ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่494 มารับคน
เฉิงจิงฟังแล้ว อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
เฉิงฉือไม่รอให้เขาได้กล่าวอะไร ก็กล่าวยิ้มๆ ขึ้นก่อนว่า “พี่ใหญ่ ท่านและพี่สะใภ้ใหญ่มา
รับท่านแม่กระมัง ราชสํานักใกล้จะปิดผนึกแล้ว ช่วงนี้ท่านต้องยุ่งมากเป็นแน่ ข้าก็จะไม่ประวิง
เวลาท่านแล้ว ข้าเพิ่งกลับมาถึงเมื่อวาน เดิมทีคิดว่าวันนี้จะไปหาท่านสักครั้งหนึ่ง แต่ก็กลัวว่า
ท่านจะงานยุ่ง จึงตั้งใจว่ารออีกสักสองสามวันตอนที่ไปส่งท่านแม่ที่ซอยซิ่งหลินนั้นค่อยพบพี่ใหญ่
สักครั้งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าพี่ใหญ่จะมาก่อนแล้ว วันนี้ข้าต้องไปหาขุนนางใหญ่ซ่ง…ข้าจะไปหาท่าน
แม่เป็นเพื่อนท่านแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน”
เฉิงจิงไม่ปฏิเสธ
คนทั้งกลุ่มจึงมุ่งหน้าไปที่ลานทิงเซียง
ระหว่างทาง เฉิงจิงถามเฉิงฉือว่า “ขุนนางใหญ่ซ่งนัดเจ้าไว้กี่ยาม ไปช้าจะไม่ดีนัก
หลังจากพบท่านแม่แล้วเจ้าก็ไปก่อนเถอะ! รอให้ถึงตอนมื้ออาหารคํ่าในคืนท้ายปีพวกเราค่อยคุย
กันอย่างละเอียดอีกที”
เฉิงฉือพยักหน้า
เฉิงจิงกล่าวอีกว่า “รู้หรือไม่ว่าขุนนางซ่งตามเจ้าไปมีเรื่องอะไร”
“น่าจะเป็นเรื่องของใต้เท้าหยาง” เฉิงฉือคาดเดา “สาเหตุที่ก่อให้เกิดการจลาจลในครั้งนี้
ขึ้นก็เป็นเพราะว่าสํานักข้าหลวงฝ่ายจัดการนํ้าลดค่าใช้จ่ายรายวันของคนงานลง เป็นเหตุให้มีคน
แข็งตาย จึงมีคนสงสัยว่าใต้เท้าหยางทุจริต”
4594
เฉิงจิงแสยะยิ้มเย็น กล่าวขึ้นว่า “หากมิใช่การทุจริต จะมาถึงจุดที่ทําให้คนตายได้อย่างไร
จื่อชวน ถึงแม้พวกเราจะอยากเป็นขุนนาง แต่เป็นขุนนางก็ต้องมีความเมตตา เวลานี้ เจ้าอย่า
รับรองให้หยางโซ่วซานผู้นั้นอย่างไม่ระวังเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ของเขากับซ่งจิ่งหรานเชียว”
“ข้าทราบขอรับ!” เฉิงฉือกล่าวเย้ยหยันตัวเองยิ้มๆ ว่า “ตอนนี้ข้าเป็นเพียงเจ้าหน้าที่
สืบสวนยศขั้นเจ็ดผู้หนึ่งเท่านั้น ต่อให้ข้าอยากรับรองให้หยางโซ่วซานก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นหรอก
ขอรับ!”
เฉิงจิงเองก็หัวเราะขึ้นมาด้วย พลางกล่าว “เจ้าฉลาดมาตั้งแต่เด็ก มีเรื่องอะไรก็ให้ทํา
อย่างที่ตนเห็นว่าเหมาะสม อย่าหาว่าข้าพูดมากเลย ข้าก็ทําเพื่อเป็นการดีต่อเจ้า กลัวว่าเจ้าเพิ่ง
จะเข้ารับราชการ จะมองสถานการณ์ไม่กระจ่าง แล้วถูกคนใช้เป็นอาวุธได้”
สองพี่น้องพูดคุยกันไป เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงลานทิงเซียงแล้ว
ข้ารับใช้ที่ลานทิงเซียงได้รับข่าวเรียบร้อยแล้ว หลี่ว์มามารอต้อนรับอยู่หน้าประตู
เฉิงจิงขานเสียงหนึ่งว่า “มามา” ถือเป็นการทักทายหลี่ว์มามาครั้งหนึ่ง
หลี่ว์มามาซาบซึ้งใจยิ่งนัก วิ่งเหยาะๆ ไปช่วยเลิกผ้าม่านขึ้นให้เฉิงจิง
เฉิงจิงเข้าไปในเรือน ให้เจินจูเดินนําไปที่ห้องรับแขก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั่งอยู่บนเตียงเตาหลังใหญ่ข้างหน้าต่าง กําลังรอพวกเขาอยู่
เฉิงจิงและหยวนซื่อทําความเคารพเต็มยศอย่างนอบน้อม
เฉิงฉือประคองเฉิงจิง
โจวเสาจิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงไปประคองหยวนซื่อ
4595
ทั้งสองคนยืนเรียงหน้าผู้หนึ่งหลังผู้หนึ่งอยู่ตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัว เฉิงจิงถึงได้เอ่ยปาก
กล่าว บอกว่าใกล้จะปีใหม่แล้ว เฉิงฉือเองก็กลับมาแล้ว จึงมาเชิญฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไปฉลองปี
ใหม่ที่ซอยซิ่งหลิน แล้วก็เชิญเฉิงฉือและโจวเสาจิ่นไปกินข้าวกลางวันร่วมกันในวันที่สามสิบด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นเตรียมตัวเตรียมใจไปซอยซิ่งหลินเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่เฉิงฉือกลับมาถึง
แล้ว ในเมื่อบุตรชายคนโตมาเชิญแล้วจึงมิได้อิดออด ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้กินข้าวเที่ยงจากที่ประตู
เฉาหยางเสร็จแล้วจะออกเดินทางไป
เฉิงจิงเกลี้ยกล่อมอยู่นาน ถึงทําให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเปลี่ยนใจ พรุ่งนี้กินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็
ออกเดินทางเลย
สีหน้าเขาดูผ่อนคลาย เวลาพูดจาก็ดูสบายๆ มากขึ้น “ท่านแม่ พวกข้าทําความสะอาด
เรือนหลักของเรือนด้านหลังเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านเข้าไปพักอยู่ที่นั่นนะขอรับ น้องรองยังกลัวว่า
ท่านจะไม่คุ้นชิน ยังหาสุนัขจิงปากลับมาด้วยตัวหนึ่ง ขนขาวปุกปุย เหมือนกับตัวที่ท่านเลี้ยงไว้
ตอนที่พวกข้ายังเป็นเด็กตัวนั้นเลยขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ตอนที่นางแต่งเข้ามาที่ตระกูลเฉิงนั้น ยังเป็นแค่หลานสะใภ้ พอมาอยู่จิงเฉิง จึงพักอยู่ที่
เรือนหลักของเรือนด้านหลัง ต่อมาถึงแม้เฉิงซวินจะเปลี่ยนจากคุณชายใหญ่มาเป็นนายท่านและ
นายท่านผู้เฒ่าแล้ว ทว่านางก็คร้านจะย้ายออก จึงยังคงพักอยู่ที่เรือนหลักของเรือนด้านหลัง
ต่อไป
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูอบอุ่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าเก็บกวาด
เรือนหลักของเรือนด้านหลังมาเช่นนี้ แล้วครอบครัวของเจ้ารองไปอยู่ที่ไหน”
4596
เฉิงจิงกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเขาดูบ้านเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่วันมหาปีใหม่เช่นนี้ คงไม่อาจ
ย้ายบ้านในเวลานี้กระมัง จึงไปเบียดเสียดกันอยู่ที่เรือนปีกตะวันออกสักสองสามวันก่อน เลือกวัน
มงคลได้แล้วก็จะย้ายมาอยู่ที่ซอยซื่อเถียวทางด้านนี้แล้วขอรับ”
เพิ่งจะแยกบ้านกันปีนี้ ย่อมต้องมีจุดที่จัดการไม่ทั่วถึงบ้าง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่กล่าวอะไรอีก และเฉิงฉือเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว จึงลุกขึ้นกล่าวขอตัว
ทิ้งโจวเสาจิ่นไว้อยู่รับรองเฉิงจิงสองสามีภรรยา
เฉิงจิงลางานหนึ่งวัน จึงอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวตลอด พูดคุยถึงเรื่องสมัยเด็กของ
พวกเขาพี่น้อง และพูดถึงสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเคยสั่งสอนเขาสมัยอยู่ในวัยหนุ่ม กระทั่งถึงเวลา
รับประทานอาหารเที่ยง โจวเสาจิ่นก็ค้นพบว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวปฏิบัติกับเฉิงจิงสองสามีภรรยา
อย่างเป็นมิตรและสนิทสนมชิดใกล้กันเป็นอย่างมากแล้ว
อาจเป็นเพราะคนเป็นมารดานั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเคืองโกรธบุตรชายจริงๆ ได้กระมัง
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางสั่งการให้พวกสาวใช้จัดมื้อเที่ยงที่ห้องรับแขก ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสอง
แม่ลูกได้พูดคุยกันต่อหลังจากที่รับประทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว
หยวนซื่อเข้ามาช่วยนาง
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณนางยิ้มๆ ทว่ามิได้ห้ามปรามนางแต่อย่างใด
หยวนซื่อตะลึงงัน
นางอายุมากกว่าโจวเสาจิ่นยี่สิบกว่าปี ว่ากันตามอายุแล้วเป็นมารดาของโจวเสาจิ่นได้
ด้วยซํ้า นางบอกว่าจะช่วย ก็เป็นเพียงคําพูดตามมารยาทประโยคหนึ่งเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าโจวเสา
จิ่นจะไม่เกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงกับให้นางช่วยเหลือจริงๆ
4597
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับทําเป็นมองไม่เห็น
ชาติก่อนนางเกลียดที่หยวนซื่อสองหน้า พูดอย่างหนึ่งทําอย่างหนึ่ง ชาตินี้นางไม่อยาก
ถูกเอาเปรียบอีก ในเมื่อหยวนซื่ออยากช่วย เช่นนั้นก็ช่วยไปก็แล้วกัน เหตุใดนางต้องเกรงใจหยวน
ซื่อด้วย!
ในเมื่อนางพูดอย่างมีมารยาทแล้วก็ให้นางได้เป็นคนดีด้วย
นางหาข้ออ้างไปที่ห้องครัว ทิ้งหยวนซื่อไว้ที่ห้องรับแขกเพียงผู้เดียว
จวบจนนางรออยู่ในห้องครัวได้ครู่หนึ่ง คิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวและเฉิงจิงน่าจะนั่งโต๊ะกัน
แล้ว ถึงได้ไปที่เรือนหลัก
หยวนซื่อกําลังคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวและเฉิงจิงที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะว่า “…น้องสะใภ้สามยัง
เด็ก มีส่วนที่นึกไม่ถึงบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาเจ้าค่ะ”
ท่าทางราวกับนางช่วยเหลือโจวเสาจิ่นครั้งใหญ่มากก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นเองก็ไม่แก้ต่างให้ตัวเอง ยิ้มพลางวางยําแตงกวาที่ยกมาจากห้องครัวลงบน
โต๊ะ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ ท่านลองชิมดู เพิ่งได้มาใหม่ๆ ป้ารับใช้ประจําครัวไปเฝ้าอยู่ที่ตลาด
ตั้งแต่เช้าตรู่ถึงฉวยมาได้เจ้าค่ะ”
ได้กินแตงกวาสดๆ ในฤดูหนาวจัดเช่นนี้ ผู้ใดจะยังขบคิดคําพูดของหยวนซื่ออย่าง
ละเอียดได้อีก
เฉิงจิงคีบส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตะเกียบหนึ่ง กล่าวชมโจวเสาจิ่นว่า “น้องสะใภ้ ขอบใจ
มาก!”
โจวเสาจิ่นแย้มยิ้มโดยมิได้กล่าวอะไร
4598
เฉิงจิงบอกหยวนซื่อว่า “ตอนปีใหม่พวกเราก็ซื้อมาสักเล็กน้อย นอกจากให้ท่านแม่ได้ลิ้ม
รสชาติสดใหม่แล้ว วันที่สองอาเจิงและอาเซียวก็จะกลับมาด้วย จะได้เพิ่มจานอาหารให้บุตรเขย
ทั้งสองคนด้วย”
หยวนซื่อขานรับคํา ทว่าในใจกลับรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
เกรงว่าแตงกวานี้จะแพงกว่าทองคําเสียอีก
แต่ไหนแต่ไรเฉิงฉือหาเงินเก่งมาโดยตลอด โจวเสาจิ่นผู้นี้จึงใช้เงินของเฉิงฉืออย่างหน้า
ใหญ่ใจโต ของประเภทนี้ก็ยอมซื้อมา
แต่เรื่องที่ได้ทั้งเอาใจเฉิงจิงและประจบฮูหยินผู้เฒ่ากัวประเภทนี้ต่อให้นางจะพูดก็ไม่มีที่
ให้พูดได้
หยวนซื่อขานรับคําอย่างเก้อกระดากว่า “เจ้าค่ะ” แล้วก้มหน้าลงกินข้าว
เฉิงจิงชมว่าแม่นกพิราบหลากรส กุ้งผัดใบชาหลงจิ่งและปลากระรอกเปรี้ยวหวานของ
โจวเสาจิ่นทําได้อร่อย “ได้รสชาติดั้งเดิมของอาหารหังโจวยิ่งนัก”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากพี่ชายใหญ่ชื่นชอบ ประเดี๋ยวข้าจะให้พวกเขาใช้ถังบรรจุ
ปลาเหลืองให้พี่สะใภ้ใหญ่นํากลับไปด้วยสักสองสามตัว”
ซอยซิ่งหลินมิได้ขาดแคลนปลาสองสามตัวนี้
หยวนซื่อรีบกล่าว “ไม่ต้องหรอก…”
เฉิงจิงกลับกล่าว “เช่นนั้นก็ขอบใจมาก…”
สองสามีภรรยาเอ่ยปากพร้อมกัน ทว่าถ้อยคําที่เปล่งออกมากลับไม่เหมือนกันอย่าง
สิ้นเชิง
4599
เฉิงจิงขมวดคิ้วมุ่น
แม้นซอยซิ่งหลินจะมิได้ขาดแคลนปลาสองสามตัวนี้ แต่น้องสะใภ้สี่มีเจตนาดี เหตุใด
พวกเขาจะต้องรักษาระยะห่างกับผู้อื่นเป็นพันหลี่ด้วยเล่า!
เขาชําเลืองมองหยวนซื่อครั้งหนึ่ง กดหยวนซื่อไว้พลางกล่าว “พวกข้ากลัวว่าจะเป็นการ
สร้างความลําบากเกินไป”
สตรีรู้เรื่องของสตรีดี
หยวนซื่อคงจะรู้สึกว่านี่เป็น ‘อาหารที่มาพร้อมกับความดูแคลน’ กระมัง
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ลําบากเลยเจ้าค่ะๆ สามีไม่กินปลา ท่านแม่ไปแล้ว เก็บปลา
พวกนี้ไว้กับพวกข้าที่นี่ก็มีแต่จะเสียของ มิสู้ให้พี่ชายใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่เอากลับไปเป็นกับข้าว
สักอย่างหนึ่งจะดีกว่า”
เฉิงจิงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ขอบใจแล้ว!”
โจวเสาจิ่นยิ้ม บอกให้คนไปบรรจุปลา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและเฉิงจิงย้ายไปดื่มนํ้าชาบนเตียงเตาหลังใหญ่พลางพูดคุยเรื่องทั่วไปใน
บ้านกันต่อ
หยวนซื่อคอยฟังอยู่ข้างๆ ปรนนิบัติจัดหานํ้าชาต่างๆ
ไม่นาน เวลาหนึ่งบ่ายก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทว่าเฉิงฉือก็ยังไม่กลับมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “เกรงว่าจะอยู่กับขุนนางใหญ่ซ่ง พวกเราไม่ต้องรอเขาแล้ว รับมื้อ
เย็นกันก่อนเถอะ ให้เสาจิ่นเก็บกับข้าวไว้ให้เขาสักเล็กน้อยก็พอแล้ว นานๆ ทีเจ้าถึงจะได้ลางาน
วันหนึ่ง พรุ่งนี้ก็ยังต้องไปท้องพระโรงตั้งแต่เช้าตรู่อีก รีบกินแล้วจะได้รีบกลับไปพักผ่อน”
เฉิงจิงขานรับคําอย่างนอบน้อม
โจวเสาจิ่นเป็นห่วงเฉิงฉือ รู้สึกใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย
ต่อให้มีเรื่องอะไร วันนี้ที่บ้านมีแขก เขาก็น่าจะหาวิธีกลับมาเร็วสักหน่อยถึงจะถูก
หลังจากส่งเฉิงจิงสองสามีภรรยากลับไปแล้ว โจวเสาจิ่นก็เริ่มช่วยจัดเก็บหีบสัมภาระให้ฮู
หยินผู้เฒ่ากัว
“แจกันใบนั้นไม่ต้องเอาไป” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั่งอยู่บนเตียงเตาหลังใหญ่ข้างหน้าต่างมอง
โจวเสาจิ่นกํากับป้ารับใช้บรรจุของลงหีบ “ตอนที่ข้ากลับมาก็ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ถึงเวลานั้นเอามา
ปักดอกไม้ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิดีที่สุด เอาไปแล้วก็ต้องเอากลับมาอีก วางไว้ตรงนั้นนั่นแหละดีแล้ว”
โจวเสาจิ่นขานรับคํา “เจ้าค่ะ” อย่างยิ้มแย้ม มีสาวใช้เด็กเข้ามารายงานว่า “สะใภ้ใหญ่
นั่วมาเจ้าค่ะ บอกว่าทําอาหารสําหรับคืนส่งท้ายปีเล็กน้อย จึงนํามาขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าลองชิมดู
ถือเป็นความกตัญ�ูของคนรุ่นเด็กอย่างพวกเขาเจ้าค่ะ”
หลังจากได้ฟังคําของเฉิงฉือแล้ว เฉิงเวิ่นก็เตรียมตัวเปิ ดร้านขายใบชาด้วยความ
กระตือรือร้นอย่างเต็มเปี่ยม ไม่นานก็พาเฉิงนั่วและอู๋เป่ าจางย้ายไปอยู่ที่บ้านเช่าขนาดเล็กหลัง
หนึ่งที่อยู่ทางประตูซีจื๋อ เดิมทีอู่เป่าจางตั้งใจเอาไว้ว่าหลังจากช่วยเฉิงเวิ่นเก็บกวาดบ้านเสร็จแล้ว
จะเดินทางกลับไปพร้อมกับเฉิงนั่ว ไม่คิดว่าพอเฉิงเวิ่นเห็นว่าค่าแรงที่จิงเฉิงสูงนัก จึงรั้งเฉิงนั่ว
และอู๋เป่ าจางไว้ช่วยงานเขา ผู้หนึ่งเป็นเสมียนช่วยเฝ้าร้าน อีกผู้หนึ่งดูแลงานในบ้าน นําสาวใช้
และป้ารับใช้สี่ถึงห้าคนจัดการเรื่องต่างๆ ภายในบ้าน
เฉิงฉือออกเดินทางอย่างรีบร้อน จึงไม่เคยได้ไปดูเลยสักครั้ง
ทว่าเฉิงเวิ่นกลับจับตาดูเฉิงฉืออยู่ตลอด
พอเห็นว่าด้านประตูเฉาหยางมีความเคลื่อนไหวแล้ว ก็รีบให้อู๋เป่าจางมาหา ยังกําชับนาง
ด้วยว่า “จะต้องเชิญฮูหยินผู้เฒ่าและจื่อชวนสองสามีภรรยามาเยี่ยมเยียนที่บ้านในวันที่สี่ให้จงได้
ข้ามีเรื่องสําคัญจะปรึกษาเขา”
อู๋เป่าจางถึงได้ทําใจกล้ามาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขอบคุณในนํ้าใจของเฉิงเวิ่น กล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้ต้องรอให้ท่านอาฉือของ
เจ้ากลับมาแล้วปรึกษากับเขาก่อน หากว่าวันนั้นไม่มีกําหนดการอะไรอื่น พวกข้าจะไปรบกวน
พวกเจ้า”
“ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวอะไรกันเจ้าคะ! หากท่านไปได้ นั่นก็นับเป็นเกียรติของพวกข้าแล้ว!” อู๋
เป่าจางกล่าวถ้อยคําเกรงใจไปสองสามประโยค จากนั้นลุกขึ้นกล่าวอําลา
โจวเสาจิ่นไปส่งนางที่ประตู
อู๋เป่ าจางมองไข่มุกใต้เกลี้ยงเกลาสุกใสแวววาวที่ห้อยอยู่บนใบหูของนางท่ามกลางแสง
เรืองเรืองยามโพล้เพล้แล้ว อดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “เสาจิ่น คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วเจ้าจะได้
แต่งงานกับท่านอาสี่ฉือ เจ้ายังจําพานชิงได้หรือไม่ พวกข้าคิดว่าเจ้าจะได้แต่งกับเฉิงสวี่เสียอีก”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะได้แต่งกับเฉิงนั่ว ข้าคิดว่าเจ้าจะได้
แต่งกับเฉิงลู่เสียอีก!”
อู๋เป่าจางหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “จะว่าไปแล้วเฉิงลู่เองก็ช่างน่าสงสารนัก! สูญเสียยศตําแหน่ง
แล้ว บ้านก็ไม่มีแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าระเหเร่ร่อนไปอยู่ที่ใด วันใดกลับมาแล้ว เกรงว่าอาจจะต้องมา
พึ่งพาขอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้องอย่างพวกเราเหล่านี้ก็เป็นได้!”
อู๋เป่ าจางนึกถึงนิสัยของเฉิงลู่ ในยามคับขันของชีวิต แม้แต่มารดาของตัวเองยังทิ้งขว้าง
ไม่เหลียวแล การยืมเงินจากนางเพียงไม่กี่เหลี่ยงเกรงว่าสําหรับเขาแล้วก็ไม่นับเป็นเรื่องอะไร
รอยยิ้มของนางเปลี่ยนเป็นฝืดเฝื่อนขึ้นมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ดูเจ้าพูดเข้า เฉิงลู่เองก็นับได้ว่า
เป็นคนมีความทะเยอทะยานผู้หนึ่ง จะต้องการให้ญาติพี่น้องอย่างพวกเราช่วยเหลือได้อย่างไร!”
“ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ควรกล่าวอย่างมั่นใจเกินไป” โจวเสาจิ่นหักหน้านางต่อไป กล่าวว่า
“พวกเราคอยดูต่อไปดีกว่า!”