ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 74 วันเกิด
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยไปทางทิศตะวันตก
โจวเสาจิ่นคัดได้หกหน้ากระดาษในครั้งเดียวโดยไม่พัก
นางลูบหัวไหล่ที่ปวดเมื่อยเล็กน้อยอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ปี้อวี้ยกแตงหวานเดินเข้ามา “เสี่ยวถานบอกว่าท่านมา ข้ายังไม่อยากจะเชื่อ คิดไม่ถึงว่าท่านจะคัดพระธรรมอยู่ในห้องพระจริงๆ ข้าเห็นท่านคัดอย่างตั้งอกตั้งใจ ก็เลยไม่ได้รบกวนท่าน ส่วนนี่คือแตงหวานที่เพิ่งผ่ามาสดๆ ใหม่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าตั้งใจเก็บลูกนี้เอาไว้ ยังไม่เคยแช่ให้เย็นในน้ำบ่อมาก่อน ท่านลองชิมดูเจ้าค่ะ!”
อยู่ด้วยกันมาหลายเดือน คนที่เรือนหานปี้ซานต่างก็รู้นิสัยของโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ ใช้โอกาสนี้สำรวจสีหน้าของปี้อวี้ครู่หนึ่ง
นางยังคงพูดคุยอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ต่างไปจากในเวลาปกติ
เป็นเพราะสาวใช้ของเรือนหานปี้ซานทั้งหมดล้วนถูกฝึกฝนมาให้สามารถอดกลั้นและเก็บอาการได้ หรือเป็นเพราะเดิมทีนางไม่รู้อยู่แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่เรือนหลักกันแน่?
โจวเสาจิ่นพึมพำอยู่ในใจ ได้ชุนหว่านช่วยล้างมือ และรั้งให้ปี้อวี้อยู่ทานแตงหวานด้วยกัน
“ไม่ได้เจ้าค่ะ” ปี้อวี้ยิ้มพลางกล่าวปฏิเสธอย่างสุภาพ “ฮูหยินของหลินเจี้ยวอวี้มา ฮูหยินผู้เฒ่าทางโน้นยังต้องการคนไปช่วยให้การรับใช้เจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นค่อนข้างประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึงอยู่เล็กน้อย
นับตั้งแต่ฮูหยินของหลินเจี้ยวอวี้ช่วยพูดแทนเฉิงสวี่ไปเมื่อครั้งงานวันเกิดของเฉิงซวี่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองเป็นต้นมา ฮูหยินของหลินเจี้ยวอวี้ก็ใกล้ชิดสนิทสนมกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวขึ้นมา ในระยะเวลาเพียงสามถึงสี่เดือน ฮูหยินของหลินเจี้ยวอวี้มาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้สามครั้งแล้ว เกือบจะเป็นเดือนละครั้งเลยด้วยซ้ำ
ปี้อวี้ยิ้มพลางกล่าว “ฮูหยินของหลินเจี้ยวอวี้มาด้วยเรื่องของน้องชายของตนเองที่บ้านเดิมเจ้าค่ะ น้องชายของนางกับนายท่านสี่เป็นสหายร่วมชั้นกัน สอบได้เป็นบัณฑิตซู่จี๋ซื่อ ดูแลเรื่องต่างๆ ในกรมโยธาธิการ ได้เข้าศึกษาในปีนี้ ตามหลักแล้ว ในเดือนหกของปีนี้ควรจะได้รับการแต่งตั้งออกไปแล้ว แต่จนถึงตอนนี้น้องชายของนางก็ยังคงอยู่ในสำนักฮั่นหลินอยู่ จึงอยากจะขอความช่วยเหลือจากนายท่านใหญ่ ดูว่าจะสามารถช่วยหาตำแหน่งให้น้องชายของนางสักตำแหน่งได้หรือไม่”
เรื่องราวในราชสำนักเป็นเรื่องของเส้นสาย บางครั้งเจ้าไม่อาจรู้ได้แน่ชัดเลยว่าใครมีความสัมพันธ์กับใครบ้าง
คนที่มาขอความช่วยเหลือจากเลี่ยวเส้าถังในปีนั้นก็มีไม่น้อย นางจึงไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แปลก
เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวทราบแล้วว่านางคัดพระธรรมอยู่ในห้องพระ หลังจากที่ทานแตงหวานเสร็จแล้ว โจวเสาจิ่นนั่งอยู่อีกสักพัก จนคำนวณว่าฮูหยินของหลินเจี้ยวอวี้น่าจะกลับไปแล้ว นางจึงไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เรือนหลัก
ฮูหยินของหลินเจี้ยวอวี้กลับออกไปแล้วตามที่คาด ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีสีหน้าที่สงบ ดูไม่ออกเลยว่าเคยโมโหโกรธาเป็นอย่างมากในช่วงบ่ายมาก่อน
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “อากาศร้อนจนเกินไป ทำให้จิตใจไม่สงบสุข ข้าก็เลยมาคัดพระธรรมเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าว “เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นผู้ที่มีปัญญาโดยกำเนิด” ยังกล่าวอีกว่า “หากเจ้าอยากจะมาก็มาเถอะ ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร อย่างไรเสียคัมภีร์เหล่านั้นก็มอบหมายให้เจ้าแล้ว รอให้เจ้าคัดเสร็จ พวกเราจะไปที่เขาผู่ถัว นำทั้งหมดไปถวายที่วัดฝาอวี่”
เขาผู่ถัวอยู่ใกล้กับโจวซาน
โจวเสาจิ่นงงงวย กล่าวขึ้นว่า “ท่านจะไปเมืองหังโจวหรือเจ้าคะ”
โจวซานเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหังโจว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางกล่าว “ไม่ใช่ข้า เป็นพวกเราต่างหาก ถึงเวลานั้นข้าจะพาเจ้าไปด้วย”
โจวเสาจิ่นตกตะลึง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะลั่นขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “อ่านหนังสือหมื่นเล่ม ไม่สู้เดินทางพันหลี่ ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้านี้ เคยเดินทางรอบเจียงหนานกับท่านพ่อของข้ามาแล้วรอบหนึ่ง พวกเจ้าในตอนนี้…ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างให้การยอมรับว่า ‘สตรีที่ปราศจากความสามารถคือความดีงาม’ มีครอบครัวชนชั้นกลางบางส่วนในสมัยนี้ ถึงกับไม่ให้เด็กสาวได้เรียนเขียนอ่าน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่…”
โจวเสาจิ่นมีชีวิตมาสองชาติภพ ก็ยังไม่เคยออกจากบ้านไปไกลขนาดนี้
นางพลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ข้า…ข้าสามารถติดตามไปกับท่านได้จริงๆ หรือเจ้าคะ”
“แล้วเจ้าอยากไปหรือไม่” ราวกับว่าอารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่าดียิ่งอย่างไรอย่างนั้น ยิ้มตาหยีขณะที่เอ่ยถามนาง
โจวเสาจิ่นพยักหน้าไม่หยุด “อยากไปเจ้าค่ะๆ ข้าได้ยินคนพูดกันมาตั้งนานแล้วว่า ผู้คนที่เมืองหังโจวจะไปสักการะพระพุทธองค์ที่วัดผู่ถัวทุกๆ วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือนหนึ่ง…ข้าไม่คิดมาก่อนว่าในชีวิตที่เหลือนี้จะได้ไปที่นั่นสักครั้งหนึ่ง…”
“เด็กน้อย อายุเพิ่งจะเท่าไหร่เอง กล้าพูดคำว่า ชีวิตที่เหลือ แล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มพลางกล่าว “เช่นนั้นปีนี้เจ้าก็คัดพระธรรมให้เสร็จ แล้วพวกเราค่อยไปตอนเริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า”
รอยยิ้มของโจวเสาจิ่นหลั่งไหลออกมาทางสายตาไม่หยุด
ซึ่งไม่เหมือนกับรอยยิ้มในยามปกติที่แฝงเอาไว้ด้วยความระแวดระวังอยู่หลายส่วนหรือเป็นรอยยิ้มเพื่อเข้าสังคม แต่มันงดงาม สว่างไสว และยังแฝงเอาไว้ด้วยความคาดหวังและความอ่อนหวานอยู่หลายส่วน เสมือนกับเด็กน้อยที่อยู่ๆ ก็ได้รับลูกกวาดที่ไม่อาจลืมเลือน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดถอนหายใจไม่ได้
เด็กคนนี้ก็เป็นเด็กที่น่าสงสารผู้หนึ่ง!
นางให้ปีอวี้ไปห่อขนมกล่องหนึ่งมาให้โจวเสาจิ่น “เอากลับไปค่อยๆ กิน!”
โจวเสาจิ่นรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
ข้างในกล่องขนมกล่องนั้นล้วนเป็นขนมหวานทั้งหมด
แต่นางสามารถรับรู้ได้ถึงความห่วงใยอย่างจริงใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
นางย่อเข่าลง ทำความความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างตั้งใจทีหนึ่ง จากนั้นถือกล่องขนมกลับเรือนหว่านเซียง
ถึงแม้จะเป็นเพียงกล่องขนมกล่องหนึ่ง แต่อย่างไรเสียก็เป็นของที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมอบให้ ซึ่งก็ยืนยันได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวพึงพอใจในตัวโจวเสาจิ่น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนดีใจเป็นอย่างมาก เปิดกล่องขนมและดูอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าด้านในยังมีขนมจากในวังอย่างเค้กถั่วซิ่งเหรินและเค้กเหลืองทำจากแป้งถั่วลันเตาเป็นต้น จากนั้นให้โจวเสาจิ่นนำกล่องขนมไปเก็บให้ดีด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พลางกล่าว “หากเจ้ามีเวลาว่าง ก็ทำผ้าโพกศีรษะเหมือนกับที่ทำให้ข้าผืนนั้นให้ฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสักผืนหนึ่ง”
“แต่ตระกูลเฉิงมีโรงตัดเย็บเป็นพิเศษอยู่แล้ว…” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างลังเล “ข้ากลัวว่าตนเองจะทำขายหน้าต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญเจ้าค่ะ!”
“ไร้สาระ” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มพลางกล่าวอย่างดุๆ ว่า “งานฝีมือที่สุกใสขนาดนั้น ข้าเห็นแล้วยังเสียดายที่จะเอามาสวมใส่ กะเอาไว้ว่าค่อยเอาออกมาสวมในช่วงเทศกาลปีใหม่ ฮูหยินผู้เฒ่าต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน”
ต่างคนก็ต่างแสดงน้ำใจของตน
โจวเสาจิ่นขานรับ จากนั้นเล่าเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวต้องการไปสักการะพระที่เขาผู่ถัวให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนฟังแล้วรอยยิ้มค่อยๆ เจื่อนลง ขมวดคิ้วขึ้นอย่างช้าๆ ครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้กล่าวอะไร
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงรอคอยอย่างใจเย็นอย่างแทบจะหยุดหายใจ
พักใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงเหมือนกับได้สติกลับมา หัวเราะขึ้นมาและกล่าวกับนางว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ตั้งใจคัดพระธรรมดีๆ แล้วปีหน้าก็ลองออกไปเปิดหูเปิดตากับฮูหยินผู้เฒ่าสักครั้งหนึ่ง”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางขานตอบ “เจ้าค่ะ” และเอ่ยถามขึ้นว่า “แล้วต้องบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อของข้าหรือไม่เจ้าคะ”
“ย่อมต้องบอกพ่อของเจ้าอยู่แล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวยิ้มๆ “แต่ยังไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อนในตอนนี้ รอให้เรือนหลักกำหนดวันที่แน่นอนออกมาก่อน แล้วค่อยเขียนจดหมายไปบอกพ่อของเจ้าก็ยังไม่สาย”
โจวเสาจิ่นถือโอกาสนี้เอ่ยถึงเรื่องที่กลับบ้านเดิมตระกูลโจวเมื่อคราวเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างขึ้นมา “…หากไม่ใช่เพราะข้าได้พบกับมามาที่เคยรับใช้ท่านแม่ของข้าในอดีต ข้าก็ยังไม่รู้ว่าตระกูลจวงมีบ้านอยู่ติดกับจวนของพี่ชายลู่ที่ถนนกวนเจียอยู่หลังหนึ่ง และยังขายให้กับพี่ชายลู่แล้วด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย สีหน้ามีความสับสนงงงวยสายหนึ่งวาบผ่าน กล่าวขึ้นว่า “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วตระกูลเฉิงรู้หรือไม่ว่านั่นคือบ้านของตระกูลจวง เป็นนายท่านไป่ซื้อมาหรือเปล่า แล้วพ่อของเจ้ารู้เรื่องหรือไม่”
ดูแล้ว ท่านยายไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ไม่แปลกใจที่ชาติก่อนเฉิงลู่สามารถกระทำจนสำเร็จ!
โจวเสาจิ่นตัดสินใจที่จะไม่บอกท่านยายในตอนนี้
เรื่องบางอย่าง นางต้องแก้ไขด้วยตัวเอง หากแก้ไขไม่ได้ ค่อยขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ก็ยังไม่สาย
“ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างบังเอิญยิ่งนัก” นางหัวเราะร่าพลางกล่าว “ก็เลยเอามาเล่าให้ท่านยายฟังเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ซื่อเอ๋อร์เข้ามาถามว่าจะให้ตั้งโต๊ะอาหารที่ไหน
หัวข้อสนทนาจึงถูกขัดจังหวะ
จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับโจวเสาจิ่นต่างก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
หลังจากรับมื้อเย็นเสร็จแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเชิญเฉิงเหมี่ยนมาพูดคุยด้วย “…วันนี้เสาจิ่นบอกกับข้าว่า ฮูหยินผู้เฒ่าจวนหลักอยากไปสักการะองค์พระโพธิสัตว์ที่เขาผู่ถัว ยิ่งอยู่นางก็ยิ่งเลื่อมใสสิ่งเหล่านี้ ข้ากลัวว่าจวนหลักกับจวนรองอาจจะแตกหักกัน เจ้านำทรัพย์สินของจวนมาตรวจสอบดูสักรอบ ซื้อที่นาเพิ่มอีกสักหน่อย ส่วนกิจการด้านนอกนั้น อะไรที่ปล่อยได้ก็ปล่อยออกไป อย่าโลภจนกล้ำกลืนไม่ได้”
เฉิงเหมี่ยนขานตอบด้วยความระมัดระวัง สีหน้าค่อนข้างหนักอึ้ง
ทว่าโจวเสาจิ่นนั้นกลับเรือนไปเขียนจดหมายให้บิดาฉบับหนึ่ง
ชีวิตของนางรวมกันสองชาติภพ นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางเขียนจดหมายให้บิดาเป็นการส่วนตัวโดยลำพัง
ในจดหมาย นางกล่าวขอบคุณหลี่ซื่อสำหรับเงินส่วนตัวที่นางให้มาเป็นลำดับแรก จากนั้นบอกบิดาว่ากำลังเตรียมทำชุดสำหรับฤดูหนาวให้เขาอีกสองสามชุด ถามเขาว่าเขามีสีหรือเนื้อผ้าที่ชื่นชอบเป็นพิเศษหรือไม่ จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เฉิงลู่ซื้อบ้านที่ถนนกวนเจียให้เสมือนกับเป็นเรื่องขำขันให้บิดาฟัง…
เช้าตรู่วันต่อมา ภรรยาของหม่าฟูซานก็เข้ามาที่จวนและนำจดหมายออกไป
โจวเสาจิ่นมองเงาหลังของภรรยาของหม่าฟู่ซานที่ไกลออกไป ถอนหายใจยาวๆ ออกมาลมหายใจหนึ่ง รู้สึกราวกับจิตใจที่ถูกแขวนเอาไว้ในหลายวันมานี้ สุดท้ายก็ได้วางลงเสียที
เฉิงเจียมาหาโจวเสาจิ่น “ที่เจ้าบอกว่าสามารถทำให้พานชิงเสียหน้าได้นั้น เตรียมการว่าจะทำอย่างไรกันแน่หรือ”
นางถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก สวมเอาไว้เพียงชุดด้านในที่ทำจากผ้าไหมหังโจวตัวหนึ่ง เอนตัวนอนอยู่บนตั่งไม้ไผ่ในห้องพลางให้ชุ่ยหวนโบกพัดไปมาให้นาง
โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าคิดว่านางนั้นรักหน้าตาเป็นอย่างยิ่ง แต่บางครั้งก็อดที่จะเกิดโทสะอย่างห้ามไม่อยู่เช่นเดียวกัน” จากการที่นางได้รับมือกับอู๋เป่าจางก็พอจะมองออก กล่าวคือ เนื่องจากถือว่าเป็นเจ้าภาพด้วยครึ่งหนึ่ง ตอนที่โจวเสาจิ่นผลักปัญหาไปให้นางนั้น นางควรจะใจกว้างสักหน่อย ไว้หน้าให้อู๋เป่าจางบ้างถึงจะถูก แต่เพราะนางไม่เห็นอู๋เป่าจางอยู่ในสายตาอยู่แล้ว จึงเหยียบอู๋เป่าจางให้จมฝ่าเท้าอย่างอดใจไม่อยู่ ถึงกับทำให้อู๋เป่าจางขึ้นมาไม่ได้อีก “หากว่าถึงเวลานั้นมีน้ำชาราดไปที่บนตัวของนาง หรือไม่ก็จัดที่นั่งไม่ดี…จากอารมณ์ของนางแล้ว อดทนได้ครั้งหนึ่ง อาจจะอดกลั้นไม่ได้ในครั้งที่สอง ขอเพียงนางเปิดเผยออกมาท่ามกลางสายตาของผู้อาวุโสทั้งหลาย ด้วยความทะเยอทะยานอยากเป็นที่หนึ่งของนางแล้ว ย่อมไม่อาจอยู่ที่ตระกูลเฉิงต่อไปได้อีก…โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีฮูหยินหยวนอยู่ด้วย…”
เฉิงเจียได้ยินแล้วก็กระฉับกระเฉงขึ้นมา ‘กระโดด’ โหยงปีนขึ้นมา ปรบมือพลางกล่าวขึ้นว่า “ความคิดนี้ของเจ้าดียิ่ง! เมื่อถึงเวลาที่พวกเราสบโอกาสทำตามแผน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้นาง เผย ออกมาต่อหน้าท่านป้าสะใภ้สักครั้งให้ได้…” นางหัวเราะคิก ราวกับว่าได้เห็นท่าทางเสียหน้าของพานชิงจริงๆ “เพื่อเข้าร่วมงานวันเกิดของนายหญิงผู้เฒ่าแล้ว หลายวันนี้นางวุ่นวายอยู่กับการเตรียมเสื้อผ้าและเครื่องประดับ…ถึงเวลานั้นเสื้อผ้าที่นางอุตส่าห์เตรียมมาอย่างตั้งใจนั้นสวมใส่ไม่ได้ ข้าก็ไม่เชื่อแล้วว่านางจะสามารถอดทนอดกลั้นไว้ได้…”
“แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่นางสามารถอดทนอดกลั้นเอาไว้ได้” โจวเสาจิ่นสร้างเหตุการณ์สมติแก่เฉิงเจีย “บางทีฮูหยินหลายๆ ท่านจะชื่นชมนางว่ามีน้ำใจก็เป็นได้ ในกรณีเช่นนั้นเจ้าจะต้องไม่โมโหโกรธาอย่างโง่เขลาเสียเอง ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นตนเองขุดหลุมให้ตนเองตกลงไปเสียแล้ว”
เฉิงเจียถูกำปั้นกับฝ่ามือของตนอย่างกระตือรือร้น พร้อมกล่าวรับปากว่า “หากข้าถูกท่านแม่ของข้าตำหนิ ไม่รู้ว่าพานชิงจะยินดีปรีดาอยู่ในใจขนาดไหน! เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้มิตรต้องเสียใจแล้วศัตรูได้ยินดีอย่างแน่นอน!”
โจวเสาจิ่นเห็นท่าทางของนางแล้ว ก็กลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่
เฉิงเจียไม่คิดเช่นนั้น นางวิ่งมาปรึกษาเรื่อง ‘อุบัติเหตุ’ ทุกเรื่องกับโจวเสาจิ่นทุกวัน
โจวเสาจิ่นคิดว่า ต่อให้เมื่อถึงเวลานั้นแล้วพานชิงไม่อยากจะโกรธเกรี้ยว แต่ถ้าถูกยั่วยุด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เกรงว่าสีหน้าก็คงจะไม่สู้ดีเหมือนกัน
รอจนกระทั่งถึงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากวนในวันที่ห้าเดือนเจ็ด ฟ้าไม่ค่อยสว่างดีนัก โจวเสาจิ่นและพี่สาวต่างก็สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เพิ่งจะทำขึ้นมาตอนที่โจวเสาจิ่นกลับมามีชีวิตอีกครั้งช่วงนั้น แต่งหน้าแต่งตาอย่างสะอาดและเรียบร้อย แล้วไปที่เรือนเจียซู่
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเพิ่งจะตื่นนอน แต่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยน เฉิงเก้าและเฉิงอี้ต่างก็มาถึงกันแล้ว
เฉิงเก้าเห็นโจวเสาจิ่นสวมชุดเพ่ยจื่อสีงาช้างไร้ลวดลายตัวหนึ่ง ทว่าที่ด้านขวาของปกเสื้อตอนหน้ากลับปักเอาไว้ด้วยก้อนหินทรงประหลาดสองก้อน ดอกกล้วยไม้หนึ่งกอ และผีเสื้ออีกสองตัว ก้อนหินทรงประหลาดนั้นขรุขระ ดอกกล้วยไม้นั้นอยู่อย่างกระจัดกระจาย และผีเสื้อก็กระพือปีกเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวา ทว่าเป็นภาพดอกกล้วยไม้ที่พบเห็นได้น้อยภาพหนึ่ง เขาอดที่จะมองให้นานอีกสักหน่อยอย่างช่วยไม่ได้
สายตาของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกลับตกอยู่บนร่างของโจวชูจิ่น
นางสวมชุดเพ่ยจื่อสีเหลืองของต้นหลิวตัวหนึ่ง และกระโปรงจีบหม่าเมี่ยนสีเขียวเข้มมันวาว ชุดเพ่ยจื่อนั้นไร้ลวดลาย ทว่าบนกระโปรงจีบหม่าเมี่ยนกลับตัดขอบด้วยผ้าไหมเลี่ยมทองกว้างหนึ่งฉื่อ บนขอบผ้าไหมเลี่ยมทองนั้นปักเอาไว้ด้วยดอกบัวสีชมพู ดอกสายน้ำผึ้งสีขาว ดอกฝ้ายสีแดงกุหลาบ ดอกเสาวรสสีเขียวต้นหลิว สีสันสดในสวยงามเป็นอย่างยิ่งทว่ากลับไม่ฉูดฉาดจนเกินไป ในทางกลับกันให้ความรู้สึกหรูหราและสูงส่ง ส่งเสริมให้โจวชูจิ่นยิ่งดูภูมิฐานและสง่างามมากยิ่งขึ้น
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “นี่เป็นชุดที่เสาจิ่นทำขึ้นมาหรือ”
……………………………………………………………………………..