ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่511 ร่วมทุกข์
ถ้อยคําของเฉิงสวี่ราวกับฝ่ ามือที่ตบลงบนหน้าของหมิ่นเจียอย่างแรงก็ไม่ปาน ทําให้
หมิ่นเจียพูดอะไรไม่ออกแม้ประโยคเดียวนานครู่ใหญ่
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ใบหน้าของนางถึงได้เผือดสี กอดถาดเคลือบสีแดงวาดลายดอก
ไห่ถังด้วยสีทองอย่างลนลานขณะเซถลาออกจากห้องหนังสือไป
เฉิงสวี่ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนอย่างเสียใจ นํ้าตาร่วงไหลลงมาจากดวงตาอย่าง
ไร้สุ้มเสียง
เรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
เดิมทีเขาคิดว่าเขาผิดต่อโจวเสาจิ่นไปคนหนึ่งแล้ว ก็มิอาจผิดต่อคนอีกผู้หนึ่งได้ เหมือนที่
ท่านย่าบอกไว้ รับผิดชอบสิ่งที่ตนควรจะรับผิดชอบ ในเมื่อแต่งงานกับนางแล้ว ก็ตั้งใจใช้ชีวิต
ร่วมกับนาง แต่เขานึกไม่ถึงว่า เรื่องราวกลับถูกตนทําพังเสียแล้ว ทั้งสองคนถึงกับเดินมาถึงหนึ่ง
ก้าวนี้
ไม่รู้ว่านางจะพูดเรื่องนี้ออกไปหรือไม่นะ
หากว่านางพูดออกไป เช่นนั้นเสาจิ่นจะเป็นคนได้อย่างไร!
ชั่วขณะนั้น เขาเสียใจเป็นอย่างมาก
หมิ่นเจียไม่รู้เลยว่าตนกลับถึงห้องไปได้อย่างไร
ตอนที่นางเอนกายลงบนเตียง ก็คิดว่าตนไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกมือขึ้นเลย
ตระกูลเฉิงเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
4754
ทั้งที่รู้ว่าคนที่เฉิงสวี่ชื่นชอบคือโจวเสาจิ่น ทั้งที่รู้ว่าเฉิงสวี่เกือบจะ… ยังให้นางแต่งงานเข้า
บ้านมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
พวกเขาหน้าไม่อายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน!
กล่าวถึงตรงนี้ หมิ่นเจียคิดว่านางอยู่ต่อไปในบ้านหลังนี้อีกนาทีเดียวไม่ได้เสียแล้ว
นางพยายามลุกขึ้นมา
ซู่เย่ว์รีบก้าวมาประคองนาง เอ่ยถามอย่างเป็นห่วงว่า “สะใภ้ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไปหรือ
เจ้าคะ เมื่อครู่ตอนที่เพิ่งกลับมาสีหน้าขาวซีดจนทําให้คนอื่นตกใจ เป็นไปได้หรือไม่ว่าคุณชาย
ใหญ่เขา…”
สามีภรรยาคู่ใดบ้างที่มิได้รักใคร่กลมเกลียวกันในช่วงข้าวใหม่ปลามัน แต่สะใภ้ใหญ่ของ
พวกนางกับคุณชายใหญ่ก็ดี คนหนึ่งอยู่ในห้องนอน เจ้าไม่มาเข้าใกล้ข้าข้าก็ไม่ไปเข้าใกล้เจ้า อีก
คนหนึ่งอยู่ในห้องหนังสือ ทุกการกระทําล้วนแสดงให้เห็นว่าข้าอยากจะอ่านหนังสือพวกเจ้า
อย่าได้มารบกวนข้าตามอําเภอใจ ไหนเลยจะมีบรรยากาศของคู่แต่งงานใหม่เลยสักนิด
แม่นมบอกนางเป็นการส่วนตัวหลายครั้งแล้ว ให้นางยํ้าเตือนสะใภ้ใหญ่ยามที่มีเวลาว่าง
สักหน่อย
ดูท่าวันนี้ เกรงว่าสะใภ้ใหญ่กับคุณชายใหญ่คงจะทะเลาะกันเสียแล้ว
ทว่าถ้อยคําของนางเพิ่งจะเอ่ยออกมา หมิ่นเจียก็ตวาดขึ้นเสียงดังว่า “ต่อไปเจ้าเอ่ยชื่อนี้
ต่อหน้าข้าให้น้อยลงเสีย! น่ารังเกียจจริงๆ…”
ซู่เย่ว์ตกใจกลัว ขณะที่ผวาอยู่นั้นก็ร้องว่า “คุณหนูใหญ่” คําหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงค่อยว่า
“แม้ว่าคนในห้องนี้เป็นคนของพวกเรา แต่คนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างนอกล้วนเป็นคนของตระกูลเฉิง ถ้า
เกิดว่าถูกคนได้ยินเข้าก็คงแย่นะเจ้าคะ ท่านมีเรื่องอะไรให้อดทนเอาไว้ก่อน กลับบ้านไปค่อยบอก
4755
คุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่เป็นถึงจ้วงหยวน ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาตระกูลเฉิงก็ต้องให้เกียรติ
คุณชายใหญ่หลายส่วนกระมังเจ้าคะ”
จริงด้วย!
นางยังมีบ้านเดิมอยู่นี่นา
ตระกูลเฉิงรังแกนางเช่นนี้ นางควรจะขอคนจากบ้านเดิมช่วยออกหน้าให้ถึงจะถูก
แต่ต่อให้คนจากบ้านเดิมช่วยออกหน้าให้นาง นาง…นางจะขอหย่าได้หรือ
ไม่ต้องพูดถึงหลังจากนางหย่าแล้วกลับไปอยู่บ้านเดิมได้หรือไม่ ขอเพียงนางหย่า
กับเฉิงสวี่ ชื่อเสียงของตระกูลหมิ่นที่ว่า ‘ไม่มีหญิงสาวที่แต่งงานใหม่มาหกรุ่น’ นั้นก็นับว่าสิ้นสุด
ลงแล้ว นอกจากนี้จะทําให้ตระกูลหมิ่นเสียหน้ายิ่งยวด หนําซํ้ายังลากพี่ชายเข้าไปเกี่ยวพันด้วย
ทําให้ผู้อาวุโสของตระกูลหมิ่นรู้สึกผิดหวังกับความสามารถในการจัดการของพี่ชาย ซึ่งอาจจะทํา
ให้พี่ชายสูญเสียการสนับสนุนของผู้อาวุโสได้เล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องเช่นนี้ หากพูดออกไป นั่นก็เป็นข่าวอื้อฉาวที่น่าตกใจสะเทือนฟ้า
ไม่เพียงแค่เฉิงสวี่เท่านั้น แม้แต่เฉิงฉือที่แต่งงานกับโจวเสาจิ่น เฉิงจิงกับเฉิงเว่ยผู้เป็น
พี่ชายของเฉิงฉือก็จะถูกลากเข้าไปด้วย อย่างน้อยภายในห้าสิบปีตระกูลเฉิงก็อย่าได้คิดจะยืนตัว
ตรงพูดอะไรอีกเลย
ดังคํากล่าวที่ว่า การตัดเส้นทางการเงินของผู้อื่นเท่ากับฆ่าพ่อแม่ของคนผู้นั้น
หากนางตัดเส้นทางการเป็นขุนนางของตระกูลเฉิงแล้ว ก็เลวร้ายยิ่งกว่าฆ่าพ่อแม่ของ
พวกเขา
เช่นนั้นตระกูลเฉิงกับตระกูลหมิ่นก็จะกลายเป็นศัตรูอาฆาตไปหลายชั่วคนแล้ว
4756
ด้วยอํานาจของตระกูลเฉิงจะต้องหํ้าหั่นกับตระกูลหมิ่นจนไม่ปลาตายก็แหขาดเป็นแน่
ต่อให้ตระกูลหมิ่นไม่ถูกตระกูลเฉิงลากลงนํ้าก็ต้องบาดเจ็บสาหัส ไม่เหลืออํานาจยืนอยู่ในแถว
ของตระกูลเก่าแก่ระดับหน้าแล้ว
ขณะที่หมิ่นเจียครุ่นคิด หน้าผากก็มีเหงื่อผุดซึมออกมา
เรื่องนี้นอกจากนางจะพูดออกไปไม่ได้ ยังต้องปิดบังเอาไว้อีกด้วย
ปิดบังไว้จนตาย
หนําซํ้าตอนที่คนอื่นพูดถึงเรื่องนี้ยังต้องยืนยันว่าเฉิงสวี่ไม่ได้ทําอีกด้วย…
ครั้นตระหนักแจ่มแจ้งถึงสถานการณ์ที่ตนเผชิญ ไฟโทสะในใจของนางก็พัดโถมมา
ประหนึ่งลมพายุที่กวาดผ่านชายแดนก็ไม่ปาน ทําให้นางมิอาจสะกดกลั้นได้อีกต่อไป
นางทําเรื่องเสียกิริยาที่ไม่เคยทํามาก่อนตั้งแต่เกิดมา คว้าหมอนอิงข้างมือแล้วขว้าง
ออกไปแรงๆ
“สะใภ้ใหญ่เจ้าคะ!” ซู่เย่ว์ตกใจอ้าปากค้าง
“ไสหัวออกไป ไสหัวออกไปให้ข้าเดี๋ยวนี้!” หมิ่นเจียตะคอกเสียงดังอย่างควบคุมตนเองไม่
อยู่ นํ้าตาไหลหลั่งลงมาดั่งสายพิรุณก็ไม่ปาน
ซู่เย่ว์นึกถึงสีหน้าของหมิ่นเจียที่ออกมาจากห้องหนังสือของเฉิงสวี่เมื่อครู่ แล้วส่งสายตา
ให้สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องอย่างเป็นกังวล นําพวกนางออกไปตามๆ กัน
ชั่วขณะนั้นภายในห้องเปลี่ยนเป็นเงียบงันไร้สุ้มเสียง
หมิ่นเจียซบหมอนอิงใบใหญ่ ร้องไห้โฮออกมา
ทําไมเฉิงสวี่ต้องบอกนางด้วย
4757
หากนางไม่รู้ก็จะไม่ทุกข์ใจ
เขาคิดว่าแทนที่เขาจะทนทุกข์อยู่คนเดียวไม่สู้ร่วมทุกข์กันสองคนเสียยังจะดีกว่าอย่างนั้น
หรือ
ต่อไปนางควรจะทําอย่างไรดี
โจวเสาจิ่นแต่งให้เฉิงฉือได้ ไม่แน่ว่าตระกูลเฉิงอยากจะปิดปากของโจวเสาจิ่นก็เป็นได้
ตอนนี้นางรู้เรื่องนี้แล้วเช่นกัน ตระกูลเฉิงจะยอมปล่อยนางออกไปได้อย่างไร
พอนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็นึกถึงอู๋เป่าจางขึ้นมา นึกถึงสีหน้าตอนที่นางพยักพเยิดให้อู๋เป่า
จางหาทางเรียกโจวเสาจิ่นออกมา
หรือว่านางก็เป็นคนที่รู้เรื่องคนหนึ่งเหมือนกันนะ!
นางนําพาตนไปสืบหาเรื่องนี้ได้ จะนําคนอื่นไปสืบค้นเรื่องนี้ได้ด้วยหรือไม่
หมิ่นเจียนึกถึงถ้อยคําที่โจวเสาจิ่นบอกนางวันนั้น ให้นางไปถามแม่สามีของนางหากมี
เรื่องอะไร อย่าได้วิ่งพล่านไปทั่วทุกที่… ก็คิดว่าตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว ถ้อยคําประโยคนี้ของโจวเสาจิ่
นแฝงนัยลึกซึ้งยิ่งนัก
หมิ่นเจียล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับนํ้าตา ใคร่ครวญครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
โจวเสาจิ่นที่อยู่ที่ประตูเฉาหยางทางด้านโน้น กําลังนั่งตรวจสอบบัญชีใต้ตะเกียง
เฉิงฉือกําลังคัดอักษรอยู่ข้างๆ
พอเงยหน้าเห็นนางใช้นิ้วชี้ตัวเลขนั้นขณะดีดลูกคิดทีละลูก ก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
พลางกล่าวว่า “อยากให้ข้าช่วยหรือไม่”
4758
“อยากเจ้าค่ะๆๆ” โจวเสาจิ่นรู้สึกตนตาลายจนเห็นดอกไม้หมดแล้ว นางมองเฉิงฉืออย่างดี
อกดีใจ
เฉิงฉือหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งอย่างยากจะระงับ วางพู่กันลง แล้วนั่งบนเตียงเตาหน้าโจว
เสาจิ่น
โจวเสาจิ่นปีนขึ้นมาในทันที แล้วช่วยนวดไหล่ของเฉิงฉืออย่างตั้งใจ
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้านั่งลงดีๆ เถอะ เจ้าทําอย่างนี้ ข้าจะดีดลูกคิดได้อย่างไร”
โจวเสาจิ่นเพียงอยากจะใกล้ชิดเฉิงฉือเท่านั้น
เมื่อครู่เป็นเพราะเฉิงฉืออยากฝึกคัดอักษร นางจึงดูบัญชี
นางจึงเปลี่ยนมานั่งข้างๆ เฉิงฉือ ยิ้มตาหยีพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะช่วยนวดขาให้
ท่าน!”
เฉิงฉือกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ อุ้มนางมาข้างๆ พลางกล่าวว่า “ถ้าว่างนัก ก็ไปชงชากา
หนึ่งให้ข้าที”
โจวเสาจิ่นออกไปอย่างว่าง่าย
เฉิงฉือก็คํานวณบัญชีอย่างรวดเร็วจนเสร็จเรียบร้อย จวบจนโจวเสาจิ่นยกชาเข้ามา เฉิง
ฉือก็กําลังเก็บเครื่องเขียนทั้งสี่แล้ว
โจวเสาจิ่นรู้ว่าเขาเก่งกาจ แต่เก่งกาจถึงขั้นนี้ ก็ทําให้นางตะลึงงันเล็กน้อยอยู่ดี
เฉิงฉือก็กวักมือเรียกนาง ระบายยิ้มพลางกล่าวว่า “เตรียมของขวัญเทศกาลวันไหว้
พระจันทร์เสร็จหมดแล้วหรือ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า เอ่ยถามอย่างฉงนว่า “ท่านรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ”
4759
เฉิงฉือรับจอกชาจากมือของนาง แล้วลูบจมูกของนาง ถึงได้ตอบว่า “ข้าเห็นรายจ่ายของ
เดือนนี้มากกว่าของเดือนที่แล้วมาก โดยเฉพาะแป้งกับนํ้าตาลพวกนี้ เป็นไปได้ว่าเจ้าให้คนหน้า
เตาทําขนมไหว้พระจันทร์ส่งให้ผู้อื่นใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก
นางไม่ชอบใช้สมองโดยเฉพาะเวลาที่อยู่กับเฉิงฉือ เพียงบทสนทนาน่าเบื่ออย่างนี้ก็
พูดคุยกันได้อย่างสนุกสนาน
“พรุ่งนี้พวกข้าจะเริ่มส่งของขวัญไปให้แต่ละตระกูลแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้มพลางไป
หยิบใบรายชื่อให้เฉิงฉือ “ท่านช่วยดูว่าพวกข้าตกหล่นผู้ใดบ้างหรือไม่”
“เป็นใบรายชื่อที่ตัดสินใจกับจื่อจี๋หรือเปล่า” เฉิงฉือกวาดสายตาดูทีหนึ่งอย่างรวดเร็ว แล้ว
กล่าวว่า “เขาทํางานอย่างละเอียดรอบคอบยิ่ง ในเมื่อผ่านตาเขาแล้วก็คงไม่มีปัญหาอะไร”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ
เฉิงฉือจึงหารือกับนางว่า “ข้าอยากจะโยกย้ายพ่อบ้านเซี่ยงมาให้เจ้าใช้งาน ทุกวันเจ้าจะ
ได้ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกับเรื่องข้าวสาร นํ้ามัน เกลือและฟื นในชีวิตประจําวันเหล่านี้ จากนั้นให้ฝานฉี
ดูแลงานที่ซอยอวี๋เฉียนทางด้านโน้น เขากับฉินจื่อจี๋ก็เคยทํางานร่วมกันบ้าง ให้เขาออกมาฝึกฝน
ตามลําพังได้พอดี ส่วนปี้อวี้ ต่อไปก็ดึงมาไว้ข้างกายเจ้า ทํางานให้กับเจ้าเป็นการเฉพาะ งาน
เหล่านั้นในห้องครัว ตอนนี้ข้ายังไม่มีตัวเลือกที่ดีพอ หากเจ้าคิดว่ามีผู้ใดที่เหมาะสมก็ให้ผู้นั้นไป
ดูแลจัดการ ส่วนเรื่องแต่งงานของชุนหว่านข้าได้หารือกับท่านแม่แล้ว ท่านแม่คิดว่านางก็เป็นผู้ที่
มีความสามารถคนหนึ่ง อยากรั้งนางไว้ในตระกูล หาสามีจากพ่อบ้านเล็กที่หน้าตาและคุณสมบัติ
ล้วนใช้ได้จากลานชั้นนอกสักคนหนึ่ง…”
4760
ระหว่างที่เขาพูดก็รู้สึกว่าหัวไหล่จมลงข้างหนึ่ง จึงหันไปดู โจวเสาจิ่นกําลังอิงหัวไหล่ของ
เขางีบหลับอยู่!
เฉิงฉือหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ยื่นมือออกไปหมายจะปลุกนาง ทว่าเมื่อเห็นท่าทางง่วง
เหงาหาวนอนของนางแล้ว กลับใจอ่อนลง อุ้มนางไปที่เตียงเบาๆ
ใครจะรู้ว่าทันทีที่โจวเสาจิ่นถึงเตียงก็ตื่นขึ้นมาแล้วซุกตัวในอ้อมแขนของเฉิงฉือโดยตรง
พอเฉิงฉือวางนางลง นางกลับกลิ้งมาอย่างออดอ้อน
เขาเห็นนางหลับตาบุ้ยปาก เกาะเขาหนึบอย่างอ่อนนุ่มประหนึ่งข้าวเหนียวก้อนหนึ่งก็ไม่
ปาน ก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ได้แต่กระซิบข้างหูนางว่า “เดี๋ยวข้าก็กลับมา!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า แต่ไม่ลืมตา กล่าวกับเฉิงฉืออย่างอ่อนหวานว่า “เช่นนั้นท่านมานอน
เร็วๆ นะเจ้าคะ”
หากมิใช่เพราะท่าทางกระเง้ากระงอดเหมือนเด็กน้อยของนาง เฉิงฉือก็คงคิดว่านางมี
เจตนาแอบแฝงเสียแล้ว
ทว่าพอเขาเก็บข้าวของขึ้นเตียงแล้ว โจวเสาจิ่นก็กอดเขาแน่นเสมือนกอดท่อนซุงที่ลอย
อยู่กลางนํ้าอย่างไรอย่างนั้น เขาครุ่นคิดแล้ว ก็ทําตามแรงปรารถนาของตนกับนางหนึ่งครั้ง
ตอนที่โจวเสาจิ่นเคลิบเคลิ้มก็ร้องครวญครางออกมา ท่วงท่าของเขาดุดันเล็กน้อย นางก็
ย่นหัวคิ้วขณะร้องว่า “ซื่อหลาง”
เฉิงฉือทนเห็นนางทรมานไม่ได้ หลายครั้งหลายคราก็ยอมลงให้นาง ความจริงก็อยากจะ
ร่วมรักอย่างรุนแรง แล้วปล่อยตัวไปตามไฟปรารถนาของตนเองสักครั้ง
ทว่าจนกระทั่งไฟราคะสร่างซาลง โจวเสาจิ่นก็หลับตาโดยตลอด ดูเหมือนง่วงนอนยิ่งนัก
4761
เฉิงฉือหลุดหัวเราะ หลังจากช่วยนางเช็ดเหงื่อแล้วจึงกอดนางหลับ
บ่ายวันรุ่งขึ้นตอนที่เขากลับมาจากที่ทําการ สาวใช้แจ้งเขาว่าโจวเสาจิ่นกําลังเย็บปักอยู่
ในห้อง
เขาเดินเข้าไปอย่างเบามือเบาเท้า กลับเห็นโจวเสาจิ่นถือเข็มปักผ้าอยู่ในมือ แต่ศีรษะ
กลับโงกหงุบไม่หยุดคล้ายตกปลาอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เฉิงฉือก้าวไปหยิบเข็มปักผ้าจากมือของนางอย่างเงียบๆ
จู่ๆ โจวเสาจิ่นก็ลืมตาโพลง เอ่ยถามเขาอย่างสะลึมสะลือว่า “ท่านกลับมาแล้วหรือ” แล้ว
เรียกสาวใช้ไปตักนํ้ามาให้เฉิงฉือผลัดอาภรณ์ จากนั้นกลับปิดปากหาวติดๆ กันหลายครั้ง
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เหนื่อยมากใช่หรือไม่! หรือไม่ก็อย่าเพิ่งไปฝึกคัดอักษรและวาดภาพ
กับท่านแม่ทางด้านนั้น พักผ่อนสักสองสามวัน รอให้รู้สึกดีขึ้นแล้วค่อยกลับไป”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าพลางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “แค่ง่วงนอนเพราะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงก็
เท่านั้นเจ้าค่ะ ความง่วงนอนในฤดูใบไม้ร่วงนี้รุนแรงมากจริงๆ! แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยเป็นเช่นนี้มา
ก่อน ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยากจะหลับตลอดเวลา…”
อยากจะหลับตลอดเวลา?!
เฉิงฉืออึ้งงัน
โจวเสาจิ่นเดินตาปรือขึ้นเตียงไปอย่างสะลึมสะลือ ด้านหนึ่งอ้าปากหาว อีกด้านก็เอนตัว
อิงหมอนใบใหญ่บนหัวเตียง พลางกล่าวว่า “ท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าเองเถอะนะเจ้าคะ! ข้าของีบก่อน
สักครู่หนึ่ง ประเดี๋ยวท่านแต่งตัวเรียบร้อยแล้วตอนไปคารวะยามเย็นท่านแม่ค่อยเรียกข้า…”
ไม่รอให้เฉิงฉือเอ่ยปากตอบ นางก็จมสู่ห้วงนิทราเสียแล้ว