ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่493 พี่ ชายน้องชาย
โจวเสาจิ่นอับอายยิ่งนัก “อ้อ” ไปสองครั้ง กล่าวกับชุนหว่านอย่างลวกๆ ว่า “ก็ไม่มีอะไร
เพียงแต่ว่าสองวันก่อนเหมือนข้าจะเห็นมุขปาฐะเล่มหนึ่ง ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนเสียแล้ว”
ชุนหว่านกล่าวยิ้มๆ ว่า “ใช่ ‘บันทึกไข่มุกหวนคืน’ ที่ท่านอ่านเมื่อสองวันก่อนเล่มนั้น
หรือไม่ ข้าจําได้ว่าพวกข้าช่วยท่านเก็บหนังสือเล่มนั้นไว้ใต้โต๊ะบนเตียงเตา ข้าจะไปช่วยหามาให้
ท่านเดี๋ยวนี้…”
หนังสือเล่มนั้นมีอะไรน่าอ่านกัน!
บัณฑิตสอบได้จ้วงหยวนผู้หนึ่งเป็นที่ถูกใจของอัครเสนาบดีในรัชสมัยนั้น ต้องการขอเขา
ไปเป็นบุตรเขย เขาทั้งอยากได้ตําแหน่งอํานาจและทั้งกลัวเสียชื่อเสียง สุดท้ายภรรยาคนแรกและ
บุตรสาวของอัครเสนาบดีจึงทําตามแบบอย่างของพระธิดาเอ๋อร์และพระธิดาอิง276
1
คู่นั้น…นางอ่าน
ไปสองบทก็พลิกไปตอนจบแล้วทิ้งไว้ข้างๆ แล้ว
“มิใช่เล่มนั้น!” โจวเสาจิ่นกุเรื่องต่อไป “ข้าจําชื่อเรื่องไม่ได้แล้ว จําได้แค่ว่าเป็นหนังสือ
หน้าปกสีนํ้าเงินเล่มหนึ่ง…ช่างเถอะ เจ้าเองก็ไม่ต้องหาแล้ว ไม่แน่ว่าวันใดอาจจะโผล่ออกมาเองก็
เป็นได้!” ขณะที่กล่าว นางก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “นายท่านสี่เล่า เหตุใดถึงไม่เห็นเขา”
ชุนหว่ายิ้ม พลางกล่าว “นายท่านสี่ตื่นมาตั้งแต่เช้าตรู่และขี่ม้าออกไปกับท่านอาไหวซาน
แล้วเจ้าค่ะ ยังฝากฝังคําพูดเอาไว้ บอกว่าหากท่านตื่นแล้วเขายังไม่กลับมา ให้รับมื้อเช้าก่อนเลย
ไม่ต้องรอเขา ฮูหยิน ข้าเรียกหยวนหยวนและหมานหม่านมาเกล้าผมแต่งตัวให้ท่านดีหรือไม่”
นายท่านสี่กลับมาแล้ว ฮูหยินสี่ย่อมจะแต่งหน้าแต่งตัวดีๆ อย่างแน่นอน
1 พระธิดาเอ๋อร์และพระธิดาอิงมีสวามีคนเดียวกัน
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเล็กน้อย เลือกเสื้อเพ่ยจื่อสีม่วงอ่อนเหลือบทอง กระโปรงจีบกว้างสี
ชมพูปักลายดอกไม้แปดแฉกตรงปลาย ปักปิ่นไข่มุกใต้ขนาดใหญ่เท่าเม็ดบัว ดูผ่าเผยสง่างาม
และเผยความมีชีวิตชีวาของเด็กสาวออกมาหลายส่วน ชุนหว่านมองแล้วพยักหน้าไม่หยุด ยิ่งไม่
ต้องพูดถึงเฉิงฉือที่กลับมาจากด้านนอก ส่งแส้ม้าให้ชุนหว่านทว่ากล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “ให้คน
ตักนํ้าเข้ามา ข้าจะเปลี่ยนชุด!”
ความหมายก็คือเจ้ายังไม่รีบมาปรนนิบัติข้าเปลี่ยนอาภรณ์อีก
โจวเสาจิ่นหน้าแดงลุกขึ้นมา
พวกเขาแต่งงานได้เก้าวันเขาก็ไปจี่หนิงแล้ว เวลานั้นในบ้านยังมีแขกเหรื่ออยู่ หากมิใช่
ดูแลแขกเหรื่อพวกเขาก็นัวเนียกันอยู่บนเตียง ตัวติดกันแนบแน่นดั่งนํ้าผึ้งผสมอยู่ในนํ้ามัน จึงมิได้
พูดคุยถึงการอยู่ร่วมกันระหว่างสามีภรรยาเท่าไรนัก
วันนี้ต้องสงบใจลงมาใช้ชีวิตด้วยกันแล้ว ทว่านางกลับลืมเรื่องนี้ไปเสีย
โจวเสาจิ่นเดินไปหาเฉิงฉือ
เฉิงฉือเดินตรงไปยังห้องข้างที่เชื่อมกับห้องนอนเอาไว้
โจวเสาจิ่นรีบสาวเท้าตามเข้าไป
ห้องข้างกั้นเป็นสองส่วน ส่วนแรกเก็บเสื้อผ้าของนางและของเฉิงฉือที่สวมใส่บ่อยๆ อีก
ส่วนหนึ่งทําเป็นห้องอาบนํ้า
ตอนที่นางเข้าไปนั้นเฉิงฉือกําลังถอดเสื้อผ้าแล้ว
โจวเสาจิ่นรีบก้าวออกไปช่วย
กลับถูกเฉิงฉือกอดเอาไว้ในอ้อมแขน ก้มหน้าลงมากระซิบที่ห้างหูนางว่า “ยังปวดเนื้อ
ปวดตัวอยู่หรือไม่”
ทําเอาโจวเสาจิ่นหน้าแดงกํ่า
เมื่อวานเขามิได้รักนาง แต่เรื่องที่กระทําออกมานั้นทําให้คนอับอายยิ่งกว่ารักนางเสียอีก
ตื่นเช้าขึ้นมา ร่างของนางมีจุดเขียวบ้างม่วงบ้าง ทั้งหมดล้วนเป็นร่องรอยที่เขาทิ้งเอาไว้บนเรือน
ร่างของนางทั้งสิ้น นอกจากนี้นางรู้สึกอยู่รางๆ ว่า เหมือนจะเป็นความตั้งใจของเขา
“เมื่อวานข้าทําตัวไม่ดี!” เฉิงฉือกระซิบกล่าวขอโทษนางที่ข้างหูเสียงตํ่าลึก “นับตั้งแต่
วันที่ข้าออกเดินทางไป ข้าก็คิดถึงแต่เจ้าทุกวัน พอเห็นเจ้าอยู่ในอ้อมกอด ข้าก็เลยห้ามใจไม่อยู่ไป
ชั่วขณะหนึ่ง…” ขณะที่เขากล่าว ดวงตาก็เผยสายตาเสน่หาที่ใช้มองนางเมื่อคืนออกมา
โจวเสาจิ่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง
เขาคงไม่คิดจะ…อยู่ที่นี่เวลานี้หรอกกระมัง
นางนึกถึงที่เขาจงใจให้นางช่วยเปลี่ยนอาภรณ์ให้โดยเฉพาะ แล้วก็นึกถึงเมื่อก่อนที่เขา
มักจะช่วยเปลี่ยนชุดให้นางขึ้นมา…ในใจก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น
โจวเสาจิ่นหน้าร้อนผ่าว รีบผลักไหล่ของขาเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “อย่าทําเช่นนี้ อย่าทําตรงนี้
เจ้าค่ะ…” หากผู้อื่นมาเห็นเข้า ต้องอับอายตายเป็นแน่…
เฉิงฉือจึงกอดนางเอาไว้พลางหอมแก้มนางเบาๆ กระซิบกล่าวว่า “แล้วร่างกายของเจ้า
ยังปวดอยู่หรือไม่”
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นึกถึงว่าคืนนี้เขาอาจจะทําเช่นนั้นกับตนอีกก็เป็นได้ นางไม่กล้าบ่าย
เบี่ยงเขา กล่าวอย่างเขินอายว่า “ยังเจ็บเล็กน้อย…”
นางบอกว่ายังเจ็บเล็กน้อย จะต้องไม่สบายตัวมากอย่างแน่นอน
แววตาของเฉิงฉือหม่นลงเล็กน้อย ลูบผมนางเบาๆ กล่าวด้วยนํ้าเสียงแหบแห้งเล็กน้อย
ว่า “เสาจิ่น ข้าจะทายาให้เจ้าสักหน่อย…”
กลัวสิ่งไหนสิ่งนั้นก็มาจริงๆ!
เสียงของเฉิงฉือเพิ่งจบลง โจวเสาจิ่นยังไม่ทันได้ตอบ ก็ได้ยินเสียง “ว้าย” หนึ่งดังขึ้น ฝาน
หลิวซื่อยกอ่างนํ้าเงินอ่างหนึ่งเลิกผ้าม่านเข้ามา แล้วก็รีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
โจวเสาจิ่นหน้าร้อนผะผ่าว อยากหาที่หลบสักที่หนึ่งเหลือเกิน
เฉิงฉือกลับยังคงมีท่าทางสงบสบายๆ ดังปกติ ไม่เพียงกล่าวปลอบใจนางยิ้มๆ ว่า “ไม่
เป็นไร” เท่านั้น ยังกล่าวอีกว่า “ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาของข้าแล้ว พวกเราเป็นเช่นนี้ถึงจะถูกต้อง
หากต่างคนต่างไม่สนใจกัน เช่นนั้นจะเป็นอะไรไปแล้ว เจ้าวางใจเถิด แม่นมของเจ้าเห็นพวกเรา
เป็นเช่นนี้มีแต่จะดีใจเท่านั้น!”
โจวเสาจิ่นเองก็รู้
แต่รู้ก็ส่วนรู้ ถูกคนมาพบเห็นเข้าโดยไม่ตั้งใจก็ส่วนถูกคนมาพบเห็นเข้าโดยไม่ตั้งใจ
เฉิงฉือปลอบใจนางกว่าครู่ใหญ่ นางถึงได้มีความกล้าหลบอยู่หลังม่านให้คนตักนํ้าเข้า
มา
คนที่เข้ามาครั้งนี้เป็นหยวนหยวนและหมานหม่าน ทั้งสองคนยิ้มพลางตักนํ้าให้เฉิงฉือ
เฉิงฉือจึงบอกให้โจวเสาจิ่นเปลี่ยนชุดให้เขา คล้ายกับต้องการให้โจวเสาจิ่นปรนนิบัติเขา
เป็นอย่างยิ่งก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นมองแล้วในใจหวานลํ้า หมุนล้อมรอบเฉิงฉือ
หยวนหยวนและหมานหม่านต่างเม้มปากกลั้นยิ้ม
โจวเสาจิ่นได้แต่ทําเป็นมองไม่เห็น
ไม่ง่ายเลยกว่าจะช่วยเปลี่ยนอาภรณ์ให้เฉิงฉือเสร็จ ทั้งสองคนนั่งรับมื้อเช้าอยู่บนเตียง
เตาหลังใหญ่ข้างหน้าต่างในห้องรับแขก
เฉิงฉือบอกให้โจวเสาจิ่นช่วยจัดชามตะเกียบและตักโจ๊กเติมนํ้าแกงให้เขาอีกครั้ง
โจวเสาจิ่นชอบการที่ได้ทํานั่นทํานี่ให้เขาเป็นอย่างยิ่ง บนดวงหน้าจึงประดับด้วยรอยยิ้ม
อยู่ตลอดมิได้ขาด กระทั่งไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ลานทิงเซียง ก็ไม่อาจกดข่มความสุขเบิกบาน
ใจเอาไว้ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นแล้วอดเย้าแหย่พวกเขาไม่ได้ว่า “บ้านหลังนี้พอมีคนเพิ่มมาคนหนึ่งก็
ไม่เหมือนเดิมแล้ว ดูมีชีวิตชีวาคึกคักขึ้นมาไม่น้อย”
โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงนําเอานํ้าชาที่สาวใช้ยกเข้ามาไปวางไว้ข้างมือฮูหยินผู้เฒ่ากัว ไม่
กล้าเงยหน้าขึ้น กลับเป็นเฉิงฉือที่กล่าวขึ้นอย่างสบายๆ เป็นธรรมชาติว่า “ไม่อย่างนั้นจะต้องแต่ง
ภรรยามีบุตรไปทําไม มีคนอยู่เคียงข้างย่อมครึกครื้นกว่าเป็นธรรมดาขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า ไม่กล่าวอะไรอีก
เฉิงฉือจึงเอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงเรื่องไปซอยซิ่งหลินขึ้นมา “…ใต้เท้าหยางถูกคุมตัว
เข้าเมืองหลวงมาแล้ว ข้าตั้งใจจะไปดูที่ตระกูลหยางสักหน่อย จากนั้นค่อยไปหาขุนนางใหญ่ซ่ง
ครั้งหนึ่ง แล้วค่อยไปหาหัวหน้าและสหายร่วมงานอีกสองสามท่าน เนื่องจากข้ากลับมาจากจี่หนิง
อย่างไรก็ต้องไปเยี่ยมเยียนสักครั้งหนึ่ง หากท่านกําหนดวันไปซอยซิ่งหลินได้แล้ว บอกข้าล่วงหน้า
สักคํา ถึงเวลานั้นข้าเองก็จะได้ไปส่งท่าน”
4589
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอย่างราบเรียบว่า “ให้พวกเขามารับก็แล้วกัน! เจ้าไม่ต้องสนใจข้า
ถึงเวลานั้นมีเสาจิ่นอยู่บ้านด้วยก็พอแล้ว ข้าเองไปอยู่ไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว” จากนั้นก็เปลี่ยน
หัวข้อสนทนา กล่าวขึ้นว่า “ด้านของตระกูลหยางนั้น ในเมื่อเจ้าจะไป ก็นําเงินไปมอบให้สักหน่อย
เถิด! ใต้เท้าหยางทําเรื่องผิดมหันต์ ชีวิตของพวกเขาย่อมจะลําบากไม่น้อย”
เฉิงฉือพยักหน้า “ข้าเก็บไว้แล้วขอรับ ใต้เท้าสองสามท่านทางด้านโน้น ข้าก็เตรียมของ
เอาไว้แล้วเช่นกัน”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า ทั้งสามคนพูดคุยเรื่องทั่วไปอีกครู่หนึ่ง เห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว
โจวเสาจิ่นจึงไปส่งเฉิงฉือที่ประตู
เฉิงฉือกลับกลัวว่านางจะหนาวจนแข็ง เมื่อออกจากถนนตะวันออก ครุ่นคิดว่าคนของฮู
หยินผู้เฒ่ากัวทางด้านโน้นมองมาไม่ถึงทางด้านนี้แล้ว จึงถูมือของนางพลางกล่าว “รีบกลับไป
พักผ่อนเถอะ อย่างไรเสียเรื่องสําหรับปีใหม่ก็จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยเหมาะสมหมดแล้ว อย่าฝืน
หนาวเลย ข้าจะกลับมารับมื้อเย็นกับเจ้า”
โจวเสาจิ่นขานรับคําว่า “เจ้าค่ะ” อย่างอาลัยอาวรณ์ ยังช่วยจัดเสื้อคลุมหนังสัตว์ที่
เรียบร้อยดีอยู่แล้วอย่างไม่อยากลาจากอีกครั้ง กล่าวประโยคหนึ่งว่า “ระหว่างทางระมัดระวังด้วย
นะเจ้าคะ” มีบ่าวชายวิ่งเหยาะๆ เข้ามา เห็นพวกเขาแต่ไกลๆ ก็ตะโกนเรียก “นายท่านสี่ ฮูหยินสี่”
พร้อมกับก้าวออกมาทําความเคารพ กล่าวขึ้นว่า “นายท่านใหญ่และฮูหยินใหญ่มาขอรับ”
พวกเขามาทําไม
นอกจากนี้เฉิงจิงยังมาด้วยตัวเองอีกด้วย
ใกล้จะปีใหม่แล้ว แม้แต่เฉิงฉือยังยุ่งขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฉิงจิงแล้ว
โจวเสาจิ่นหันไปมองเฉิงฉือ
เฉิงฉือกล่าวกับนางยิ้มๆ ว่า “บางทีอาจจะมารับท่านแม่ก็เป็นได้”
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างลังเลว่า “เช่นนั้นท่านต้องไปเจอพี่ชายใหญ่หรือไม่”
“ในเมื่อมาถึงแล้ว ย่อมต้องไปเจอสักหน่อย” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ พาโจวเสาจิ่นไปรอ
ต้อนรับเฉิงจิงที่หน้าประตูชั้นใน
นี่เป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างเฉิงฉือและเฉิงจิงนับตั้งแต่เกิดเรื่องที่สํานักข้าหลวงฝ่ าย
จัดการนํ้าเป็นต้นมา
เฉิงจิงมองสํารวจเฉิงฉือขึ้นลงยิ้มๆ ไปรอบหนึ่ง เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา “เดินผิดน้อย
ทําได้ไม่เลว! ตอนนี้องค์ฮ่องเต้ทรงจําชื่อของเจ้าได้แล้ว”
เฉิงฉือไม่ยี่หระ ยกคิ้วขึ้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านเคยเห็นข้าทําผิดเมื่อไรกัน!”
นํ้าเสียงค่อนข้างถือตัว หยิ่งยโสเล็กน้อย
เฉิงจิงหัวเราะฮ่า
หยวนซื่ออดหันไปมองโจวเสาจิ่นไม่ได้
นางยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง มองเฉิงฉือด้วยรอยยิ้มตาหยี สุขุมแต่ก็อบอุ่นอ่อนโยน งดงาม
ประหนึ่งดอกบัวที่บานเด่นอยู่เพียงดอกเดียว
ในใจของหยวนซื่อจึงคล้ายกับมีอะไรมาอุดเอาไว้ก็ไม่ปาน
ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าคิดอย่างไรจริงๆ
ให้น้องสี่แต่งผู้ใดไม่แต่ง อย่างไรก็ยืนกรานจะให้แต่งกับนาง
แม้ตนจะอยากสนิทสนมกับนางก็สนิทสนมด้วยไม่ได้
ครอบครัวอื่นต่างปรารถนาให้ครอบครัวสามัคคีกลมเกลียวกัน ฮูหยินผู้เฒ่าช่างดียิ่ง
ปรารถนาจะเห็นครอบครัวกระโจนเข้าสู่ความวุ่นวาย
ยังดีที่ต่างคนต่างแยกบ้านกันอยู่แล้ว หากให้ตนเข้าออกประตูใหญ่เดียวกับโจวเสาจิ่น
เช่นนี้ นางต้องโมโหเจียนตายแล้วเป็นแน่
คิดถึงตรงนี้ หยวนซื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง ถึงได้กลืนความขุ่นเคืองและไม่พอใจใน
ใจลงไปได้ ทักทายโจวเสาจิ่นว่า “ของใช้สําหรับปีใหม่จัดเตรียมไปถึงไหนแล้ว มีส่วนใดต้องการ
ให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่”
โจวเสาจิ่นตอบนางอย่างสุภาพว่า “มีท่านแม่ช่วยดูอยู่ที่นี่ ในบ้านน่าจะไม่ขาดเหลือสิ่งใด
แล้วเจ้าค่ะ หากต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะบอกพี่สะใภ้ใหญ่นะเจ้าคะ”
ทั้งสองคนกล่าวประโยคนี้จบ ก็ไม่มีอะไรให้ต้องพูดอีก จึงได้แต่สาดสายตาไปที่เฉิงจิง
และเฉิงฉือแทน
สองพี่น้องกลับพูดคุยกันอย่างออกรส เฉิงจิงกล่าว “เนื่องจากกรมโยธามอบหมายคนไป
ทําหน้าที่หัวหน้าแล้ว เจ้าจึงไม่ต้องเกี่ยวข้องด้วยแล้ว รอให้เรื่องนี้จบแล้ว ข้าจะหาวิธีย้ายเจ้า
กลับมา จะให้ดีที่สุดควรจะเป็นสํานักสารบรรณกลาง นั่นเป็นที่ทําการของเจ้ากรม อีกทั้งใต้เท้า
เหอก็เป็นพ่อภรรยาของเก้าเกอเอ๋อร์ ข้าคุยกับศาลต้าหลี่ทางด้านโน้นเอาไว้แล้ว ย้ายคนมี
ประสบการณ์ของพวกเขาทางด้านโน้นไปสักคนหนึ่ง เจ้าย้ายไปก็จะได้ยศขั้นห้าบน ผู้อื่นไม่กล้า
เตือนตรงๆ เจ้าถูกลดขั้นจากขั้นหกล่าง ถึงเวลาค่อยเลื่อนขั้นขึ้นไปโดยแสร้งทําเป็นไม่รู้ก็ผ่านไป
ได้แล้ว เพียงแต่ต้องอ่อนน้อมถ่อมตัว ผู้อื่นจะได้ไม่เอาเรื่องนี้ไปแต่งเรื่องต่อได้”
กล่าวไปกล่าวมา ก็คือให้เฉิงฉืออย่าทําให้ผู้อื่นขุ่นเคืองด้วยเรื่องของหยางโซ่วซาน ตอนที่
เขาได้รับการเสนอขึ้นไปรับยศขั้นห้าล่างเป็นกรณีพิเศษก็อย่าทําให้ผู้อื่นเอาไปฟ้องร้อง
โจวเสาจิ่นขมวดคิ้วน้อยๆ
หากอยากเป็นขุนนางที่มีอํานาจ พื้นเพความรู้ความสามารถต้องมีนํ้าหนักพอ
ยศขั้นห้าล่างนั้น ควรเป็นองค์ฮ่องเต้มีพระราชโองการประทานลงมาให้ การเลื่อนขั้นขึ้น
ไปอย่างเงียบๆ ก็เหมือนกับการสร้างกําแพงที่ขาดอิฐไปหนึ่งก้อน ผู้ใดจะรู้ว่ามันจะพังทลายลงมา
เพราะขาดอิฐก้อนนี้ในวันใด
หยวนซื่อเองก็ประหลาดใจเช่นกัน แต่ที่มีมากกว่าคือความอิจฉา
นี่สามีกําลังช่วยเหลือน้องสี่ด้วยกําลังทั้งหมดที่มี!
รอให้ถึงคราวของบุตรชายนาง ก็ไม่รู้ว่าตระกูลเฉิงยังจะมีหนทางเช่นนี้อีกหรือไม่
“ลําบากพี่ใหญ่แล้ว!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “พี่ใหญ่อย่าไปขอร้องผู้อื่นเพื่อเรื่องของข้าเลย
เจียซ่านเองก็ใกล้จะเข้าร่วมการสอบขุนนางช่วงวสันตฤดูแล้วมิใช่หรือ นอกจากนี้ข้าได้ตัดสินใจ
แล้วว่าต่อไปจะใช้ชีวิตอย่างเกียจคร้านอยู่ที่กรมตรวจตราแล้ว แม้นสํานักสารบรรณกลางจะดี
ทว่าก็ไม่ได้ดีไปกว่ากรมตรวจตรา ล้วนเป็นที่ไว้วางพระทัยขององค์ฮ่องเต้เหมือนกัน แต่ผู้ตรวจ
ราชการที่ออกมาจากกรมตรวจตรา แปดถึงเก้าในสิบส่วนล้วนมีประวัติขาวใสทั้งสิ้น”
บัณฑิตผู้มีความรู้ จะให้ความสําคัญกับประวัติขาวใสมากกว่า!