ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่507 สร้างความขัดแย้ง
ขณะที่หมิ่นเจียกําลังครุ่นคิดว่าจะใช้อู๋เป่ าจางอย่างไร ทางด้านโจวเสาจิ่นกลับส่งฝาน
หลิวซื่อออกเดินทางด้วยความยินดี สามเดือนก่อน หลี่ซื่อให้กําเนิดบุตรชายคนหนึ่ง โจวเจิ้น
ปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก บุตรชายยังไม่ครบเดือน ก็ตั้งนามให้บุตรชายว่าโจวจงจิ่น เนื่องจาก
โจวชูจิ่นกับโจวเสาจิ่นต่างแต่งงานออกไปไกลถึงจิงเฉิง ในพิธีครบเดือนของโจวจงจิ่นจึงเชิญเพียง
สหายร่วมงานของโจวเจิ้นกับมิตรสหายในเมืองเป่าติ้งเท่านั้น ตอนที่โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นได้รับ
ข่าว โจวจงจิ่นก็จะจัดพิธีครบร้อยวันแล้ว หลังจากที่พวกนางปรึกษาหารือกัน เพียงเสื้อผ้ากับถุง
เท้ารองเท้าของทารกก็มีจํานวนสองหีบแล้ว ส่วนพวกสร้อยแม่กุญแจอายุยืน กําไลทอง และชุด
เครื่องเขียนทั้งสี่ ก็บรรจุใส่ไว้ในหีบอีกหนึ่งใบ โจวชูจิ่นส่งฉือเซียงไป ส่วนโจวเสาจิ่นส่งฝานหลิวซื่อ
ไป นําสิ่งของทั้งหมดไปที่จวนเป่าติ้ง
โจวเสาจิ่นยังกระซิบบอกเฉิงฉือว่า “เดิมทีเด็กที่หลานทิงคลอดออกมานั้นมีนามว่าจยา
จิ่น285
1 ถือเป็นเพียงผู้สืบสกุลคนหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้ฮูหยินให้กําเนิดบุตรชายออกมาแล้ว มีนามว่าจง
จิ่น286
2 เห็นได้ชัดว่าแม้ท่านพ่ออยากได้บุตรชาย แต่ภรรยากับอนุก็ยังต่างกันอยู่ดีนะเจ้าคะ”
เฉิงฉือโขกศีรษะของนางอย่างไม่แรงไม่เบาทีหนึ่ง พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “พูดจาเหลวไหล
ถ้าอยากได้เพียงบุตรชายคนหนึ่งเท่านั้น ไหนเลยจะให้กําเนิดไม่ได้”
โจวเสาจิ่นก็บุ้ยปากมองค้อนเขา กล่าวเสียงค่อยว่า “ข้าก็ให้กําเนิดไม่ได้เหมือนกันนะเจ้า
คะ”
1จยาจิ่น (家瑾) แปลว่า หยกอันงดงามของครอบครัว
2จงจิ่น (宗瑾) แปลว่า หยกอันงดงามของตระกูล
4716
ผ่านไปหลายเดือนแล้ว หากว่านางยังมองอะไรไม่ออก เช่นนั้นก็ถือว่าโง่งมแล้วจริงๆ
ทว่าหลังจากผ่านไปสองสามเดือน นางกลับมิได้รู้สึกร้อนรนเท่าเมื่อก่อนแล้ว
คิดว่าในเมื่อเป็นการตัดสินใจของเฉิงฉือ จะต้องไม่ผิดอย่างแน่นอน
บางครั้งยังนําเรื่องนี้มาล้อเล่นกับเฉิงฉือได้อีกด้วย
เฉิงฉือมองดูริมฝีปากชมพูนั้น ก็โน้มกายจุมพิตลงไปอย่างห้ามไม่อยู่
ระหว่างที่ดื่มดํ่ากับความอ่อนโยนและอาวรณ์ ยังไม่ลืมกัดใบหูของนางพลางยกยิ้มบาง
เบา “ถ้อยคํานี้ยิ่งเลื่อนเปื้อนเข้าไปใหญ่… ปีหน้าพวกเราค่อยเป็นพ่อแม่กัน… หลานเจียคงจะ
คลอดแล้วกระมัง เสาจิ่นของพวกเรารอให้พวกนางคลอดกันเสร็จหมดแล้วค่อยเป็นแม่คนดีกว่า
จะได้ไม่ถูกรวมไปกับพวกนาง ฉลองพิธีครบเดือนจนไม่มีเวลาว่าง…”
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า ซุกตัวในอ้อมอกของเขา
ทั้งสองคนซุกไซ้นัวเนียกัน ครั้นเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว ถึงได้แต่งตัวใหม่ให้เรียบร้อย แล้ว
ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกําลังสนทนากับฮูหยินเผิงเฉิง
ตอนที่เจินจูแจ้งพวกเขา เฉิงฉือก็เอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “ไฉนนางถึงมาอีกแล้วหรือ”
โจวเสาจิ่นกระซิบว่า “ตระกูลของเผิงเฉิงป๋ อ…”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ข้าเพียงเจอนางโดยบังเอิญสองสามครั้งแล้ว”
โจวเสาจิ่นถึงได้ค้นพบว่า เวลาที่ฮูหยินเผิงเฉิงผู้นี้มาดูเหมือนจะตรงกับวันหยุดของเฉิงฉือ
สองสามีภรรยาอดแลกเปลี่ยนสายตากันไม่ได้ แล้วจึงเดินเข้าไปยิ้มๆ
4717
ฮูหยินเผิงเฉิงไม่ได้หลบออกไป ทั้งยังชื่นชมเฉิงฉือสองสามีภรรยาว่า “กตัญ�ูจริงๆ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวถ้อยคําถ่อมตนสองสามประโยค เฉิงฉือจึงลุกขึ้นขอตัวออกไป
ฮูหยินเผิงเฉิงอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่หยุดไป
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้าใจนานแล้ว แต่หากจะเล่นตัวก็ต้องมีขอบเขต รอให้เฉิงฉือออกไปแล้ว
นางก็กล่าวยิ้มๆ ขึ้นว่า “ท่านมีเรื่องอะไรอยากจะพูดหรือไม่เจ้าคะ ลูกสะใภ้คนนี้ของข้าวางใจได้
เป็นที่สุด ท่านมีเรื่องอะไรก็พูดตรงๆ ถึงเวลานั้นจะได้บอกจื่อชวน”
เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของฮูหยินเผิงเฉิงผ่อนคลายลงมา คลี่ยิ้มแล้วจับมือของโจวเสาจิ่นพ
ลางกล่าวว่า “ข้าก็รู้ว่าลูกสะใภ้ของเจ้าคนนี้เป็นเด็กที่อยู่ในโอวาทคนหนึ่ง เพียงแต่เรื่องของข้านี้
…” นางลังเลครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ข้าได้ยินคนพูดกันนานแล้ว สํานักศึกษาที่บ้านเดิมของพวกเจ้า
ทางด้านโน้นเป็นอันดับหนึ่งในเจียงหนาน ไม่รู้ว่าพวกเจ้ายังรับลูกศิษย์อยู่หรือไม่ หลานชายของ
ข้าผู้นั้น ไม่เอาไหนอยู่สักหน่อย ต้องหาใครสักคนมาควบคุมถึงจะถูก”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับโจวเสาจิ่นต่างประหลาดใจเป็นอย่างมาก ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็กล่าวขึ้นว่า
“หลานชายสองคนของข้าล้วนเล่าเรียนอยู่ในสํานักศึกษาที่จิงเฉิง บ้านเดิมที่จินหลิงทางด้านโน้นก็
พอจะแนะนําให้ได้ เพียงแต่ขุนพลในสนามรบไม่ฟังคําสั่งของนายเหนือหัว นอกจากนี้ปล่อยให้
เด็กอยู่ที่จินหลิงไกลถึงเพียงนั้นจะดีหรือ ข้ากลับคิดว่าหากท่านวางใจไม่สู้พาเด็กมาให้จื่อชวนดู
สักหน่อย ให้จื่อชวนช่วยเลือกสํานักศึกษาให้เขาแห่งหนึ่ง เจ้าก็รู้ ตระกูลเฉิงแต่ละรุ่นล้วนเป็นผู้คง
แก่เรียน อาจารย์ในสํานักศึกษาเหล่านี้ล้วนพูดคุยกันได้หมด”
ฮูหยินเผิงป๋ อดีใจยิ่งยวด กล่าวขอบคุณซํ้าแล้วซํ้าเล่า กระทั่งทนรอไม่ได้เล็กน้อยรีบกล่าว
อําลาฮูหยินผู้เฒ่ากัว ท่าทางเช่นนั้น ราวกับปรารถนาจะจัดการเรื่องนี้ทันที ณ เดี๋ยวนั้น
4718
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองเงาร่างของนางขณะส่ายศีรษะยิ้มๆ กล่าวว่า “น่าสงสารใจผู้เป็นพ่อ
เป็นแม่ใต้หล้านี้เหลือเกิน!”
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับนึกถึงเหตุการณ์ในชาติที่แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมิได้มาจิงเฉิง จวนเผิงเฉิงป๋ อก็มิได้ไปมาหาสู่กับตระกูลเฉิง ทว่าใน
สถานการณ์ที่ไท่จื่อและหวงไท่จื่อสวรรคตติดต่อกัน แม้ว่าจวนผิงเฉิงป๋ อมิได้เรืองอํานาจเหมือน
ตอนนี้ แต่ก็ได้แต่งงานกับบุตรธิดาของตระกูลบัณฑิต บรรดาลูกหลานต่างประพฤติตนดีมิได้เข้า
รับราชการ ขอเพียงไม่เข้าไปพัวพันในการก่อกบฏ ก็ไม่มีวันขาดความรํ่ารวยและเกียรติยศที่มั่นคง
ยั่งยืนได้
นึกถึงตรงนี้ โจวเสาจิ่นก็รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าเล็กน้อยอีกครั้ง
เหตุใดตระกูลเฉิงถึงถูกยึดทรัพย์และฆ่าล้างยกตระกูลกันนะ
แม้แต่จวนเฉิงเอินป๋ อองค์ฮ่องเต้ก็เพียงยึดบรรดาศักดิ์
คืนเท่านั้น เหตุใดถึงต้องฆ่าล้าง
ตระกูลเฉิงไม่เว้นสักคนเดียวกันนะ
โจวเสาจิ่นคิดแล้วคิดอีก
คิดว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับการสืบทอดบัลลังก์เป็นแน่
นางกระทั่งมีความคิดที่อาจหาญความคิดหนึ่ง
จะเกี่ยวข้องกับท่านอารองเฉิงเซ่าหรือไม่กันนะ
หลังจากที่นางแต่งเข้าตระกูลเฉิงแล้วถึงได้รู้ว่าเฉิงเซ่าทําตัวสงบเสงี่ยมยิ่งยวด
แม้ว่าเขาเป็นเพียงอาจารย์สอนบัณฑิตในสํานักฮั่นหลิน ทว่ามักจะเข้าวังไปอ่านหนังสือ
เล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนองค์ฮ่องเต้อยู่บ่อยๆ บางครั้งเวลาที่องค์ฮ่องเต้ทรงพระอักษรตําราเล่มใด
4719
จะส่งขันทีไปมอบให้เฉิงเซ่าที่นั่นในทันที หากเฉิงเซ่าได้รับของดีอะไร ขอเพียงส่งคนไปบอกที่
ประตูซีฮวาสักหน่อย ก็มีคนมารับของ ณ เดี๋ยวนั้น นอกจากนี้ความสัมพันธ์ประเภทนี้ ยังถือว่ามี
พิธีรีตองระหว่างองค์ฮ่องเต้และข้าราชบริพารน้อยลงหลายส่วน แต่มีบรรยากาศของสหายคน
สนิทมากขึ้นหลายส่วน
เพียงดูจากตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยากจะหาตําแหน่งงานหนึ่งให้เฉิงเว่ยแต่กลับเดินใน
เส้นสายของฮูหยินเผิงเฉิงก็รู้แล้ว
หากตระกูลเฉิงมีเรื่องอะไรจะไม่ขอให้เฉิงเซ่าออกหน้า ขอเพียงความสัมพันธ์เช่นนี้
ระหว่างเฉิงเซ่ากับองค์ฮ่องเต้ยังมีอยู่ ยามที่ตระกูลเฉิงมีคนที่กระทําความผิด ด้วยเห็นแก่หน้าของ
เฉิงเซ่าองค์ฮ่องเต้ก็จะช่วยดูแลจัดการให้
นี่สําหรับตระกูลเฉิงก็นับเป็นพระมหาธิคุณล้นฟ้าแล้ว คล้ายกับได้รับป้ายพ้นโทษตาย
อาญาสิทธิ์
ครึ่งหนึ่งแล้ว
แต่โอรสสวรรค์รัชกาลหนึ่งก็มีขุนนางราชสํานักหนึ่ง ตระกูลเฉิงเป็นเช่นนี้ก็ง่ายที่จะพลาด
พลั้งทําความผิด
โจวเสาจิ่นรู้สึกสมองสับสนไปหมด คิดไม่ตกเสียที จึงโยนปัญหานี้ไปให้เฉิงฉือ
เฉิงฉือกอดนางพลางหัวเราะไม่หยุด กล่าวว่า “คิดมากไปแล้ว หากให้กําเนิดบุตรชาย
เหมือนเจ้าคนหนึ่ง คงจะรู้สึกเป็นห่วงแทบตายแน่ๆ!”
โจวเสาจิ่นไม่เชื่อ เอ่ยแย้งว่า “หากมีบุตรชายเหมือนข้า อย่างน้อยก็หน้าตาหล่อเหลา หา
ภรรยาที่มีความสามารถคนหนึ่งได้มิใช่หรือเจ้าคะ”
4720
เฉิงฉือพยักหน้าอย่างจริงจังทีหนึ่ง พลางกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าต้องพยายามสักหน่อยแล้ว
ล่ะ อย่างไรก็ต้องเต่าไต้ให้ถึงยศขั้นสามบน ตระกูลขุนนางทั่วจิงเฉิงล้วนเลือกลูกสะใภ้ได้ตามใจ
ปรารถนา เกรงแต่ว่าเขาจะมีสมองเหมือนเจ้า แต่มีประพิมพ์ประพายเหมือนข้า!”
อยากให้หน้าตาคล้ายเจ้าสี่หรือไม่กันนะ
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก มองดวงหน้าอันหล่อเหลาของเฉิงฉือ สายตาก็เปลี่ยนเป็นรักใคร่
เสน่หา กล่าวว่า “ถ้าหากหน้าตาเหมือนท่าน แม้แต่องค์หญิงก็ยังขอได้ นับประสาอะไรกับ
บุตรสาวตระกูลขุนนางเจ้าคะ”
ดวงใจของเฉิงฉืออบอุ่นขึ้นมา
เขากระซิบถามโจวเสาจิ่นว่า “ในใจของเจ้า ข้าดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าไม่หยุด
เฉิงฉือหัวเราะร่วนแล้วโอบกอดนาง พลางกล่าวว่า “พวกเราไปทําอย่างอื่นกันเถอะ”
โจวเสาจิ่นพลันหน้าร้อนผะผ่าว กล่าวว่า “ข้าไม่ไปเจ้าค่ะ!”
นางไม่อยากทําตัวเหลวไหลกลางวันแสกๆ
แต่เรื่องอย่างนี้อย่างไรก็ยากจะหยุดเฉิงฉือได้
ท้ายที่สุดโจวเสาจิ่นไม่เพียงประนีประนอม ทั้งยังเป็นคนที่กอดเฉิงฉือไม่ยอมปล่อยผู้นั้น
อีกด้วย…
ทันใดนั้นเฉิงฉือก็คิดว่า การตัดสินใจไม่อยากมีลูกในตอนนี้ถูกต้องแล้วจริงๆ
เขาเลี้ยงดูโจวเสาจิ่นประหนึ่งเป็นบุตรสาวก็แล้วกัน
4721
วันหยุดมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ วันรุ่งขึ้นตอนไปทํางาน เฉิงฉือไปสายกว่าทุก
ทีเล็กน้อย
ไหวซานรีบเดินเข้ามา กล่าวกับเฉิงฉือว่า “พวกข้าเจอเฉิงลู่แล้ว เขาใช้สถานะเป็นจวี่เหริน
ที่สอบจิ้นซื่อไม่ผ่านขอยืมที่พํานักในวัดเซิ่งเสียนทางตอนเหนือของเมือง… แต่เขาระแวดระวังตัว
เป็นอย่างมาก ตอนที่พวกเราไปถึงที่นั่น เขาคงจะหนีไปแล้วขอรับ”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
นางคาดไม่ถึงว่าเฉิงลู่จะหลบหนีจากสายตาของไหวซานและพรรคพวกได้
ทว่าเฉิงฉือกลับย่นหัวคิ้ว พลางเอ่ยถามว่า “‘ตอนที่พวกเราไปถึงที่นั่น เขาคงจะหนีไป
แล้ว’ หมายความว่าอย่างไร!”
ไหวซานตอบว่า “คนของพวกข้ามั่นใจเกินไปขอรับ เห็นว่าเขาเป็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอที่
มือไม่มีแรงจับไก่คนหนึ่ง จึงส่งคนไปจับตาดูเขาเพียงคนเดียว เมื่อเห็นเขาเข้าไปในกุฏิของวัด ก็
รออยู่ข้างนอกโดยตลอด จวบจนท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว จึงพบว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง ตอนที่ไป
หาตัวเขา ก็พบว่าในที่พักของเขา พวกเครื่องเขียนทั้งสี่ เสื้อผ้าอาภรณ์และจานชามล้วนอยู่ครบ
ไม่ต่างจากในยามปรกติแต่อย่างใด แต่กลับไม่มีเงินสักแดงเดียว ข้าสันนิษฐานว่าเขาคงจะ
หลบหนีไปแล้ว แต่ก็ยังส่งบ่าวสองคนไปจับตาดูอยู่ที่นั่นขอรับ…”
เฉิงฉือกล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจขึ้นว่า “เช่นนั้นช่วงนี้ก็หาทางตามหาเขาให้พบ”
ไหวซานรับคําแล้วถอยออกไป
โจวเสาจิ่นปลอบเฉิงฉือว่า “ในเมื่อพบเบาะแสแล้ว ย่อมต้องหาเจอแน่นอนเจ้าค่ะ ท่าน
อย่ากังวลไปเลย”
4722
เฉิงฉือพยักหน้า แล้วไปที่ทําการด้วยจิตใจที่รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย
อู๋เป่าจางมาชวนนางไปเยี่ยมเฉิงเซิง
โจวเสาจิ่นไม่อยากคบหาสมาคมกับนาง กล่าวว่า “อาเซิงยังอยู่เดือน พวกเราไปเยี่ยม
นางตอนนี้ไม่ค่อยดีนักหรอก!”
อู๋เป่ าจางกล่าวยิ้มๆ ว่า “มิใช่ว่าข้าได้ยินมาว่ากูไหน่ไนสามอยู่เดือนแล้วรู้สึกเบื่อมาก
หรอกหรือ เลยอยากจะไปอยู่เป็นเพื่อนนาง!”
โจวเสาจิ่นกล่าวว่า “เจ้ากับนางเป็นรุ่นเดียวกันจึงไม่เป็นไร แต่ข้าเป็นอาสะใภ้ของนาง
หากไปแล้วแม่สามีของนางก็ต้องออกหน้ามาต้อนรับด้วยตนเอง เจ้าคิดว่าข้าไปแล้วเหมาะสมนัก
หรือ”
รอยยิ้มของอู๋เป่าจางก็ฝืดฝืนขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “ดูข้าสิ ลืมเรื่องนี้ไปเสียได้”
โจวเสาจิ่นคร้านจะพูดมากกับนาง จิบนํ้าชาสองสามคําแล้วส่งแขกออกไป
จนกระทั่งถึงพิธีครบเดือนของบุตรชายเฉิงเซิง อู๋เป่าจางเห็นฮูหยินเผิงแม่สามีของเฉิงเซิง
และคนอื่นๆ ต่างล้อมรอบชิวซื่อสนทนากัน นางก็ดึงตัวโจวเสาจิ่นไปพูดคุยอีกครั้ง
โจวเสาจิ่นรําคาญนางยิ่งนัก จึงไปออกไปที่เฉลียงทางเดินของห้องโถงกับนาง แต่ไม่รอให้
นางได้เอ่ยปากพูด โจวเสาจิ่นก็กล่าวขึ้นว่า “วันนี้เป็นพิธีครบเดือนของลูกชายอาเซิง คนจากบ้าน
เดิมเช่นพวกเรานี้มาเพื่ออยากจะแสดงความยินดีกับนางมิใช่หรือ เช่นนั้นก็ควรจะโอภาปราศรัย
กับคนของตระกูลเผิงให้ดีถึงจะถูก พวกเรามีเรื่องอะไรกลับไปแล้วค่อยคุยกันก็ได้ ถ้าวันหลังเจ้า
ยังทําเช่นนี้อีก ก็อย่าได้ออกมากับพวกข้าแล้วกัน”
สีหน้าของอู๋เป่าจางเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวว่า “เป็นพี่สะใภ้สวี่ที่นัดข้ามาข้าถึงได้มากับ
พวกเจ้า…”
4723
“เช่นนั้นก็ดี” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “ต่อไปเจ้ามีเรื่องอะไรก็ไปหานางโดยตรง
แล้วกัน อย่าดึงข้าไปด้วยเลย”
อู๋เป่าจางยิ้มเย็น พลางกล่าวว่า “หากมิใช่เพราะพี่สะใภ้สวี่ขอร้องข้า เจ้าคิดว่าข้าจะลาก
เจ้าออกมาหรือ!”
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน
ไม่ว่าจะเป็นท่าทีของอู๋เป่าจางหรือความนัยที่เล็ดลอดออกจากถ้อยคําของนางล้วนทําให้
นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
ทว่าไม่รอให้นางขบคิดจนเข้าใจ นางก็เห็นเฉิงสวี่เดินเข้ามา
โจวเสาจิ่นประหลาดใจ
นี่คือลานชั้นใน เฉิงสวี่เข้ามาทําไม
เมื่อเทียบกับคราวก่อนที่พบเขา เขาทั้งผอมลงมาก และเครื่องหน้าเนื่องจากเปลี่ยนเป็น
เด่นชัดยิ่งขึ้น จึงขาดความสดใสมีชีวิตชีวาของเด็กหนุ่มหลายส่วน แทนที่ด้วยความสุขุมนุ่มลึก
ของบุรุษมากขึ้นหลายส่วน
ครั้นเห็นโจวเสาจิ่น เขาก็ประหลาดใจเป็นอย่างมากเช่นกัน แต่ไม่นานนัก ความ
ประหลาดใจนี้ก็เปลี่ยนเป็นความข่มขื่น ทว่าในความข่มขื่นกลับมีร่องรอยยินดีปะปนเล็กน้อย สี
หน้าก็เปลี่ยนเป็นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม คล้ายจะร้องไห้แต่ไม่ร้องไห้
โจวเสาจิ่นระวังตัวอยู่ในใจ รีบเงยหน้ามองไปรอบด้าน
เห็นหมิ่นเจียเดินออกมาจากข้างหลังต้นทับทิมยืนอยู่ข้างบันได
4724
อู๋เป่าจางสบถเย็นทีหนึ่ง กระซิบข้างหูของโจวเสาจิ่นว่า “ข้าบอกแล้วว่ามิใช่ข้าที่อยากมา
ทําไมเจ้าถึงไม่เชื่อกันเล่า”