ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่510 เปิ ดเผยความจริง
ขณะที่อู๋เป่าจางกําลังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ ข้างใน ทางด้านเฉิงลู่ที่ออกจากตระกูลเฉิง
กําลังเดินบนถนนจูเชวี่ยตามลําพัง
ความมืดมิดยามราตรีปกคลุมรอบด้าน ถนนเงียบงันไร้สุ้มเสียง สองข้างทางของถนน
ซอกซอยค่อยๆ จุดโคมไฟขึ้น ทําให้แสงไฟดวงเล็กๆ ส่วนนี้ดูโอ่อ่าหลายส่วน
นี่ถึงจะเป็นชีวิตที่เขาอยากจะมี
ขณะที่เฉิงลู่ครุ่นคิดอยู่ก็หยุดฝีก้าว
เฉิงฉือไล่ล่าเขาไม่ปล่อย เขานึกถึงของมีค่าที่นําออกมาจากบ้านก่อนหน้านี้และเงินที่
ได้รับหลังจากนั้นค่อยๆ ร่อยหรอจนหมดระหว่างที่หลบหนีทุกๆ ครั้ง
แต่เขากลับไม่นึกไม่ฝันว่าตนจะมีวันหนึ่งที่ยื่นมือไปหาอู๋เป่ าจางเพื่อเงินสองร้อยเหลี่ยง
ยิ่งไม่คาดคิดว่าเขาจะมีวันหนึ่งที่ใช้ชีวิตโดยพึ่งพาอาศัยผู้หญิง!
เขาตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไรกันนะ
แววตาของเฉิงลู่เปลี่ยนเป็นหม่นหมองลง
เขาหมุนกายไปแล้วค่อยๆ เดินไปที่ซอยซิ่งหลิน
ข้างหน้าเรือนของเฉิงจิงที่ตั้งอยู่ที่ซอยซิ่งหลินปลูกต้นแป๊ ะก๊วยไว้สองต้น
ลําต้นสูงตระหง่าน ใบไม้ละเอียดอ่อน พลิ้วไหวกลางสายลมยามคํ่าคืนดังซ่าๆ
เฉิงลู่เหม่อมองประตูหรูอี้สีแดงสดของตระกูลเฉิง
4746
ครั้งหนึ่ง เขาเคยยืนอยู่ที่ประตูด้วยความอิจฉาเหลือแสน คิดว่าตนจะมีวันหนึ่งที่สอบผ่าน
ได้ยศจิ้นซื่อแล้วสวมชุดขุนนางสีเขียวใหม่เอี่ยมขณะที่พ่อบ้านตระกูลเฉิงต้อนรับเข้าไป แล้วนั่ง
สนทนากับเฉิงจิงด้วยความเคารพนับถือในห้องรับรองแขกที่กว้างขวางและสว่างไสว… ทว่าบัดนี้
นี่กลับกลายเป็นเพียงความฝันเท่านั้น
ไม่มียศจิ้นซื่อขั้นสอง หรือสถานะเป็นบุตรหลานของตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรู หรือความ
โดดเด่นเหนือกว่าผู้อื่นที่ฮึกเหิมอาจหาญอีกต่อไปแล้ว… ตอนนี้เขาเป็นเพียงสุนัขไร้บ้านที่ถูก
ตระกูลเฉิงขับไล่ออกไปจนมีบ้านแต่กลับไม่ได้ มีญาติแต่ติดต่อไม่ได้ตัวหนึ่งเท่านั้น
เขาจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปเช่นนี้อย่างแน่นอน!
เขาจะไม่ปล่อยเฉิงฉือกับโจวเสาจิ่นไปอย่างแน่นอน!
และเขาจะไม่ให้เฉิงสวี่มีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน!
เฉิงลู่หมุนกายไป แล้วสาวเท้าออกจากซอยซิ่งหลิน
ภายในเรือนปีกตะวันออกของตระกูลเฉิงแห่งซอยซิ่งหลิน หมิ่นเจียรับถาดสีแดงวาดลาย
ดอกไห่ถังด้วยสีทองจากมือของซู่เย่ว์สาวใช้ พลางกระซิบถามว่า “คุณชายใหญ่ยังอ่านหนังสืออยู่
หรือ”
ซู่เย่ว์พยักหน้าพร้อมกับตอบเสียงค่อยว่า “คุณชายใหญ่ไม่ได้ขยับไปไหนมาสองชั่วยาม
แล้วเจ้าค่ะ นี่เป็นต้มเม็ดบัวใส่ไป่ เหอที่ข้าให้ครัวต้มเอาไว้ จะดีจะร้ายสะใภ้ใหญ่ก็ควรโน้มน้าวให้
คุณชายใหญ่กินสักหน่อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าไม่รอให้สอบผ่านร่างกายก็คงจะล้มป่ วย
เสียก่อนนะเจ้าคะ”
4747
นางเป็นสาวใช้ที่หมิ่นเจียพามาจากตระกูลหมิ่น บุตรหลานของตระกูลหมิ่นตรากตรํา
อ่านตําราอย่างไร เข้าร่วมการสอบขุนนางอย่างไร นางเห็นมามากแล้ว
หมิ่นเจียพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เจ้าไปพักผ่อนเถอะ! ต้มเม็ดบัวใส่ไป่เหอนี้ข้าจะยกเข้า
ไปเองก็แล้วกัน”
ซู่เย่ว์พยักหน้า กระซิบบอกหมิ่นเจียว่า “ตอนเที่ยงฮูหยินเข้าไปแล้ว ปิดประตูสนทนากับ
คุณชายใหญ่นานครึ่งค่อนวัน หลังจากฮูหยินออกไปแล้ว สีหน้าของคุณชายใหญ่ก็ไม่น่าดูยิ่งนัก
สะใภ้ใหญ่ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ”
หมิ่นเจียอดย่นหัวคิ้วไม่ได้
แม่สามีของนางผู้นี้ ทั้งที่บุตรชายแต่งงานแล้วก็ยังมายุ่งวุ่นวายอยู่เรื่อยๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว!” ขณะที่นางตอบก็ผลักประตูเข้าไปเบาๆ
ตั้งแต่กลับมาจากพิธีครบเดือนของบุตรชายเฉิงเซิงวันนั้น เฉิงสวี่ก็ไม่ได้พูดกับนางอีกเลย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องร่วมเตียงเคียงหมอนกันเลย
เดิมทีนางคิดว่าเรื่องนี้มิใช่ความผิดของนาง เขาอยากจะโกรธก็ปล่อยให้เขาโกรธไป ทว่า
นางทนคํารบเร้าของแม่นมไม่ได้ “ต่อให้ท่านตั้งมั่นในความคิดแล้วอย่างไรเจ้าคะ ท่านกับคุณชาย
ใหญ่เป็นสามีภรรยากันแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยานี้ก็ควรจะรักใคร่กลมเกลียวกัน ต่อ
ให้มิอาจรักใคร่กันได้ ก็ต้องให้เกียรติกันเสมือนเป็นแขก ท่านทําตัวอย่างนี้ มีแต่จะทําให้แม่สามี
ไม่พอใจ ทําให้สามีห่างเหินนะเจ้าคะ…”
หมิ่นเจียนึกถึงตนเองที่แต่งงานเข้าตระกูลเฉิงยังไม่ถึงครึ่งปี ข้างกายยังคงว่างเปล่าไม่มี
สิ่งใดเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ครั้นไตร่ตรองดูแล้ว สุดท้ายก็ยอมประนีประนอม
4748
แต่สิ่งที่ทําให้นางคาดไม่ถึงก็คือ ท่าทีสงบเสงี่ยมของนางมิได้ทําให้เฉิงสวี่ใจอ่อนลงแต่
อย่างใด ในทางกลับกันเขาชําเลืองมองนางอย่างเย็นชาทีหนึ่ง ชี้ไปที่มุมโต๊ะหนังสือมุมหนึ่งพลาง
กล่าวว่า “วางของไว้ก็พอแล้ว”
ก็ได้! เรื่องที่พาโจวเสาจิ่นไปพบเขาเป็นตนเองที่ผิด นางไม่ควรจะหยั่งเชิงเขาใน
สถานการณ์เช่นนั้น มีเรื่องอะไรก็ควรกลับมาก่อนแล้วสองตระกูลปิดประตูพูดคุยกันให้กระจ่าง
ชัดเจน ความไม่พอใจที่เขามีต่อนางนางก็อดทนอดกลั้นแล้ว
หมิ่นเจียก้มหน้าลงพร้อมกับวางต้มเม็ดบัวใส่ไป่เหอลงบนโต๊ะหนังสือ
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงของเฉิงสวี่ดังขึ้นอีกครั้งว่า “ต่อไปอย่าให้สาวใช้เหล่านั้นนํา
อาหารมาที่ห้องหนังสืออีก ที่นี่เป็นสถานที่อ่านหนังสือ ทําให้ทั้งห้องมีแต่กลิ่นอาหารจะเหมือน
เป็นห้องอะไร อีกทั้งต้มหวานนี้ วางไว้ที่ใดก็เหนียวเหนอะหนะไปหมด…”
หมิ่นเจียสะกดอารมณ์เอาไว้ ถึงได้ไม่ทําถาดใบนั้นตกลงพื้น
เขากับโจวเสาจิ่นมีความสัมพันธ์ลับต่อกันแล้วติดค้างโจวเสาจิ่น แต่ก็หาได้เป็นความผิด
ของนางไม่ เขามีสิทธิ์
ไปถอนหมั้นกับพ่อแม่ของตน!
ทําไมถึงต้องระบายโทสะใส่นาง
ทําไมถึงต้องชักสีหน้าให้นางเห็น!
หมิ่นเจียอดยิ้มเย็นไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “หากสามีไม่พอใจอะไร ก็บอกแม่สามีโดยตรงก็
พอแล้ว ทุกวันต้องยกชามาให้ท่านเวลาใด ยกของว่างมาให้ท่านเวลาใด วันหนึ่งต้องกินกี่มื้อ
ความจริงแล้วล้วนเป็นแม่สามีที่กําหนดเอาไว้ พวกข้าก็เพียงทําตามเท่านั้น! สุดท้ายข้าเป็นเพียง
ลูกสะใภ้ ทั้งเพิ่งเข้าเรือนมาใหม่ ไม่รู้ว่าในบ้านมีกฏระเบียบอะไรบ้าง ทําให้สามีได้รับความ
ลําบากเสียแล้วเจ้าค่ะ!”
4749
ถ้อยคําแฝงนัยถากกางคํารบนั้นของนางทําให้เฉิงสวี่เงยหน้าขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
สายตาเผยรอยตะลึงงัน
สีหน้าของหมิ่นเจียเยียบเย็นยิ่งขึ้น พลางกล่าวว่า “นี่คือต้มเม็ดบัวใส่ไป่ เหอ สามีจะกิน
หรือไม่ หากไม่อยากกิน ข้าก็จะให้สาวใช้ยกกลับไปที่ครัวแล้ว”
เฉิงสวี่ถูกยั่วโมโหแล้ว
ตอนเที่ยงมารดาก็มาพรํ่าบ่นครึ่งค่อนวัน บอกว่าตอนนี้ท่านอาสี่ฉือรับราชการแล้ว ใน
การสอบครั้งต่อไปไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องสอบให้ผ่าน หาไม่แล้วระยะห่างระหว่างท่านอาสี่ฉือก็คง
จะห่างเกินไปแล้ว บอกว่าจิตใจของท่านย่าโอนเอนไปทางประตูเฉาหยาง ด้วยความสามารถของ
ท่านอาสี่ฉือ ในไม่เร็วไม่ช้าเงินส่วนตัวของท่านย่าเหล่านั้นก็ต้องถูกท่านอาสี่ฉือหลอกล่อเอาไป
ให้เขารีบให้กําเนิดหลานชายคนโต ถึงเวลานั้นท่านย่าย่อมรู้สึกยินดี บางทีอาจจะหยิบเงินหลาย
หมื่นเหลี่ยงจากเงินส่วนตัวของตนเองให้พวกเขาก็เป็นได้… เขาได้ยินแล้วรู้สึกรําคาญยิ่งนัก กล่าว
ว่า มิใช่ว่าท่านอยากให้ข้าสอบผ่านได้ยศจ้วงหยวนหรอกหรือขอรับ ท่านใช้เรื่องไร้สาระเหล่านี้มา
รบกวนข้าทั้งวัน ข้าจะสอบผ่านได้หรือ ประโยคนี้ ถึงจะหยุดถ้อยคําของมารดาได้สําเร็จ
แต่นึกไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจะไล่มารดาออกไปหมิ่นซื่อก็มาอีกคนแล้ว
เขาทําหน้าเอือมระอาขึ้นมาในทันที เอ่ยถามว่า “เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่ เจ้าก็เป็น
คุณหนูตระกูลใหญ่ เป็นบุตรหลานของตระกูลเก่าแก่มีชื่อเสียง เวลามีเรื่องอะไรจึงพูดออกมาตาม
ตรงไม่ได้ ต้องพูดถ้อยคําเสียดสี ชี้ต้นหม่อนแต่ด่าต้นไหวอย่างนี้แล้วจึงจะรู้สึกสบายใจ จึงจะรู้สึก
ว่าตนเก่งกาจอย่างนั้นหรือ”
หมิ่นเจียโกรธจนตัวสั่น
เขาหมายความว่าอย่างไร
4750
คิดว่าโจวเสาจิ่นนางมิใช่คุณหนูตระกูลเก่าแก่อะไรนางจึงทําอะไรก็ไม่เป็นการเสแสร้ง
แกล้งทําอย่างนั้นหรือ
นัยน์ตาของหมิ่นเจียมีรอยมืดมนสายหนึ่งวาบผ่าน กล่าวว่า “เฉิงเจียซ่าน ข้าว่าเจ้า
ต่างหากที่พูดจาเสียดสี ชี้ต้นหม่อนแต่ด่าต้นไหวมากกว่ากระมัง ไม่เช่นนั้นเจ้าหวาดกลัวอะไร ข้า
เพียงบอกให้เจ้าไปบอกแม่สามีหากมีเรื่องไม่พอใจอะไรเท่านั้น เจ้าก็พูดถึงชาติกําเนิดของข้าแล้ว
ทําไม ชาติกําเนิดของข้าทําให้เจ้าไม่พึงพอใจอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าเห็นว่าผู้ใดเป็นที่พึงใจเล่า”
กล่าวถึงตรงนี้ นางก็ชะงัก แล้วจึงกล่าวอีกว่า “เป็นโจวเสาจิ่นอาสะใภ้เล็กของเจ้าใช่หรือไม่
หน้าตางดงามเพียงนั้น ประหนึ่งบุปผชาติก็ไม่ปาน มองอย่างไรก็ดีไปหมด มองอย่างไรก็รื่นตาไป
หมด แต่แล้วอย่างไร มิใช่ว่าเจ้าแต่งงานกับข้าไปแล้วหรอกหรือ หนําซํ้านางยังแต่งให้ท่านอาสี่
ของเจ้าด้วย…”
ถ้อยคําของนางราวกับทิ่มแทงทรวงอกของเขา
“เจ้าหุบปากให้ข้าซะ!” เฉิงสวี่ตะคอกเสียงตํ่า ดวงตาแดงกํ่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากําลังพูด
พล่ามอะไรอยู่ นี่เป็นถ้อยคําที่คุณหนูตระกูลใหญ่พึงพูดหรือ ยังไม่ออกไปให้ข้าอีก ข้าไม่อยากได้
ยินถ้อยคําเช่นนี้อีกต่อไป!”
เขาถึงกับกล้าขับไล่ตน!
หมิ่นเจียโตมาถึงเพียงนี้ กลับไม่เคยมีผู้ใดขับไสไล่ส่งนางมาก่อน
นางเองก็ไม่เคยได้รับความอับอายเช่นนี้มาก่อนเหมือนกัน
“เจ้าไล่ข้า?!” หมิ่นเจียจ้องมองเฉิงสวี่เขม็ง เห็นสายตาของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
“หรือว่าข้าพูดผิด? เจ้ามิได้ขอโทษโจวซื่อต่อหน้าข้าหรอกหรือ ทําไม เจ้าวางเพลิงได้แต่ไม่อนุญาต
ให้ข้าจุดไฟได้อย่างนั้นหรือ เจ้าทิ้งโจวซื่อไปแล้ว แต่พวกข้าไม่แม้แต่จะพูดถึงได้…”
4751
เฉิงสวี่ก็หัวเราะขึ้นมา
นึกถึงหมิ่นเจียที่ให้ซู่เย่ว์ผู้เป็นสาวใช้ข้างกายนําจดหมายมามอบให้ตน บอกว่านางรู้สึก
ไม่สบายเล็กน้อย ไม่อยากทําให้พวกผู้ใหญ่ในบ้านตกใจ ให้เขาเข้ามาพานางออกไป… ทว่าเขา
กลับเจอโจวเสาจิ่นโดยบังเอิญอย่างนั้น
หมิ่นเจียอึ้งงัน เสียงพูดหยุดชะงักขึ้นมาในทันใด
สีหน้าของเฉิงสวี่ขาวซีดปานกระดาษ มุมปากยกขึ้นครึ่งหนึ่ง คล้ายกับวาดรอยยิ้มหนึ่ง
ออกมา ทว่าความเย็นเยียบในดวงตากลับทําให้รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน
ทําให้นางเห็นแล้วก็รู้สึกหวั่นกลัว
หมิ่นเจียถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
ทว่าเฉิงสวี่กลับลุกขึ้นมา ค่อยๆ เดินออกมาจากข้างหลังโต๊ะหนังสือ เดินตรงไปจนถึงข้าง
กายหมิ่นเจีย มองตาของนางตรงๆ พลางกระซิบว่า “เจ้าอยากรู้มากนักใช่ไหมว่าระหว่างข้า
กับโจวเสาจิ่นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ อยากรู้ว่าตอนนี้ข้ายังถวิลหานางอยู่หรือไม่ อยากรู้ว่าข้าจะ
หวนรักกับนางดั่งถ่านไฟเก่าหรือไม่…”
สายตาที่เขามองหมิ่นเจียเย็นเยือกและชิงชัง ทําให้หมิ่นเจียตัวสั่นเทิ้มอย่างยากจะระงับ
พึมพําว่า “ไม่ เจ้าไม่ต้องบอกข้า…”
เฉิงสวี่ได้ยินแล้วก็หัวเราะลั่น ทว่าสายตากลับยังคงเย็นเยือกดังเก่า โน้มกายลงพลาง
กระซิบข้างหูนางว่า “ข้าจะบอกเจ้าก็แล้วกัน… ข้าชื่นชอบเสาจิ่นมาโดยตลอด แต่แม่ของข้าไม่เห็น
ด้วย พวกญาติพี่น้องของข้าคิดว่านี่เป็นโอกาสหนึ่งจึงวางยาในสุราของข้า จากนั้นก็หาทางนัดเสา
จิ่นไปที่โพรงหินของภูเขาจําลองในสวนดอกไม้ของพวกข้า ข้าสับสนมึนงงคิดว่าคนผู้นั้นคือเสาจิ่น
เลยอยากจะทําเรื่องที่หันกลับไม่ได้กับเสาจิ่น ทําให้คนในบ้านได้แต่ยอมรับเรื่องแต่งงานของข้า
4752
กับเสาจิ่น… ดังนั้น ข้าเกือบจะฝืนใจและทําร้ายเสาจิ่นแล้ว! ฝืนใจและทําร้ายนางแล้ว…” ขณะที่
เขากล่าว ความเจ็บปวดที่ฝังลึกในใจเหล่านั้นก็พรั่งพรูออกมาราวนํ้าหลากที่ไหลเชี่ยวชนทํานบ
กั้นเหตุและผลของเขา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปวดร้าวและเสียใจ “เจ้าอยากรู้ไม่ใช่หรือว่า
ทําไมข้าถึงขอโทษนาง นี่ก็คือความจริง! ไม่มีเรื่องที่ว่าใครติดค้างใครแต่อย่างใด! ไม่มีเรื่อง
ความสัมพันธ์ลับแต่อย่างใด… เจ้าพอใจหรือยัง พอใจได้แล้ว!”
“ไม่ๆ ๆ” หมิ่นเจียดวงหน้าเผือดสี สายตาที่มองเฉิงสวี่ราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน นางถอยหลัง
ติดๆ กันหลายก้าว จนร่างชนแขนเก้าอี้ของเก้าอี้มีเท้าแขน ถึงได้หยุดฝีก้าว “เจ้าโกหก! เป็นเช่นนี้
ได้อย่างไร เจ้าเป็นเจี้ยหยวนของทางใต้ เป็นปัญญาชน เป็นบุตรหลานของซอยจิ่วหรูแห่งเมือง
จินหลิง… เจ้าทําเรื่องเช่นนี้ไปได้อย่างไร! เจ้าทําเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร… ไม่ เป็นไปไม่ได้ เจ้าโกหก
ข้า…”
“โกหกเจ้า?!” เฉิงสวี่แสยะยิ้ม “เจ้ามิได้อยากรู้ความจริงมาตลอดหรอกหรือ ตอนนี้เจ้ารู้
ความจริงแล้วรับไม่ได้ จึงคิดว่าข้าโกหกเจ้า เช่นนั้นก็ดี เอาเป็นว่าข้าโกหกเจ้าก็แล้วกัน เจ้าก็
หลอกตัวเองให้คิดว่าข้ากับโจวเสาจิ่นมีความสัมพันธ์ลับต่อกันก็แล้วกัน หลอกตัวเองต่อไปเรื่อยๆ
ว่าข้ามีคนในดวงใจก็แล้วกัน… เจ้าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่และมีชื่อเสียงด้านคุณธรรมจรรยามิใช่
หรือ ตั้งแต่แรกสิ่งที่ท่านแม่ของข้าปรารถนาถึงได้แต่งเจ้าเป็นลูกสะใภ้ก็เพราะมุ่งเน้นไปที่
คุณธรรมของเจ้า ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา เจ้ากลืนนํ้าตาลงท้อง รู้สึกเป็นทุกข์เหลือแสน
เรียกร้องความสมบูรณ์เพียบพร้อมทุกด้าน ก็ทําให้ชื่อเสียงด้านคุณธรรมอันดีของเจ้าเป็นจริง
ขึ้นมาได้พอดีมิใช่หรือ