ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่517 พยัคฆ์
จริงด้วย!
มีเรื่องอะไรที่ทําให้เฉิงเซ่าเสี่ยงกระทําความผิดไปล่วงเกินองค์ชายสี่ที่ได้รับแต่งตั้งเป็น
องค์รัชทายาทแล้วกันนะ
โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉือแล้วนึกถึงการสิ้นพระชนม์ของไท่จื่อและหวงไท่ซุน นึกถึงข่าวที่เฉิง
ฉือได้รับวันนั้น แจ้งว่าองค์ชายสี่ก็ทราบข่าวการประชวรของไท่จื่อเช่นกัน…นางลังเลครู่หนึ่ง
กระซิบเสียงเบาว่า “หรือว่าการสิ้นพระชนม์ของไท่จื่อและหวงไท่ซุนจะเกี่ยวข้องกับพระองค์เจ้า
คะ”
เฉิงฉือตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ต่อให้ไท่จื่อและหวงไท่ซุนถูกองค์ชายสี่ลอบปลงพระ
ชนม์ พวกเขาเกี่ยวอะไรกับท่านอารองเล่า ยิ่งกว่านั้นองค์ชายสี่ผู้นั้นเป็นรัชทายาทที่องค์ฮ่องเต้
ทรงยอมรับแล้ว ท่านอารองจะกระโดดออกมาเป็นนิ้วที่หกไปเพื่ออะไร”
เช่นนั้นแล้วเพราะอะไรกันนะ
โจวเสาจิ่นกัดริมฝีปากและใคร่ครวญขบคิดอยู่ตรงนั้น
เฉิงฉือเห็นแล้ว แววตาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาในทันใด นํ้าเสียงก็ผ่อนคลายลงมาก
เอ่ยว่า “อย่ากัดริมฝีปากสิ ระวังปากแตกนะ! เป็นไปได้ว่าองค์ฮ่องเต้ถูกองค์ชายสี่ลอบปลงพระ
ชนม์ ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ท่านอารองเป็นเวรเข้าวังพอดี เมื่อคุยถึงเรื่องนี้ บางทีองค์
ฮ่องเต้อาจทรงฝากฝังเขา ให้เขาช่วยหาทางทําอะไร ทว่าเรื่องนี้กลับเกี่ยวข้องกับการที่องค์ชายสี่
จะสืบทอดราชบัลลังก์อย่างปลอดภัยราบรื่นได้หรือไม่ แต่สุดท้ายท่านอารองทําไม่สําเร็จ ซํ้ายัง
สูญเสียชีวิต ดังนั้นตอนที่ท่านอารองจากโลกนี้ไปและองค์ชายสี่ทรงเถลิงราชย์ พี่ชายใหญ่ของข้า
รู้ดีถึงความผิดปกติของการตายของท่านอารองแต่ไม่กล้าตรวจสอบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกพระ
4806
ราชโองการสําแดงพระมหากรุณาธิคุณเลย พี่ชายใหญ่เข้าสู่ราชสํานักหลังจากที่องค์ชายสี่ขึ้น
ครองราชย์ ไม่แน่ว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เป็นได้…”
ลอบปลงพระชนม์พระราชบิดา?
“เป็น…เป็นไปไม่ได้กระมังเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นมีเหงื่อเย็นผุดซึมขึ้นทั้งตัวในทันใด
เฉิงฉือเห็นนางหวาดกลัวยิ่งนัก ก็โอบกอดนางขณะตบหลังนางเบาๆ พร้อมกับปลอบนาง
ว่า “ไม่เป็นไรๆ ต่อให้พระองค์จะปลงพระชนม์พระราชบิดา นั่นก็เป็นเรื่องของพระองค์ หากพวก
เราคาดเดาถูกละก็ ถึงเวลานั้นขอเพียงจับตาดูท่านอารอง รั้งท่านอารองไว้ในบ้านไม่ให้เขาเข้าวัง
ก็พอแล้ว…”
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา
นางจับแขนเสื้อของเฉิงฉือแน่นๆ พลางกล่าวเสียงค่อยว่า “ท่านว่า ที่ตระกูลเฉิงถูกยึด
ทรัพย์และฆ่าล้างยกตระกูลจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่เจ้าคะ”
จู่ๆ โจวเสาจิ่นก็คิดจินตนาการไปต่างๆ นานาขึ้นมา ถ้าหากพระราชโองการสุดท้ายที่องค์
ฮ่องเต้ฝากฝังเฉิงเซ่าคือการถอดถอนองค์ชายสี่แล้วแต่งตั้งฮ่องเต้พระองค์ใหม่ นอกจากพระราช
โองการนี้จะหาไม่เจอแล้ว หนําซํ้าโลงศพของเฉิงเซ่าก็เคลื่อนย้ายลงใต้และนําไปฝังอย่างรวดเร็ว
องค์ชายสี่คงสงสัยว่าพระราชโองการนี้อาจจะตกอยู่ในมือของตระกูลเฉิง…ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ก็
สมเหตุสมผลอยู่บ้าง
นางเล่าการคาดเดาของตนให้เฉิงฉือฟัง
เฉิงฉือลูบผมของนางพลางกล่าวว่า “ไม่น่าจะเป็นไปได้หรอก ถ้าหากท่านอารองเสียชีวิต
ในวัง ตอนที่ส่งศพกลับมา จะต้องตรวจค้นอย่างละเอียด หากในมือของท่านอารองมีพระราช
โองการที่เจ้าว่า ก็ต้องถูกตรวจสอบ จากข้อหาที่ตระกูลเฉิงถูกยึดทรัพย์ก็เห็นได้ว่า องค์ฮ่องเต้
4807
พระองค์นี้ทรงมีพระประสงค์จะเพิ่มโทษ พอเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว ขอเพียงองค์ฮ่องเต้ทรงมีพระ
ประสงค์หาทางปิดซ่อนให้มิด ก็ไม่มีทางให้คนอื่นพบร่องรอยเบาะแสได้แม้แต่น้อย ขอเพียงท่าน
อารองไม่มีพระราชโองการที่ว่าอยู่กับตัวจริงๆ ก็ได้แล้ว องค์ฮ่องเต้คงจะไม่ทรงกระทําการอย่าง
โจ่งแจ้งหรอก”
โจวเสาจิ่นคิดว่าเฉิงฉือกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก
ขอเพียงกักตัวท่านอารองเฉิงเซ่าไม่ให้เข้าวังวันนั้นก็พอแล้วกระมัง
นางยังรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก เอ่ยถามขึ้นว่า “เช่นนั้นพวกเราควรทําอย่างไรต่อไปดีเจ้า
คะ ยังต้องตรวจสอบเรื่องขององค์ชายสี่กับไท่จื่ออยู่หรือไม่เจ้าคะ”
“แน่นอนว่ายังต้องตรวจสอบอยู่ดี” เฉิงฉือตอบ “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นการคาด
เดาของพวกเรา ต่อให้เป็นจริง นั่นก็เป็นเรื่องในภายหลังหกเจ็ดปี ใครจะกล้ารับประกันว่ามันจะ
ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยเล่า แทนที่จะกระวนกระวายอยู่ตรงนี้เงียบๆ ไม่สู้หาทางเป็นฝ่ายโจมตี
ก่อน ดูว่าองค์ชายสี่เป็นโอรสสวรรค์ที่แท้จริงหรือเป็นวายร้ายที่ช่วงชิงโชคเดิมของผู้อื่นกันแน่!”
โจวเสาจิ่นหวั่นกลัวเล็กน้อย เอ่ยถามอย่างลังเลว่า “ท่านคิดจะต่อกรกับองค์ชายสี่หรือ
เจ้าคะ”
“ไม่ถึงกับต่อกรหรอก” เฉิงฉือกล่าวเสียงเบา “ข้าเพียงอยากดูว่าสุดท้ายองค์ชายสี่จะเสด็จ
ขึ้นบัลลังก์ได้อย่างไร”
เขาไม่เชื่อว่าเขาจะเอาชนะองค์ชายสี่ไม่ได้!
เฉิงฉือไม่อยากทําให้โจวเสาจิ่นเป็นห่วง เลยโน้มกายจูบหน้าผากของนาง กล่าวยิ้มๆ ว่า
“เอาละ พวกเราเลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ท่านอารองยังมีชีวิตดี พวกเราก็รู้แล้วว่าต่อไปจะเกิดเรื่อง
อะไรขึ้น ชาตินี้ท่านอารองจะไม่สูญเสียชีวิตอย่างแน่นอน เจ้านอนหลับไปแล้วงีบหนึ่ง ได้ยินสาว
4808
ใช้บอกว่ามื้อเย็นเจ้ากินเพียงหมันโถวม้วนครึ่งลูกกับโจ๊กเปล่าหนึ่งถ้วยเท่านั้น? ข้ายังไม่ได้กินข้าว
เลย! เจ้าลุกขึ้นมากินข้าวเป็นเพื่อนข้าสักหน่อย กินแล้วพวกเรารีบพักผ่อน วันมะรืนก็เป็นวันหยุด
แล้ว เจ้าอยากออกไปเที่ยวกับข้าหรือไม่”
นี่ยังไม่ครบสามเดือนเลย โจวเสาจิ่นกลัวว่าจะไม่ปลอดภัยต่อเด็ก จึงตอบว่า “ข้าเกียจ
คร้าน ไม่อยากออกไปข้างนอก หากท่านรู้สึกว่าเที่ยวไม่สนุก ไม่สู้นัดสหายออกไปเที่ยวเสียดีกว่า
ภาพปักลายพระโพธิสัตว์กวนอิมผืนนั้นของข้าในสองวันนี้ก็คงจะปักเสร็จแล้ว ข้าจะได้อยู่บ้านปัก
ภาพให้เสร็จพอดีเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือกล่าวว่า “ข้าเติบโตในจิงเฉิงมาตั้งแต่เล็ก มีที่ไหนที่ไม่เคยไปมาบ้าง ที่ออกไปข้าง
นอกก็เพื่อไปเป็นเพื่อนเจ้า หากเจ้าไม่อยากออกไปข้างนอก พวกเราก็อยู่บ้าน เจ้าปักผ้า ข้าคัด
อักษร จะว่าไปแล้วไม่ได้คัดอักษรมาสองสามวันแล้วละ!”
โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้มพลางรับคํา รับประทานมื้อเย็นเป็นเพื่อนเฉิงฉือ จากนั้นก็อิงแอบแนบชิด
กันพูดคุยเรื่องต่างๆ ภายในบ้าน โจวเสาจิ่นก็หาวทีหนึ่ง
เฉิงฉือกอดนางในอ้อมอกเสมือนกอดเด็กก็ไม่ปาน กระซิบข้างหูนาง กล่อมนางเบาๆ ไม่
นานนางก็จมเข้าสู่ห้วงนิทรา
พอเขาเห็นแล้ว มุมปากก็ยกขึ้นสูง นึกถึงถ้อยคําที่ขุนนางใหญ่ซ่งโน้มน้าวเขาขึ้นมา …
จางฮุ่ยเป็นรองเจ้ากรมโยธา เรื่องที่เป็นฝ่ ายจัดการนํ้าทางด้านโน้น เขาคงไม่อาจสนใจอย่างนั้น
ไม่ช้าก็เร็วต้องกลับเมืองหลวง ครั้นแม่นํ้าเหลืองเริ่มการขุดลอก สํานักตรวจการจะต้องส่งคนไป
ควบคุมการทํางานในแม่นํ้า ถึงเวลานั้นเจ้าใช้ชื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจตราไปก็ได้ รอให้งานขุดลอก
แม่นํ้าทางด้านโน้นเสร็จแล้ว ก็ควบคุมทางนํ้าได้แล้ว อย่างไรก็ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ช่วยหัวหน้าสํานัก
ตรวจการคนหนึ่ง เช่นนั้นก็มียศขั้นสี่บน หลุมที่คนมากมายมิอาจข้ามผ่านได้ทั้งชีวิตก็ก้าวผ่านได้
อย่างง่ายดายราบรื่นเช่นนี้
4809
แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ ก่อนเดือนห้าปีหน้าเขาก็ต้องอยู่ที่ไคเฟิงหรือที่อื่นๆ แล้ว
เฉิงฉือจ้องมองดวงหน้าที่อ่อนหวานและผ่อนคลายขณะหลับของโจวเสาจิ่น ทั้งยังมี
ใบหน้าที่แฝงความไร้เดียงสาหลายส่วนนั้นอีกด้วย จึงตัดสินใจละทิ้งโอกาสนี้ไปเสีย
เขายังอายุน้อย โอกาสเช่นนี้บางทีเขาอาจจะไม่ได้พบเจออีกก็ได้ แต่เสาจิ่นตั้งครรภ์บุตร
คนแรกของเขา โอกาสนี้ครั้งสูญเสียไปแล้วก็จะไม่มีอีกต่อไป
เฉิงฉือไม่อยากให้วันหนึ่งตนเองมารู้สึกเสียใจภายหลัง
ทว่าเขากลับนึกถึงบทสนทนาที่พูดคุยกับโจวเสาจิ่นเมื่อครู่
ต้องหาโอกาสไปหยั่งดูท่าทีของท่านอารองสักหน่อยถึงจะถูก
ทางที่ดีควรจะเล่าเรื่องการประชวรของไท่จื่อและเรื่องที่องค์ชายสี่จับตามองไท่จื่อให้ท่าน
อารองฟังทั้งหมด ดูว่าเขาจะว่าอย่างไร
หากค้นพบเบาะแสบางอย่างจากท่านอารองได้ก็ดี แต่ถ้าไม่พบอะไร เกรงว่าคงต้องเพิ่ม
คนไปเฝ้าดูท่านอารองเสียแล้ว
ขณะที่คิดอยู่นั้น เขาก็ก้มหน้าลงไปประกบปากจูบโจวเสาจิ่นอย่างดูดดื่มทีหนึ่ง
เด็กน้อยคนนี้ หาเรื่องยุ่งยากขนาดนี้มาให้เขา!
โจวเสาจิ่นย่นหัวคิ้วพลางร้องครวญทีหนึ่งแล้วซุกตัวในอ้อมอกของเฉิงฉือโดยตรง
จากนั้นก็หาท่าที่นอนสบายท่าหนึ่ง แล้วผล็อยหลับไปอีกครั้ง
เฉิงฉือหลุดหัวเราะ ลูบดวงหน้าของนาง จากนั้นก็ปล่อยผ้าม่านลง บังแสงตะเกียงที่สว่าง
ไสวอยู่ข้างนอก
4810
เนื่องจากอายุครรภ์ของโจวเสาจิ่นยังน้อย วันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวในวันที่เก้า
เดือนเก้าจึงไม่ได้จัดอย่างยิ่งใหญ่ เพียงเชิญซอยซิ่งหลินกับครอบครัวเฉิงเว่ย พร้อมกับเฉิงเจิง เฉิง
เซียวและเฉิงเซิงสามครอบครัวมารับประทานอาหาร
เฉิงจิง เฉิงสวี่และคนอื่นๆ เพียงเข้ามายกจอกสุราอวยพรฮูหยินผู้เฒ่ากัวตอนมื้อเที่ยงแล้ว
จัดโต๊ะอาหารอีกโต๊ะเอาไว้ข้างนอก ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากัวทางด้านนี้มีหยวนซื่อ โจวเสาจิ่นและสตรี
คนอื่นๆ อยู่เป็นเพื่อน
เฉิงเจิงกับเฉิงเซียวยังไม่ทราบข่าวที่โจวเสาจิ่นตั้งครรภ์ พอเห็นโจวเสาจิ่นนั่งบนเก้าอี้มี
เท้าแขนที่ปูเบาะรองหนา ระหว่างที่ขยับเขยื้อนก็ค่อนข้างระมัดระวัง ทั้งนับเวลาที่โจวเสาจิ่นแต่ง
ให้กับตระกูลเฉิงแล้ว ทั้งสองคนก็อดไม่ได้พากันถามนางว่ามีข่าวดีแล้วใช่หรือไม่
โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างเขินอาย
เฉิงเจิงกับเฉิงเซียวต่างปลาบปลื้มยินดีแทนนาง คาดเดาว่าอายุครรภ์ของนางอาจจะยัง
ไม่มาก ระหว่างญาติจึงไม่ได้พูดอะไรมาก เจ้าพูดคําหนึ่งข้าพูดคําหนึ่งบอกนางเรื่องข้อควรระวัง
ต่างๆ
โจวเสาจิ่นตอบรับทีละคน
เฉิงเซิงยืนหัวเราะคิกอยู่ข้างหนึ่ง
เฉิงเจิงเห็นแล้วก็รู้ว่านางได้รับจดหมายแจ้งนานแล้ว อดบ่นไม่ได้ว่า “เจ้าเด็กคนนี้ เรื่องดี
เช่นนี้ก็ไม่รู้จักบอกข้าสักคํา หากวันนี้ข้าไม่ได้มาอวยพรท่านย่าเนื่องในงานวันคล้ายวันเกิดล่ะก็
เกรงว่าคงต้องพลาดข่าวไปเสียแล้ว”
4811
เฉิงเซิงตอบยิ้มๆ ว่า “ข้าก็เป็นเพราะว่าช่วงนี้ท่านแม่ของข้าอยู่ที่เรือนประตูเฉาหยาง
ทางด้านนี้ดูแลท่านอาสะใภ้สี่ถึงทราบข่าว พวกเจ้ามิอาจโทษข้าได้หรอก ตอนนี้ข้ายุ่งจนไม่มี
แม้แต่เวลานอนหลับแล้ว”
สามพี่น้องแต่งงานออกไปแล้ว การงานต่างๆ ก็มีมากขึ้น ทั้งมิอาจไปมาหาสู่กันบ่อยๆ
เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ทุกคนก็สนทนากันอย่างเริงร่า
ทว่าหมิ่นเจียกลับนั่งเงียบๆ อยู่ข้างหนึ่ง เพียงยิ้มมองพวกนางพูดคุยกัน เห็นได้ชัดว่าใจ
ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย ที่หว่างคิ้วยังแต้มรอยกลัดกลุ้มเล็กน้อยอีกด้วย
โจวเสาจิ่นไม่สนใจแต่อย่างใด
นางกับหมิ่นเจียเป็นเพียงญาติที่พบหน้ากันแล้วพยักหน้าให้กันทีหนึ่งเท่านั้น
ช่วงมื้อเย็นหยวนซื่อกับชิวซื่อประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั่งลงที่โต๊ะอาหาร เฉิงเซิงก็กระซิบ
เล่าให้นางฟังว่า “ฟางเซวียนที่เจ้ารู้จัก ได้ยินว่าช่วงก่อนพวกเขาสองสามีภรรยาทะเลาะกันจน
ญาติๆ ต่างตกใจ ฮูหยินรองตระกูลฟางยิ่งแล้วใหญ่รับนางกลับบ้านเดิม หากมิใช่เพราะสะใภ้
ใหญ่ตระกูลหมิ่นเกลี้ยกล่อมแล้วเกลี้ยกล่อมอีก ฟางเซวียนก็คงกลับไปพร้อมกับฮูหยินรอง
ตระกูลฟางแล้ว เพื่อเรื่องนี้ ตระกูลหมิ่นถึงกับรับน้องสะใภ้กลับไปเกลี้ยกล่อมนางอีกด้วย”
โจวเสาจิ่นถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าได้ยินมาจากผู้ใด ถ้าหากฟางเซวียนสองสามีภรรยาทะเลาะ
กัน ตระกูลหมิ่นกับตระกูลฟางก็ควรปกปิดไว้ถึงจะถูก เจ้ารู้เรื่องที่หลานสะใภ้กลับบ้านเดิมไป
เกลี้ยกล่อมฟางเซวียนได้อย่างไร”
เฉิงเซิงยิ้มพลางตอบว่า “น้องสะใภ้ไม่มีทางบอกข้าหรอก ข้าได้ยินต้ากูไหน่ไนของตระกูล
ข้าเล่าให้ฟัง”
4812
พี่สาวคนโตของเผิงเจ่าแต่งให้กับตระกูลฟาง
“รู้หรือไม่ว่าทําไม” โจวเสาจิ่นสงสัยขึ้นมา
ตอนแรกตระกูลฟางมิได้พึงพอใจกับการแต่งงานนี้มากหรอกหรือ ตอนงานหมั้นเล็กของ
ตระกูลหมิ่น ตระกูลฟางยังเชิญหยวนซื่อไปร่วมงานฉลองเป็นพิเศษเลยด้วยซํ้า
“ต้ากูไหน่ไนของตระกูลพวกข้าไม่ได้บอกไว้” เฉิงเซิงตอบยิ้มๆ “แต่ฟังจากนํ้าเสียงนั้น
ค่อนข้างเหมือนวิพากษ์ว่าแม่นางตระกูลฟางผู้นั้นไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน พวกรายละเอียด
อะไรข้าก็ซักถามจากนางมากไม่ได้”
โจวเสาจิ่นไม่มีความรู้สึกดีใดๆ ต่อตระกูลฟาง จึงคร้านจะถามต่อ
จวบจนทุกคนรับประทานมื้อเย็นเสร็จแล้ว โจวเสาจิ่นก็ลุกขึ้นไปส่งแขก กลับถูกฮูหยินผู้
เฒ่ากัวห้ามเอาไว้ แล้วให้หลี่ว์มามาไปส่งแขกแทน กล่าวว่า “ข้างนอกมืดอย่างนี้ หากไปชนที่ใด
หรือกระแทกที่ใดเข้าจะทําอย่างไร ช่วงนี้เป็นเวลาสําคัญของเจ้า พี่สะใภ้และพวกหลานๆ ของเจ้า
จะไม่คิดว่าเจ้าเสียมารยาทหรอก”
ชิวซื่อรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ใช่แล้วๆ! เจ้าอยู่ในห้องดีๆ ก็พอแล้ว ข้าจะไปส่งแขกแทนเจ้าแล้ว
กัน!”
เฉิงเซียวกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ เอ่ยถามว่า “ท่านอาสะใภ้รอง วันนี้ท่านไม่คิดจะกลับ
บ้านแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
จะว่าไปแล้ว ชิวซื่อก็เป็นแขกเหมือนกัน
ทุกคนหัวเราะลั่นทั่วทั้งห้อง แล้วลุกขึ้นอําลา
ถึงกระนั้นโจวเสาจิ่นก็ยังคงส่งพวกนางถึงประตูเรือนทิงเซียงแล้วหันกลับไปอยู่ดี
4813
เดือนเก้าเป็นช่วงเวลาที่ดอกกุ้ยฮวาสีทองมีกลิ่นหอม ตลอดทางแขวนโคมไฟสีแดงดวง
ใหญ่ไว้สูง กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยโชยมา ทําให้ผู้คนที่เดินใต้แมกไม้ร่มรื่นเขียวขจีทั้งรู้สึกอิ่มเอมใจ
และผ่อนคลาย
ฝีเท้าของหยวนซื่อชะงักเล็กน้อย มองไปทางตะวันออก
ส่วนตะวันออกทั้งหมดปกคลุมอยู่ในความมืด
เรือนที่ใหญ่ขนาดนี้ แต่อาศัยอยู่เพียงครึ่งหนึ่งของส่วนตะวันตก… นางอดเบะปากไม่ได้
คลี่ยิ้มพลางกล่าวกับหมิ่นเจียว่า “จะว่าไปแล้วเจ้าก็แต่งเข้ามาเกือบครึ่งปีแล้ว…”