ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่492 ปมในใจ
เฉิงฉือพลันเข้าใจความหมายของโจวเสาจิ่นในทันที
เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
จากมุมมองของเขาแล้ว ความต้องการอาหารและอารมณ์ทางเพศนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ
ไม่มีอะไรต้องรู้สึกอับอาย
เขาคิดไม่ถึงว่านางจะระมัดระวังตัวแม้กระทั่งกับแม่สามี
หรือว่านางจะระมัดระวังตัวกับคนปรนนิบัติรับใช้ข้างกายด้วย?
เฉิงฉือหอมแก้มนางเบาๆ กล่าวเสียงเบาว่า “เรื่องข้างกายเจ้าให้ฝานมามาช่วยดูแล ส่วน
เรื่องภายในเรือนให้ซางมามาช่วยดูแล เจ้าเห็นว่าเป็นอย่างไร”
โจวเสาจิ่นคิดว่าเช่นนี้ดียิ่ง
เดิมทีฝานมามาก็มิใช่คนเก่งกาจขนาดนั้น เพื่อนางแล้วชาติก่อนนางจึงไม่มีทางเลือก
จําต้องลุกขึ้นมาบังลมบังฝนให้นาง ชาตินี้หากอยู่สบายๆ สักหน่อยได้เหตุใดไม่อยู่สบายๆ สัก
หน่อยเล่า นอกจากนี้ซางมามาผู้นั้นมิใช่คนธรรมดาทั่วไป ซื่อหลางจัดการเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลของ
เขา
นางพยักหน้าอย่างว่าง่าย
เฉิงฉือประคองดวงหน้าของนางเอาไว้จุมพิตไปอีกครู่ใหญ่ ถึงได้กระซิบกล่าวขึ้นว่า “เจ้า
เองก็ล้างหน้าล้างตาเถอะ พวกเราไปพบท่านแม่กัน”
โจวเสาจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
นางกลัวเหลือเกินว่าหากเฉิงฉือยังทําต่อไปจะเกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นอีก
4575
ไม่รอให้เฉิงฉือลงจากเตียง นางก็รีบสวมรองเท้าเสร็จแล้ว
ทําให้เฉิงฉือหัวเราะออกมาอย่างเบิกบานใจอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งสองคนพิรี้พิไรอยู่ในห้องกว่าครู่ใหญ่ จากนั้นไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตื่นขึ้นมาก็ได้รับข่าว บอกว่าเฉิงฉือกลับมาแล้ว โดยกลับไปที่เรือนหลัก
ก่อน
การหวนพบหลังลาจากหอมหวานกว่าแต่งงานใหม่
แต่เรื่องที่จี่หนิงก็เป็นเรื่องใหญ่
นางไม่ค่อยแน่ใจว่าบุตรชายจะไปอยู่กับภรรยาก่อนแล้วค่อยมาพูดคุยเรื่องจี่หนิงกับนาง
หรือว่าจะมาพูดเรื่องจี่หนิงกับนางก่อนแล้วค่อยไปอยู่กับภรรยาทีหลัง…จึงลุกจากเตียงอย่างไม่รีบ
ร้อน ขณะกําลังนั่งอยู่หน้าคันฉ่องให้เฉินเซียงช่วยเกล้าผมให้อยู่นั้น เจินจูก็เดินเข้ามาอย่างยิ้ม
แย้ม กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่และฮูหยินสี่มาแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้ายิ้มๆ อย่างห้ามไม่อยู่
เวลาสั้นเพียงแค่นี้ เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองคนจะได้ทําอะไรกัน
ปีนขึ้นมาจากดินแดนแห่งความรักความอบอุ่นได้ นั่นจึงจะเป็นคนทําการใหญ่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรีบกล่าว “รีบเชิญพวกเขาเข้ามา อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ ระวังจะหนาว
จนแข็งได้”
นํ้าเสียงเผยความยินดีออกมาอย่างอดไม่อยู่
เจินจูขานรับคํายิ้มๆ ไปเชิญโจวเสาจิ่นและเฉิงฉือเข้ามา
4576
เห็นบุตรชายสวมชุดผ้าฝ้ายเรียบรื่นสีนํ้าเงินไพลินกลางเก่ากลางใหม่ เส้นผมเกล้าอย่าง
เป็นระเบียบเรียบร้อย ใบหน้าสะอาดสะอ้าน เป็นการแต่งกายยามอยู่บ้าน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงรู้ว่า
บุตรชายได้ล้างหน้าล้างตามาแล้วเรียบร้อย ในใจจึงยิ่งเบิกบานมีความสุขมากขึ้น แล้วก็มองโจว
เสาจิ่น เกล้าผมขึ้น สวมเสื้อสีชมพูและกระโปรงแปดจีบสีเขียวเข้ม ยืนอยู่ข้างกายบุตรชายด้วย
ดวงหน้างามพริ้ง มองแล้วราวกับคนแกะสลักคู่หนึ่ง รอยยิ้มยินดีของฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงเผยออกมา
บนใบหน้าอย่างควบคุมไม่อยู่ ชี้ให้บุตรชายนั่งเก้าอี้มีเท้าแทนข้างๆ ทว่ากวักมือเรียกโจวเสาจิ่นมา
นั่งข้างกายนางแทน
เช่นนี้โจวเสาจิ่นจึงนั่งสูงกว่าเฉิงฉือ
นางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ครอบครัวเดียวกัน ไม่จําเป็นต้องพิถีพิถันมากมายขนาด
นั้น” จากนั้นถามเฉิงฉือเกี่ยวกับเรื่องที่จี่หนิงขึ้นมา “ตกลงเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่ พี่ใหญ่
ของเจ้าช่วยแก้ตัวให้คนหนึ่ง ขุนนางใหญ่ซ่งช่วยแก้ตัวให้อีกคนหนึ่ง พี่รองของเจ้าก็ช่วยแก้ตัวให้
อีกคนหนึ่ง”
เฉิงฉือจึงเล่าว่าตนได้รับมอบหมายให้ไปเมืองจี่หนิงจากขุนนางใหญ่ซ่งอย่างไร แล้วก็ใช้
ความรุนแรงสยบความรุนแรงจนควบคุมขุนนางที่ก่อจลาจลเหล่านั้นได้อย่างไร ผู้บัญชาการของ
กองทัพที่จี่หนิงขี้ขลาดไม่กล้าออกหน้ามาจัดการอย่างไร เขาบีบบังคับเหล่าผู้บัญชาการรวมถึง
สํานักข้าหลวงของจี่หนิง ชิงผู่และที่อื่นๆ ให้ออกหน้ามาปลอบโยนคนงานอย่างไร และลงโทษขุน
นางอย่างไรบ้าง…ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและโจวเสาจิ่นฟังเขาเล่าหลังจากที่เรื่องจบสิ้นแล้วยังรู้สึกใจ
หายใจควํ่าเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์ในเวลานั้นเลย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนใจ ตบที่มือของโจวเสาจิ่นเบาๆ พลางกล่าว “โชคดีที่เจ้าจัดการได้
อย่างเหมาะสม พี่ชายของเจ้าและขุนนางใหญ่ซ่งต่างไปขอร้องคนอื่นๆ ให้ช่วยพูดให้เจ้าต่อหน้า
4577
พระพักตร์องค์ฮ่องเต้ ครั้งนี้เจ้าจึงตกใจไปบ้างแต่ก็ผ่านไปได้โดยไม่ได้รับอันตรายใด ต่อไปหาก
พานพบเรื่องเช่นนี้อีกจะอวดเก่งไม่ได้อีกแล้ว ต้องรู้ว่าเรื่องราวบนโลกใบนี้มิใช่ว่าใครคนหนึ่งพูด
แล้วก็ถือเป็นอันจบสิ้น แม้แต่องค์ฮ่องเต้ บางครั้งก็ยังต้องถูกควบคุมโดยสํานักราชเลขาธิการ
แม้แต่สํานักราชเลขาธิการ บางครั้งก็ยังต้องถูกควบคุมโดยสํานักพระราชวัง เรื่องพวกนี้ข้าไม่พูด
เจ้าเองก็เข้าใจดี เป็นขุนนางนั้นสิ่งที่สําคัญที่สุดคือต้องรู้ว่าจะสร้างสมดุลความสัมพันธ์เหล่านี้
อย่างไร ไม่อย่างนั้นเจ้าจะขยับตัวไม่ได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว ต่อให้อยากทําอะไรเพื่อปวงประชา ถึง
มีใจก็ไร้เรี่ยวแรง”
เฉิงฉือรับคําสั่งสอนอย่างนอบน้อม
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นบรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เอา
ละๆ ข้าแก่แล้ว หมดอายุแล้ว อนาคตเป็นชีวิตของพวกเจ้า อะไรที่มีเหตุผลก็ฟังเอาไว้ อะไรที่ไม่มี
เหตุผลก็ถือเสียว่าเป็นการครํ่าครวญโดยมิได้เจ็บป่ วยอะไรของแม่ผู้นี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องเก็บไปใส่
ใจ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกชื่นชมยิ่งนัก
ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ทว่าความคิดอ่านยังกระจ่างชัด สมองกระปรี้กระเปร่ายิ่งกว่า
คนอายุน้อยเหล่านั้นเสียอีก
นางอดนึกถึงมารดาของหลินซื่อเซิ่งผู้เป็นแม่สามีของนางในชาติก่อนขึ้นมาไม่ได้
เรื่องนอกบ้านนั้นหลินผู้แม่ไม่ให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย แต่เรื่องภายในบ้านกลับต้อง
เชื่อฟังนางทุกอย่าง โจวเสาจิ่นอยากกินกุ้งผัดใบชาหลงจิ่ง ในครัวหาวิธีไปทํามาจานหนึ่ง พอหลิน
ผู้แม่ทราบเรื่องแล้วก็ย่นหัวคิ้วต่อว่านางว่า ของแปลกประหลาดพรรค์นั้น ต่อไปอย่าได้คิดถึงของ
ไม่ได้เรื่องพวกนี้อีก
4578
ในความคิดของหลินผู้แม่นั้น อาหารของเมืองหลวงถึงจะเป็นอาหารที่ถูกต้องเหมาะสม
นึกถึงตรงนี้ ในใจของโจวเสาจิ่นเต้น ตึกตึก ครู่หนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
ชาติก่อน หลินผู้แม่เสียชีวิตในฤดูหนาวของปีที่สองหลังจากที่นางแต่งเข้าตระกูลหลินไป
ซึ่งก็หมายความว่า ในช่วงเวลานี้ของปีหน้า หลินผู้แม่จะป่วยเสียชีวิต
และหลินผู้แม่ป่วยเสียชีวิตด้วยสาเหตุมาจากไข้หวัดเล็กๆ น้อยๆ ครั้งหนึ่งเท่านั้น
นางควรจะบอกหลินซื่อเซิ่งสักคําถึงจะถูก
แต่นางจะบอกหลินซื่อเซิ่งได้อย่างไร
และนางก็ไม่อยากติดต่อกับคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่มากเกินไปด้วย
ชาติก่อน นางเคยอิจฉานางที่มีบุตรชายหญิง
ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจดีว่าความอิจฉานี้ของตนช่างไร้เหตุผล แต่นางก็คล้ายกับมีปมหนึ่งอยู่
ในใจ แค่คิดก็รู้สึกอึดอัดแล้ว
ตกกลางคืน นางพาดตัวอยู่บนร่างของเฉิงฉือกล่าวถึงเรื่องนี้
ทั้งที่เฉิงฉือทราบอุปสรรคในห้องหอของนางและเขาดี เหตุใดถึงคิดจะทําลายกําแพง
เมืองเพื่อแสวงความสุขชั่วขณะด้วย?
เขาสวมกางเกงเพียงตัวเดียว จับโจวเสาจิ่นถอดอาภรณ์จนเหลือแต่เอี๊ยมและกางเกง
ด้วยเช่นกัน กอดนางเอาไว้ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มพลางพูดคุยกัน
ร่างของโจวเสาจิ่นอ่อนยวบลงมาตามคาด
4579
เขาแอบกินเต้าหู้นางเป็นครั้งคราว นางเองก็ทําเพียงเบิกดวงตาที่ปกคลุมไปด้วยความ
ชุ่มชื้นคู่นั้นมองเขาด้วยดวงหน้าแดงอย่างน่าสงสารเท่านั้น
เฉิงฉือสูดลมหายใจเย็น ถึงได้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ‘กรรมตามสนอง’
ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะเย็นลงมาได้ โจวเสาจิ่นเอ่ยกับเขาเรื่องของตระกูลหลินขึ้นมา
“ลาภและเกียรติยศขึ้นอยู่กับสรวงสวรรค์” เฉิงฉือดอมดมกลิ่นหอมของลําคอนาง หยอก
ล้อเล่นนิ้วเรียวสวยของนาง กล่าวอย่างใจเลื่อนลอยเล็กน้อยว่า “คนจะมีอายุยืนยาวสักเพียงใด
นั่นล้วนเป็นพระยมเป็นผู้กําหนดความเป็นความตาย เป็นสิ่งที่เจ้าเข้าไปยุ่งได้หรือ เรื่องของ
ตระกูลหลิน เจ้าเคยสอดมือเข้าไปยุ่งมาก่อนครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ต้องสอดมือเข้าไปยุ่งอีกแล้ว”
โจวเสาจิ่นชอบนอนพาดอยู่บนตัวของเฉิงฉือเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง
ร่างกายของเขายามสวมใส่อาภรณ์นั้นยังมองอะไรไม่ค่อยชัดนัก ถอดเสื้อออกเช่นนี้กลับ
ดูแข็งแกร่งยิ่ง ลมหายใจก็หอมนัก…นางอยากให้เขากอดนางจนนอนหลับไป
ได้ยินเฉิงฉือกล่าวเช่นนั้น นางอดเอียงศีรษะน้อยๆ ไม่ได้ หาท่วงท่าที่ทําให้ตัวเองรู้สึก
สบายยิ่งขึ้นท่วงท่าหนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “เช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ อย่างไรเสียใต้เท้าหลินก็
ช่วยเหลือข้าไว้…”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เขาช่วยเจ้าเอาไว้ แต่เจ้าเองก็ทําให้คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ผู้นั้นได้
เป็นภรรยาที่แม้ไร้ศักดิ์
แต่เป็นที่รักของเขา เจ้าลองคิดดู นอกจากเจ้าแล้ว ยังจะมีผู้ใดให้เกียรติ
คุณหนูใหญ่มู่ผู้นั้นเช่นนี้อีก พวกเจ้าต่างเสมอกันแล้ว นี่ก็เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนประโยชน์กัน
เรื่องหนึ่งเท่านั้น ซึ่งทั้งสองคนต่างให้ความยินยอม ถ้าหากว่าเขามีความคิดอะไรไม่ดีกับเจ้า นั่น
ถึงจะนับว่าเป็นความผิดของเขา การที่เขาปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนี้ ถือว่าสมควรแล้ว นอกจากนี้
หลังจากที่กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งแล้วเรื่องแรกที่เจ้าทําคือช่วยเหลือตระกูลมู่ เป็นคนกลางให้
4580
พวกเขาทั้งสองได้ครองคู่กัน ต่อให้อยากตอบแทนบุญคุณ เจ้าเองก็ไม่ได้ติดค้างเขาแล้ว เจ้าลอง
คิดดู หากมิใช่เจ้า เขาจะได้แต่งกับคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่อย่างราบรื่นหลังจากที่ตระกูลมู่เกิดเรื่อง
หรือ สตรีของตระกูลมู่จะได้อยู่ปลอดภัยหรือ หากเจ้าไม่ช่วยเหลือเขา เขาจะหาคนที่ดีเหมือนเจ้า
ที่ช่วยซื้อตัวคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่กลับมาให้เขาได้จากที่ไหนกัน ผู้อื่นจะยอมทําใจเป็นเพียงภรรยา
ในนามให้เขาผู้หนึ่งได้อย่างไร…
…เจ้าอย่ายุ่งเรื่องของพวกเขาอีกเลย ถ้าหากทําให้พวกเขาตรวจสอบจนพบว่าเจ้ากําลัง
ช่วยเหลือพวกเขาอยู่ เจ้าจะอธิบายอย่างไร หากว่าเข้าใจเจ้าผิดขึ้นมา เจ้าจะอธิบายอย่างไร”
จริงด้วย!
นางช่วยหลินซื่อเซิ่งครั้งหนึ่งได้ ทว่าไม่อาจช่วยเขาไปตลอดชีวิตได้
แต่จะให้นางไม่ทําอะไรเลยทั้งๆ ที่รู้ว่าหลินผู้แม่จะเสียชีวิตด้วยไข้หวัดเล็กๆ น้อยๆ เพียง
ครั้งหนึ่งเท่านั้นนั้น หัวใจของนางดวงนี้ก็ยังคงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
แต่คําพูดของซื่อหลางก็มีเหตุผล
นางจะไม่เชื่อฟังซื่อหลางได้อย่างไร
เฉิงฉือเห็นสีหน้านางดูลังเล รู้ว่านางเสียใจ จึงถอนหายใจยิ้มๆ พร้อมกับขยี้เส้นผมนาง
กล่าวขึ้นว่า “ถึงเวลาก็เตือนพวกเขาสักครั้ง พวกเขาฟังแล้วเชื่อก็ดี แต่ถ้าไม่เชื่อเจ้าไม่อาจไปบีบ
บังคับได้ เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะๆ!” โจวเสาจิ่นขานรับอย่างลิงโลด อดไม่ได้ยื่นแขนที่ขาวยิ่งกว่าหิมะคู่
นั้นออกไปคล้องคอเฉิงฉือเอาไว้ หอมแก้มเฉิงฉือฟอดหนึ่ง
เฉิงฉือครางออกมาอย่างไม่พอใจ กล่าวขึ้นว่า “นี่เจ้าเอาใจข้าอย่างลวกๆ เช่นนี้น่ะหรือ”
4581
“เปล่าเสียหน่อย!” โจวเสาจิ่นขัดเขิน พึมพํากล่าว นึกถึงว่าก่อนหน้านี้ของพวกเขาล้วน
เป็นเฉิงฉือที่เป็นคนเริ่มก่อนทั้งสิ้น นางจึงหอมเฉิงฉือเบาๆ อีกครั้งหนึ่ง
ริมฝีปากอมชมพูนั่น คล้ายดอกไม้บนปลายยอดที่เบ่งบานเป็นดอกแรกในเช้าฤดูใบไม้ผลิ
อ่อนโยนนุ่มละมุน ประณีตงดงาม แฝงความขลาดอายเอาไว้เล็กน้อย
เลือดลมในกายของเฉิงฉือเดือดพล่านขึ้นมา
เขายิ้มอย่างขมขื่น
บางครั้งไม่อาจเป็นสุภาพบุรุษได้จริงๆ!
เขาและโจวเสาจิ่นประสานริมฝีปากกัน สํารวจของสงวนส่วนลับบนเรือนกายของนาง
อย่างแนบสนิทเสน่หา
โจวเสาจิ่นร้อนรุ่ม สั่นระริก กระตุก ครวญคราง สะอื้นเบาๆ…ความทรงจําแตกกระเจิง
เป็นชิ้นๆ จําได้แค่ว่าตนกอดลําคอของเขาเอาไว้แน่น กระซิบขอร้องวิงวอนที่ข้างหูของเขาว่าท่าน
อย่าทําเช่นนี้…ข้าทรมาน…ท่านรักข้าเลยได้หรือไม่…ขอร้องท่านอย่าทําเช่นนี้…
ราวกับว่าอยู่ในความทุกข์ทรมานที่ขอร้องวิงวอนแต่มิได้รับตอบกลับมาตลอดทั้งคืน
และก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนร้องขอนั้นคืออะไรด้วย
เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เฉิงฉือก็ไม่อยู่บนเตียงแล้ว
แต่ภายในม่านเตียงกลับไม่เหมือนกับยามปกติที่ต่อให้มีโคมไฟก็ยังแฝงไว้ด้วยความ
หนาวเหน็บหลายส่วน แต่ตอนนี้กลับมีความอบอุ่นที่อธิบายไม่ได้ประเภทหนึ่งไหลอบอวลอยู่
ภายในม่านเตียง
4582
นางห่มผ้าห่มเอาไว้ เอนกายนอนอย่างเรียบร้อย หมอนที่อยู่ข้างๆ อยู่ในสภาพสี่เหลี่ยม
เรียบร้อย คล้ายกับไม่เคยมีใครใช้งานมาก่อน
โจวเสาจิ่นนึกถึงเรื่องวิตถารเมื่อคืนขึ้นมา
หรือว่าจะเป็นความฝัน?
นางกัดฟัน ก้มหน้าลงอย่างกระวนกระวาย เปิดสาบเสื้อออกมองเข้าไป
เอี๊ยมสีชมพูดอกบัวคู่ยังห่อหุ้มความอวบอูมของนางเอาไว้อยู่
ยามสาบเสื้อถูไถส่วนยอดของนางล้วนทําให้นางรู้สึกเจ็บแปลบเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นสะดุ้งตัวโหยงหน้าร้อนผะผ่าว
หางตาเหลือบไปเห็นร่องรอยดอกไม้บานตรงกระดูกไหปลาร้า
โจวเสาจิ่นราวกับถูกมัดนิ้วมือเข้าไว้ด้วยกันก็ไม่ปาน คลายมือออกอย่างตื่นตระหนก ใช้
ผ้าห่มห่อตัวเองเอาไว้แน่น
ซื่อหลาง…นิสัยไม่ดี!
แม้นจะมิได้อะไรๆ กับนาง แต่การกระทําเหล่านั้น…นางไม่รู้จริงๆ ว่าจะมีรอยดอกไม้
มากมายขนาดนั้น…มิสู้รักนางเสียให้รู้แล้วรู้รอด…
โจวเสาจิ่นกัดริมฝีปาก พลางมองฝ้าเพดานสีเขียวครามลายดอกบัว ประเดี๋ยวก็หน้าแดง
ประเดี๋ยวก็หน้าอมชมพู กว่าครู่ใหญ่ถึงได้ถีบเตะผ้าห่มอย่างขุ่นเคือง ยกผ้าห่มขึ้นและลงจาก
เตียง นั่งค้นหีบที่บรรจุสินติดตัวของนางไปมา…กลับมีเสียงประหลาดใจของชุนหว่านดังขึ้นมา
จากด้านหลังว่า “ฮูหยิน นี่ท่านทําอะไร ท่านต้องการหาอะไรหรือ ท่านตื่นแล้วเหตุใดถึงไม่บอก
4583
พวกข้าสักคําเจ้าคะ” ขณะที่กล่าว ก็หยิบเสื้อคลุมผืนหนึ่งมาคลุมร่างของนางเอาไว้ กล่าวอีกว่า
“ฮูหยิน ท่านรีบกลับไปที่เตียงเถิด ต้องการหาอะไรเพียงบอกข้าก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
ไหล่ของโจวเสาจิ่นลู่ลงมา
นางต้องการหาหนังสือภาพกามสูตรที่ไม่รู้ว่าถูกนางเอาไปทิ้งไว้ที่ไหนเล่มนั้น…นางจะ
บอกชุนหว่านได้อย่างไร!