าวอย่างอดทนว่า “ท่านอารองถูกฝังโดยตระกูลเฉิง มิได้หมายความว่าเขาจะเสียชีวิตในบ้านเสียหน่อย!”
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง ทําไมนางจึงนึกไม่ถึงกันนะ โจวเสาจิ่่นจับแขนเสื้อของเฉิงฉืออย่างประหม่า
5468
เฉิงฉือก็กดเสียงลงมา “หากท่านอารองเสียชีวิตในบ้าน พี่ใหญ่ก็ไม่จําเป็นต้องฝังเขา อย่างเงียบๆ หรอก ท่านอารองอาจจะเสียชีวิตในวังก็ได้…
…องค์ฮ่องเต้ทรงไม่มีคนที่วางใจได้เลยสักคน จึงมอบราชโองการหรือไม่ก็คําสั่งเสียให้แก่ ท่านอารอง ต่อมาก็ถูกองค์ชายค้นพบ ท่านอารองตระหนักได้ว่าไม่มีทางทําตามคําสั่งเสียของ องค์ฮ่องเต้ให้สําเร็จได้ บางทีคงจะซ่อนของชิ้นนั้นเอาไว้ หรือไม่ก็มอบมันให้ผู้อื่น จากนั้นก็ฆ่าตัว ตายหรือไม่ก็ถูกองค์ชายสี่สังหาร ทว่าองค์ชายสี่กลับหาของชิ้นนั้นที่พระองค์ต้องการไม่พบ อีกทั้ง มิอาจเก็บศพของท่านอารองไว้ในวัง จึงจําต้องปิดข่าวการเสด็จสวรรคต คืนร่างของท่านอารอง ให้แก่ตระกูลเฉิงไปก่อน แล้วถึงประกาศการเสด็จสวรรคตขององค์ฮ่องเต้ทีหลัง…
…พี่ใหญ่อยู่ในแวดวงขุนนางมาหลายปีขนาดนี้ แม้จะหูเบาเป็นครั้งคราว เวลาประสบ ปัญหาก็ลังเลไม่หนักแน่นอยู่บ้าง แต่มิใช่คนที่ไร้ความสามารถในการมองประเภทนั้น…
…ไม่ว่าท่านอารองจะฆ่าตัวตายหรือถูกคนอื่นลอบสังหาร จะต้องทิ้งเบาะแสบนร่างอย่าง แน่นอน หนําซํ้ายังถูกเคลื่อนย้ายออกจากวัง ไม่รู้ว่าทําผิดเรื่องอะไร…เขาต้องไม่กล้าส่งเสียง เรียกร้องอะไรเป็นแน่ ได้แต่ฝังท่านอารองอย่างเงียบๆ” กล่าวถึงตรงนี้ เฉิงฉือก็เผยสีหน้าไม่พอใจ ออกมา “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่ว่าใครก็ต้องวางแผนสํารองไว้แล้ว ต่อให้ไม่มีทางถอยออกมาทั้งตัว ได้ ก็ควรส่งบุตรสองสามคนออกไป ทิ้งสายโลหิตให้ตระกูลเฉิงสักหน่อย เขาก็ดี องค์ฮ่องเต้ทรง เลื่อนขั้นเขาเป็นที่ปรึกษาประจําพระที่นั่งในราชสํานัก เขาก็ดํารงตําแหน่งของเขาอย่างวางใจ…”
โจวเสาจิ่นไม่รู้จะพูดอะไรดี
เฉิงฉือเอ่ยขึ้นว่า “ตระกูลเฉิงอยู่ใต้พระเนตรขององค์ฮ่องเต้…
…รอจนกระทั่งทรงยึดกุมอํานาจในราชสํานักและมีที่ยื่นที่มั่นคงแล้ว องค์ฮ่องเต้ก็ทรงเริ่ม กวาดล้างขุนนาง…
5469
…ตระกูลเฉิงในตอนนี้ก็กลายเป็นหนามตําพระเนตรพระองค์…
…หากทรงหาของชิ้นนั้นไม่เจอเรื่อยๆ พระองค์ก็ต้องบรรทมหรือเสวยพระกระยาหาร อย่างไม่เป็นสุขยิ่งขึ้นเป็นแน่…
…ถ้าหากเพิ่งจะเรื่องเกิดขึ้นได้ไม่นาน พระองค์ก็อาจจะหาข้ออ้างประหารตระกูลเฉิงที่ เป็นขุนนางในจิงเฉิงก็พอแล้ว แต่ผ่านไปแล้วสองปี ใครจะรู้ว่าท่านอารองนําของชิ้นนั้นออกจากวัง ไปแล้วหรือไม่ อีกทั้งมีใครจะรับประกันได้ว่าคนของตระกูลเฉิงล้วนไม่รู้ว่าในของชิ้นนั้นเขียนอะไร ไว้หรือมีเนื้อหาอะไร เขาจึงฆ่าคนปิดปาก ประหารคนของตระกูลเฉิงทั้งตระกูลเสียเลย หรือบางที อาจจะเป็นการชําระแค้นกับท่านอารองก็ได้…”
โจวเสาจิ่นนึกถึงกลิ่นคาวเลือดและวันเวลาที่อยู่ในความหวาดผวาเหล่านั้นจากชาติที่ แล้ว
นํ้าตาของนางก็ไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่า
เฉิงฉือโอบกอดนางในอ้อมอก ถอนหายใจใหญ่พลางกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เรื่อง ขององค์ชายสี่ก็ถูกเปิดเผยแล้ว ต่อให้หวงไท่ซุนทรงประชวรแล้วสิ้นพระชนม์ องค์ฮ่องเต้ก็มิอาจ แต่งตั้งพระองค์เป็นรัชทายาทได้อีก วิกฤตการณ์ของตระกูลเฉิงก็กําจัดได้หมดแล้ว พรรคเจ็ด ดาราก็ไม่เหลือความหมายอะไรที่มันจะดํารงอยู่ ในที่สุดตระกูลเฉิงก็จะกลายเป็นตระกูลบัณฑิต สามัญธรรมดาตระกูลหนึ่งแล้ว อวิ้นเกอเอ๋อร์ก็ดี” เขาลูบครรภ์ของโจวเสาจิ่น “เจ้าตัวน้อยตัวนี้ของ พวกเราก็ดี ล้วนจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้แล้ว”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า
เอามือวางบนมือของเฉิงฉือ
ปณิธานสองข้อใหญ่ที่สุดตั้งแต่ย้อนกลับมาเกิดใหม่ของนางล้วนเป็นจริงแล้ว
5470
โดยเฉพาะการช่วยชีวิตตระกูลเฉิง ตอนนั้นในสายตาของนางเป็นเรื่องที่ยากลําบากมากยิ่ง ยังดีที่นางพบเฉิงฉือ สุดท้าย เรื่องต่างๆ ก็ถูกเฉิงฉือแก้ทีละขั้น ชาติที่แล้ว นางมีชีวิตอยู่เพียงยี่สิบห้าปี ต่อแต่นี้ไป วันเวลาของนางกับเฉิงฉือยังคงมีอีกยาวไกล นางไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
แต่ตราบใดที่มีเฉิงฉืออยู่ด้วย ขอเพียงพวกเขาอยู่ด้วยกัน นางคิดว่า เรื่องใหญ่เทียมฟ้า อันใดก็ไม่ใหญ่เท่าเรื่องที่ตระกูลเฉิงถูกยึดทรัพย์และประหารยกตระกูลแล้วกระมัง พวกเขาจะ เผชิญหน้าและข้ามผ่านมันไปด้วยกันเสมอ
จู่ๆ ท้องของโจวเสาจินก็ขยับขึ้นมา
เฉิงฉือกับโจวเสาจิ่นตะลึงงันเล็กน้อย กว่าครู่ใหญ่จึงจะมีปฏิกิริยาตอบกลับมา นี่คือเจ้า ตัวน้อยของพวกเขากําลังเตะพวกเขาอยู่สินะ!
โจวเสจิ่นยิ้มร่าจนตาหยี เด็กก็รับรู้ถึงความยินดีของบิดาได้ใช่หรือไม่ อดทนรอมาร่วมวงไม่ไหวแล้วกระมัง! ทั้งสองคนฉีกยิ้มให้กันและกัน
สุดท้ายก็เป็นโอรสของตนเอง ฮ่องเต้มิได้ประกาศการก่อกบฏขององค์ชายสี่ออกไป แต่ ในประชุมใหญ่ยามเช้าสามวันต่อมาสํานักสารบรรณกลางยื่นหนังสือทูลว่า องค์ชายสี่เนื่องจาก ประชวรระหว่างทางไปซิ่นหยางได้สิ้นพระชนม์
5471
ในราชสํานักมีข่าวลือออกมาตั้งแต่เช้าแล้ว แต่บรรดาขุนนางยังคงแสดงสีหน้าตกใจอยู่ดี ต่างพากันร้องทูลให้ฮ่องเต้ทรงอดกลั้นความโศกศัลย์
ฮ่องเต้ทรงประทับในตําหนักจินหลวนมองเห็นสีพระพักตร์ได้ไม่ชัดเจน เพียงตรัสให้ขุน นางฝ่ ายในฝังพระศพขององค์ชายสี่ตามพิธีการของชินอ๋อง โอรสองค์โตขององค์ชายสี่ถูกลด บรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋อง ยังคงครองเขตซิ่นหยางเหมือนเดิม
เพื่อแสดงความห่วงใย ฮ่องเต้ทรงส่งมามาสอนมารยาทกับขันทีจากวังไปปรนนิบัติเป็น การเฉพาะ
แต่ไม่นาน โอรสองค์โตขององค์ชายสี่ก็สิ้นพระชนม์ขณะทรงพระเยาว์เนื่องจากไม่ถูกกับ สภาพอากาศ พระชายาขององค์ชายสี่ก็ทรงตรอมพระทัยแล้วสิ้นพระชนม์เช่นกัน
โอรสคนรองขององค์ชายสี่สืบทอดบรรดาศักดิ์ ทว่าเพียงครึ่งปีก็สิ้นพระชนม์ตามไปด้วย เช่นกัน
ฮ่องเต้จึงไม่ทรงแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้อีก
โอรสทั้งหลายขององค์ชายสี่นําเบี้ยหวัดประจําตําแหน่งฝู่ กั๋วกงตามมามาสอนมารยาท กับขันทีทั้งหลายออกไปใช้ชีวิต
หลังจากงานอภิเษกสมรสของหวงไท่ซุน โอรสเหล่านี้ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตา ของคนในจิงเฉิง
อย่างไรก็ตามช่วงนั้นโจวเสาจิ่นคลอดเทาเกอเอ๋อร์บุตรชายคนรองในเดือนสิบ หลังพ้นปี ใหม่ก็เป็นเดือนหนึ่ง ทําพิธีครบรอบร้อยวันให้แก่บุตรชายอย่างชื่นชมยินดีพอดี
ซ่งจิ่งหร่านกลับมารับราชการหลังสิ้นการไว้ทุกข์ ยังคงเข้าสู่ราชสํานักเป็นที่ปรึกษา ประจําพระที่นั่งตะวันออก เจ้ากรมการคลัง และมหาบัณฑิตสํานักฮั่นหลินเช่นเดิม
5472
เฉิงฉือก็ได้เลื่อนตําแหน่งเป็นผู้ช่วยเจ้ากรมตรวจตราฝ่ายซ้ายขั้นสามบนในกรมตรวจตรา ด้วยการแนะนําของเฉิงเซ่า เขาอ้างว่าร่างกายเจ็บป่วยแล้วลาออกจากราชการด้วยตนเอง
ฮ่องเต้มิได้ทรงรั้งเขาให้อยู่ต่อมากนัก เก็บระเบียนครอบครัวของเฉิงเซ่าไว้ในจิงเฉิง
นับแต่นั้นมาเฉิงเซ่าก็เก็บตัวอยู่ในบ้าน วันๆ เอาแต่ศึกษา ‘คัมภีร์ศาสตร์แห่งการ เปลี่ยนแปลง’ ที่บ้าน ฮูหยินของเผิงเฉิงป๋ อรู้สึกเสียดาย ขอให้เฉิงเซ่าไปสอนหนังสือในสํานักศึกษา ของตระกูลเฉิงที่ประตูเฉาหยางอยู่หลายครั้ง แต่ถูกเฉิงเซ่าใช้เรื่องที่สุขภาพไม่ดีปฏิเสธอย่าง สุภาพทุกครั้ง
แม้ว่าเทาเกอเอ๋อร์เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง แต่สําหรับตระกูลเฉิงที่มีบุตรชายไม่มากแล้ว ยัง ถือว่าเป็นข่าวดีเรื่องหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอุ้มเทาเกอเอ๋อร์ในวงแขน ตามองอวิ้นเกอเอ๋อร์พลางยิ้มแป้นจนตาหยีเป็น เส้นโค้ง บอกโจวเสาจิ่นว่า “บุตรสาวเป็นดั่งเสื้อนวมอุ่นอกมารดา เจ้าต้องขยันอีกสักหน่อย เพิ่ม น้องสาวสักคนให้อวิ้นเกอเอ๋อร์กับเทาเกอเอ๋อร์ถึงจะดี”
โจวเสาจิ่นดวงหน้าแดงกํ่าพึมพํารับคํา โจวชูจิ่นและคนอื่นๆ หัวเราะไม่หยุด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามถึงโจวเจิ้นว่า “เรือนพํานักของนายท่านตระกูลสะใภ้หาได้แล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นก็ให้อยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนของพวกเจ้าเถอะ ทางโน้นร้างเปล่าไร้คนอาศัย ทั้งอยู่ใกล้กับชูจิ่ นด้วย ไม่สู้อาศัยอยู่สักสองสามปี รอจนเจอเรือนที่เหมาะสมแล้วค่อยย้ายไปก็ไม่สาย”
หลังจากเหตุการณ์ขององค์ชายสี่ พระพลานามัยของฮ่องเต้ก็มิเท่าแต่ก่อน ตอนนี้หวงไท่ ซุนสําเร็จราชการแทนพระองค์ เลื่อนขั้นโจวเจิ้นเป็นเจ้ากรมพระราชยานหลวงขั้นสาม หลังพ้น เดือนหนึ่งก็จะมาถึงเมืองหลวงรับตําแหน่งแล้ว
โจวเสาจิ่นนึกถึงสิ่งของที่ฝังไว้ใต้เรือนหลัก
5473
หากมีคนมาเป็นแขกที่บ้านเป็นครั้งคราวก็ยังพอว่า แต่ถ้าเกิดพักอยู่ในเรือนหลัก แล้วเห็น ร่องรอยจะทําอย่างไรดีนะ
นางตอบยิ้มๆ ว่า “รอฟังความเห็นของท่านพ่อเถอะเจ้าค่ะ!”
ด้วยอุปนิสัยของหลี่ซื่อ เป็นไปได้ว่าจะไม่อาศัยอยู่ที่บ้านของนาง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังอยากจะโน้มน้าวอีก แต่มีสาวใช้เด็กวิ่งเข้ามา กล่าวอย่างกระหืด กระหอบว่า “พ่อบ้านหลี่ท่านหนึ่งที่ปรนนิบัติข้างกายนายท่านของตระกูลสะใภ้มาถึงแล้ว บอกว่า อีกสองชั่วยามนายท่านกับฮูหยินก็จะมาถึง อยากจะเร่งมาให้ทันเป็นของขวัญวันครบรอบร้อยวัน ของคุณชายรองเจ้าค่ะ!”
“ไอ้โหยว! นี่ช่างเป็นการพูดถึงเฉาเฉ่าเฉาเฉ่าก็โผล่มาจริงๆ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรีบเรียกสาว ใช้เข้ามาปรนนิบัติผลัดอาภรณ์ อวิ้นเกอเอ๋อร์กับเทาเกอเอ๋อร์จะได้พบท่านตาเป็นครั้งแรก พวก หญิงรับใช้ที่ปรนนิบัติข้างกายแต่ละคนต่างแต่งตัวเด็กทั้งสองคนให้เรียบร้อย ส่วนโจวเสาจิ่นต้อง ตระเตรียมเรือนพักแขก โจวชูจิ่นบอกให้บ่าวหญิงที่ติดตามมาด้วยไปแจ้งเลี่ยวเส้าถัง ทุกคนจัด ทุกอย่างอย่างเร่งรีบจนแล้วเสร็จ จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็นําไปยังประตูซีจื๋อ
ยังดีที่พวกนางมาถึงเร็ว ทุกคนนั่งในรถม้าถือเตาอุ่นมือรอโจวเจิ้นและคนอื่นๆ ข้างๆ มีเสียงรํ่าไห้ของสตรี โจวเสาจิ่นเลิกผ้าม้านขึ้นมองข้างนอก ปรากฏว่ามีคนคุมส่งบ่าวหญิงที่ถูกขาย โจวเสาจิ่นชําเลืองมองทีหนึ่งแล้วปล่อยม่านลง
5474
ซางมามาที่ติดตามมาด้วยมองตาม แล้วประหลาดใจยิ่งนัก ไม่คาดคิดว่าผู้ที่อยู่หัวขบวนจะเป็นบุตรสาวบุญธรรมของเฉินลี่ที่แต่งให้กับเฉิงลู่ผู้นั้น เฉินลี่ถูกโบยจนตาย
ว่านถงและคนอื่นๆ ย่อมไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงตระกูลถูกยึดทรัพย์แต่อย่างใด เรื่องของเฉิงลู่ก็ถูกขุดขึ้นมาแจ้งเจ้าหน้าที่ การศึกษาทางด้านนั้น เฉิงลู่ถูกริบยศอีกครั้ง เนรเทศไปซีหนิงเว่ย
นายท่านสี่ได้จัดเตรียมให้เจ้าหน้าที่เหล่านั้นที่อยู่ระหว่างทาง ‘ดูแล’ เฉิงลู่ให้ดี
แต่นึกไม่ถึงว่าเฉินซื่อเองก็จะมีจุดจบเช่นนี้ด้วย นางส่ายศีรษะ เห็นโจวเสาจิ่นไม่สนใจก็มิได้บอกนาง
เห็นเฉินซื่อผู้นั้นสวมเสื้อนวมเก่าตัวหนึ่งคลุมตัว ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงใบหน้ามอมแมม ขณะถูกพ่อค้าเหล่านั้นไล่ตะเพิดออกไปจากพวกเขา เงาร่างค่อยๆ เลือนหายไปในสายลมหนาว
……….(จบบริบูรณ์)……….