ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 1 หน่วยสืบสวน
ภายในห้องนองเลือดนั้น ปรากฏเงาเด็กน้อยร่างซูบผอมชวนให้รู้สึกโดดเดี่ยวเงาหนึ่ง
เขาคุกเข่าลงกับพื้นด้วยสีหน้าตกตะลึง ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองสถานที่ที่เคยเรียกว่าบ้านอย่างแทบไม่อยากเชื่อ
ภาพการสังหารโหดร้ายกับกลิ่นคาวเลือดฉุนแสบจมูก เปรียบดั่งระฆังมรณะจากเทพแห่งความตายที่กำลังเร่งให้เขารีบวิ่งออกนอกประตูไปเสีย และอย่าได้หันหลังกลับมาอีก ทว่าขาเขากลับสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง เมื่อได้เห็นเลือดไหลนองออกมาจากห้องนอนของพ่อกับแม่ ทั้งสีแดงและปริมาณที่มากผิดปกติขนาดนั้น ทำให้เขาราวกับต้องคำสาป เขาค่อยๆ ยกขาพาตัวเองเดินออกไปทีละก้าวอย่างคนไร้วิญญาณไม่ต่างจากหุ่นยนต์
รองเท้าของเขาเหยียบลงบนกองเลือดข้นคลั่ก พอยกเท้าขึ้นโลหิตเหนียวหนืดก็ติดรองเท้าขึ้นมาเป็นเส้นๆ ส่งเสียงดังซวบซาบ ในขณะที่ประตูห้องนอนที่เริ่มขึ้นสนิมก็ส่งเสียงกรีดร้องชวนให้คนขวัญกระเจิง
เด็กหนุ่มมองดวงตาอีกคู่หนึ่ง และภาพเหตุการณ์นั้นเองก็ทำให้เขาลืมไม่ลงไปตลอดกาล
“โครม!” โลกพลันเปลี่ยนเป็นสีขาวดำ ภาพตรงหน้าหยุดชะงักลง ก่อนจะแตกสลายเป็นผุยผงราวใบไม้แห้งลอยปลิวไปตามลม
สวีหยางอี้ตื่นจากภาพความฝันแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เขากำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกเพียงว่าทั้งฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
“เฮ้อ…” เขาหยิบถ้วยชาตรงหน้ามาแกว่งเบาๆ “สิบกว่าปีมาแล้ว…”
เขาประคองถ้วยชาไว้ในมือพลางมองออกไปด้านนอก “ฉันก็อยากให้มันเป็นแค่ฝัน…” ชายหนุ่มจิบชาไปอีกอึกหนึ่ง ทว่าชาในมือกลับเย็นชืดไปเสียแล้ว
เขาอายุราว 21-22 ปี คิ้วทรงตรงหนาดกดำได้รูปคล้ายกระบี่สองเล่มลอยพาดอยู่ แววตาสงบนิ่ง เปลือกตาปรือลงมาครึ่งหนึ่ง รูปร่างสมส่วน ส่วนสูง 181 เซนติเมตรโดยประมาณ หากมองจากสายตาคนภายนอกก็จะเห็นมัดกล้ามเนื้อนูนชัดขึ้นมาภายใต้เครื่องแบบตำรวจนั้น
ที่นี่คือสำนักงานตำรวจเมืองซานสุ่ย หน่วยสืบสวนสอบสวนคดีอาชญากรรมร้ายแรง การสวมเครื่องแบบจึงเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะกับเขาผู้ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วย ช่วงเดือนสิงหาคม ไอร้อนในตอนหัวค่ำลอยต่ำลงส่วนไอน้ำก็ลอยตัวสูงขึ้น ฉะนั้นหากจะบอกว่าสำนักงานแห่งนี้เป็นลังถึงก็คงไม่นับว่าเกินไปนัก
อุณหภูมิด้านในนี้สุดจะทนยิ่งกว่าข้างนอกนั่นเสียอีก ไม่มีใครทนใส่เครื่องแบบตำรวจอยู่ได้สักคน คนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ใส่เสื้อแขนสั้น มีเพียงเขาที่ยังเคร่งครัดตามกฎระเบียบ แม้แต่กระดุมเม็ดบนสุดก็ยังติดเสียแน่นหนา แต่ที่น่าแปลกคือหน้าผากเขาไม่มีเหงื่อเลยสักหยด ทั้งยังไม่โอดครวญร้องออกมาสักคำ ราวกับว่าเขาไม่รู้ร้อนรู้หนาวเสียอย่างนั้น
พัดลมเหนือศีรษะส่ายหน้าไปมา ส่งเสียงครืดๆ ที่ทั้งแสบหูระคนหนวกหูไปพร้อมๆ กัน ในยามนี้รอบๆ ตัวเขามีชายหญิงเกือบสิบคนใส่เสื้อเชิ้ตนั่งล้อมวงใช้กระดาษเอกสารมาพัดระบายความร้อน สายตาของกลุ่มคนเหล่านี้ที่มองสวีหยางอี้นั้น มีทั้งเหยียดหยาม อิจฉาริษยา และอีกสารพัดอารมณ์ความรู้สึกเชิงลบ จะไม่มีก็แต่สีหน้าที่พึงมีให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยเท่านั้น
“เคารพยำเกรง”
เมืองซานสุ่ยไม่ใช่เมืองใหญ่โตอะไรนัก อีกทั้งยังห่างไกลจากคำว่ามั่งคั่งลิบลับ มีอำเภอแสนแร้นแค้นอยู่ในการปกครองเพียงสองร้อยอำเภอเท่านั้น เพราะหากเป็นหน่วยสืบสวนในเมืองใหญ่โตจริงก็คงไม่ติดพัดลมกำลังแรงสูงไว้แค่ไม่กี่ตัวอย่างนี้
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ บ่ายวันนี้มีคดีใหญ่ส่งเข้ามาจึงต้องรีบเรียกประชุมเฉพาะกิจ ทุกคนล้วนกำลังปรึกษาหารือกัน และกว่าพวกเขาจะสังเกตเห็น หัวหน้าหน่วยก็หลับพับไปเสียแล้ว
“ตื่นแล้วเหรอหัวหน้า” ชายวัยราว 40 ปี มองท่าทางไม่ยินดียินร้ายของสวีหยางอี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ ก่อนจะแค่นเสียงออกมาทางรูจมูกอย่างไม่กริ่งเกรง “พวกเรารอมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ หรือท่านหัวหน้ามีทางออกแล้ว?”
“ตื่นแล้ว” สวีหยางอี้เบนสายตากลับมาพลางหยิบปากกามาหมุนควง จากนั้นค่อยหันไปหาชายวัยกลางคนแล้วพยักหน้า “รองหัวหน้าเฉินมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ”
“มีแน่! คุณไม่ได้ฟังหรือไง!” สิ้นประโยคนั้นรองหัวหน้าเฉินก็ตบเก้าอี้ฉาดหนึ่ง เสียงพลันสูงขึ้นอีกระดับ เอกสารข้อมูลในมือปึกหนึ่งถูกเขวี้ยงทิ้งเสียงดังลั่น “คดีฆาตกรรมใหญ่! ฆาตกรรมต่อเนื่อง 20 ศพ! คดีถูกส่งมาที่หน่วยสืบสวนมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว! ยังไม่มีความคืบหน้าสักนิด! เราคนกันเองขอพูดแบบไม่เกรงใจแล้วกันนะหัวหน้าสวี คดีนี้จะทำอย่างไร! ใครจะทำ! ต้องใช้กำลังเท่าไร! เราต้องการทางออก!”
เขาลุกพรวดขึ้น จนเอกสารข้อมูลปลิวผ่านหน้าทุกคนที่นั่งอยู่ด้วยสีหน้าแข็งทื่อหรือบ้างก็ยิ้มเฝื่อนๆ พลางส่งเสียงซวบซาบ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงดังลั่น “พวกเราหน่วยสืบสวนสิบกว่าชีวิตกำลังรอทางออกจากคุณ! หัวหน้าสวี! พวกเราจะรายงานท่านอธิบดีว่ารอคุณมาครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว! ก่อนหน้านี้ก็พูดไปแล้วสิบห้านาทีว่าเกิดเหตุรายแรกเมื่อไร! ลักษณะการลงมือฆาตกรรมโหดเหี้ยม! แล้วตอนนี้คุณมาถามอะไรของคุณ!”
สวีหยางอี้กวาดสายตามองเขาเรียบๆ “ผมจำได้ว่าผมพูดชัดแล้วนะ ว่าคดีนี้ผมรับทำด้วยตัวเอง”
“ถุย!” ชายวัยใกล้ 40 กระแอมถ่มเสมหะลงใส่ตะกร้าขยะด้านข้าง “โทษที จู่ๆ ก็คันคอขึ้นมา”
บนใบหน้าสวีหยางอี้ยังคงปรากฏรอยยิ้มบางๆ “มีปัญหางั้นเหรอ?”
“ไม่มี ไม่มี… คำชี้แนะแรกของหัวหน้าหน่วยคนใหม่ที่เพิ่งรับตำแหน่งได้สองวัน ผมจะกล้าไม่พอใจได้ยังไง…” มุมปากเขาฉายแววยิ้มเยาะอย่างเปิดเผยพร้อมเอ่ยขึ้น “ก็แค่คิดว่าวิธีของหัวหน้า…”
“ปั่ก!“ ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี ปากกาด้ามหนึ่งก็ปักฉึกลงบนโต๊ะข้างกายเขา
มันปักลึกลงในเนื้อไม้ถึงสามส่วน แม้แต่ส่วนปลายปากกาก็ยังสั่นอยู่!
“ฉิบหาย!” ตำรวจหนุ่มข้างกายตกใจจนแทบกระโดดโหยงขึ้น มันยังเป็นปากกาใช่ไหม นี่มันปากกาบ้าอะไร มันไม่ใช่มีดจริงๆ น่ะหรือ
“ไม่ใช่มั้ง…” นายตำรวจวัยราว 30 มองปากกาด้ามนั้นด้วยสายตาตื่นตะลึง ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ
โต๊ะก็ไม่ได้หนาอะไร เป็นแค่ไม้บางๆ แต่ถ้าจะโยนปากกาปักทะลุลงไปนั้น…หากไม่ได้ฝึกกำลังภายในมาอย่างหนักจะทำได้หรือ
นี่มันก็แค่ปากกาธรรมดาเท่านั้น!
เขาไม่รู้หรอกว่ามียอดฝีมือกี่คนที่ทำแบบนี้ได้ แต่อย่างไรเสีย ทั้งหน่วยเศรษฐกิจและสืบสวนนี้ไม่มีใครทำได้เลยสักคน!
ทุกคนเริ่มหนังตากระตุกพลางมองปากกาด้ามนั้นอย่างตกตะลึง และยิ่งตะลึงมากไปกว่าเดิม เมื่อเห็นว่าสวีหยางอี้ยังคงจิบชาเย็นชืดถ้วยนั้นด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ พลันรู้สึกเจ็บจุกไปทั้งร่างขึ้นมาเองอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“สุดยอด…” นายตำรวจหนุ่มคนหนึ่งกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยเบาๆ “นี่มัน…กำลังภายในแข็งแกร่ง”
“ถ้าผมจำไม่ผิด คุณคือมือวางอันดับสามของทีมสืบสวน ‘เหล่าจู’?” สวีหยางอี้เหลือบตาขึ้นแล้วเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ใช่…” แววตาคู่นั้นของสวีหยางอี้ดูสงบนิ่ง ทว่าเหล่าจูกลับรู้สึกเหมือนถูกมีดเล่มหนึ่งเชือดเฉือนอยู่หลายตลบภายในชั่วพริบตา ครั้นพอสงบจิตสงบใจได้แล้วเอ่ยปากออกไปถึงได้พบว่าเสียงของตนสั่นเครืออยู่ไม่น้อย
“อย่างนี้นี่เอง…” สวีหยางอี้ยกฝาครอบถ้วยชาขึ้นเบาๆ แล้วถามเรียบๆ “คอไม่ดีเหรอ”
“ไม่…ไม่มีอะไร…ไม่คัน…” เหล่าจูกัดฟันเสียหลายครั้ง ก่อนจะยิ้มเฝื่อนๆ แล้วนั่งลง
รองหัวหน้าเฉินนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ เมื่อครู่ยังใช้เอกสารในมือพัดดับร้อน แต่ไม่รู้ว่าหยุดพัดไปตั้งแต่เมื่อไร บรรยากาศในห้องเงียบสงัดจนชวนขนลุก ได้ยินเพียงเสียงพัดลมพัดครืนๆ เท่านั้น
“หัวหน้าสวี” หลายชั่วอึดใจเขาถึงได้กลั้นใจเอ่ยขึ้น “คดีนี้…เกี่ยวพันถึงชีวิตอันสงบสุขของพี่น้องเราทุกคน”
“กริ๊ก” เสียงฝาครอบประกบลงกับถ้วยชาดังขึ้น รองหัวหน้าเฉินที่อ้าปากคล้ายอยากจะพูดอะไร สุดท้ายจึงได้แต่หุบปากสงบคำลงอย่างเสียไม่ได้
“จะยึดอำนาจผมว่างั้น” สวีหยางอี้ใช้นิ้วโป้งลูบไล้ถ้วยชาเบาๆ ขณะที่มือขวาก็หนุนรั้งท้ายทอยพลางส่งสายตามองคนอื่นๆ แล้วเลิกคิ้วทรงดาบคู่นั้นขึ้น “หืม?”
ห้องที่ร้อนระอุพลันเย็นยะเยือกขึ้นมาจนน่าสยดสยอง
“อย่าให้มีอีก” เขาจัดเครื่องแบบตำรวจของตัวเองแล้วผุดลุกขึ้นราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะผลักประตูเดินออกจากห้องไป
“นี่…นี่! หัวหน้าสวี! แล้วคดีนี้จะทำยังไง! คุณตอบอะไรสักอย่างสิ!”
“รอเดี๋ยว” เสียงเขาแว่วมาจากด้านใน
ทว่าในห้องกลับเงียบสงัด
ทุกคนในที่นั้นได้แต่หันมองกันไปมา ไม่มีใครคิดว่าผู้บังคับบัญชาหนุ่มที่ออกจะเหลือเกินผู้นี้ ย้ายมาได้สองวันก็ไม่มีท่าทีจะอวดเบ่งข่มลูกน้องแต่อย่างใด แต่พอพายุลูกใหญ่ลงใครก็จะไม่กล้าพูดให้มากความเช่นนี้
“เดี๋ยวแม่Xสิ!” ทันใดนั้นรองหัวหน้าเฉินก็ตบโต๊ะดังฉาด “พูดง่าย! พี่น้องเรายังรอทางออกอยู่ มันบอกจะรับไปทำเอง มันเอาพวกเราไปไว้ตรงไหน!”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเดือดดาลเหลืออด ทว่าก็ยังกดเสียงให้ต่ำลงจนฟังดูแปร่งๆ ชอบกล เพราะอย่างไรเสีย…ปากกาบนโต๊ะด้ามนั้นก็ประจักษ์แก่สายตาเสียขนาดนั้น
“หัวหน้าเฉินจะไปกลัวอะไร! มันพูดได้! เราพูดไม่เป็นหรือไง!” เหล่าจูลุกพรวดขึ้น “มันมีสิทธิ์อะไร! หัวหน้าได้เลื่อนขั้นไป หัวหน้าเฉินน่ะมีหวังที่จะได้รับตำแหน่งต่อที่สุดแล้ว ไอ้เด็กเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อมันมีสิทธิ์อะไร จะให้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่ไม่เคยทำคดีมาเป็นหัวหน้าหน่วย!”
“สมัยนี้น่ะทำดีไม่ยังไม่สู้ชาติตระกูลดี” หญิงสาววัย 31-32 ปีแค่นเสียงขึ้นจมูกใส่ประตูที่ปิดสนิทอยู่อย่างดูแคลน “อย่าหาว่าฉันว่าเลยนะ นอกจากประจบสอพลอแล้วเขารู้อะไรบ้าง”
“ก็นั่นน่ะสิ! มาทำอวดเบ่งอะไรกับพวกเรา ฝีมือต่อสู้ดีแล้วยังไง! มันกล้าไปประลองในเครือสำนักงานตำรวจเราไหมล่ะ มีคนเก่งๆ เพียบ คิดว่าเหนือกว่าคนอื่นหรือไง” “โธ่เอ๊ย! ก็ทำได้แค่โม้อวดเก่งแต่ในเมืองกันดารๆ อย่างซานสุ่ยนี่แหละ! มันคิดว่ามันเป็นใคร!” “เฮอะๆ มันก็แค่เด็กคนหนึ่ง ก็คงมาแข่งโม้กับพวกเราในที่เล็กๆ แบบนี้แหละมั้ง!”
หัวหน้าเฉินกัดฟันจิบชา ทว่ารสชากลับขมเฝื่อนเสียจนเขาพูดอะไรไม่ออกสักคำ
“วันๆ ใส่เครื่องแบบตำรวจสร้างภาพให้ใครดู” หญิงสาวโบกมือท่าทางคล้ายตบยุง พลางขมวดคิ้วเอ่ย “ก็พอหัวหน้าส่งคนมาตรวจสอบ เฮอะ! คนอย่างเขาก็จะได้เป็นแบบอย่างที่ดีน่ะสิ ดูกระดุมนั่นซะก่อน ติดเสียแน่นอย่างกับเสื้อติดอยู่กับร่างอย่างนั้นแหละ…พวกคุณน่ะทำงานไม่รู้จักพูดจักจา เมื่อไรจะรู้จักเอาหน้าบ้าง ดูอย่างหัวหน้าสวีเสียบ้างสิว่าเขาทำยังไง” นายตำรวจหนุ่มคนหนึ่งแค่นเสียงเย็นๆ ออกมาคำหนึ่ง “นอกจากวางท่าแล้วจะทำอะไรเป็น ใครก็รู้ว่าหัวหน้าเฉินเหมาะสมกับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยที่สุด ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ เบื้องบนจะส่งคนลงมาเสียบแทนที่เสียได้”
“เมืองซานสุ่ยเราถึงจะแร้นแค้น แต่ถึงยังไงก็เป็นเมืองนครบาล สิบกว่าปีมานี้พวกเราก็รับทำคดีมาไม่น้อย…” นายตำรวจสูงวัยผู้หนึ่งเอ่ยอย่างคลุมเครือ “แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง ใครมีความสามารถก็ต้องให้คนนั้น รองหัวหน้าเฉินอยู่มาตั้งนานก็ควรถึงคิวเขาแล้ว”
“เฮอะๆ จะย้ายนักสืบโคนันมาข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่นี่เก่งขนาดนั้นหรือไง?!” “สถานีตำรวจหน่วยสืบสวนคดีอาชญากรรมร้ายแรง ที่แบบนี้ใครบ้างไม่อดทนเก็บสะสมอายุงานจนได้เลื่อนขั้น ใครบ้างไม่เคยทำคดีใหญ่ หัวหน้ากงคนก่อนได้รับตำแหน่งก็เพราะเราวัดจากอายุงานวัดจากพื้นฐานเขา หัวหน้าใหม่ที่อยู่ๆ ย้ายมาแบบนี้ ใครจะไปยอมก้มหัวให้!”
ไม่ว่าจะวงการหรือหน่วยงานไหน คนที่เบื้องบนฝากยัดมาให้ล้วนเป็นสิ่งที่ชวนให้คนเจ็บแค้นเดือดดาลเป็นที่สุด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังเป็นเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแบบนี้
กว่าคุณจะอดทนอยู่มาจนเห็นตำแหน่งผู้จัดการอยู่ตรงหน้านั้นมันไม่ง่ายเลย แต่จู่ๆ นาย XXX ของหัวหน้าคุณก็มาปล่อยของเสียรดหัวคุณเสียอย่างนั้น เป็นคุณจะรู้สึกอย่างไร
สวีหยางอี้… เพศชาย
สถานะ : โสด
อายุ : 21 ปี
ความสามารถพิเศษ : ว่างเปล่า
เล่นการเมือง : ไม่
จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย : ว่างเปล่า…
คุณกล้าเชื่อประวัติส่วนตัวที่เว้นว่างไว้ถึงสี่ช่องงั้นหรือ!
ใครบ้างไม่อดทนรอคอยจนได้ตำแหน่ง ใครบ้างไม่ได้ก้าวขึ้นมาทีละขั้น แล้วคุณถือสิทธิ์อะไรมาโฉบเอาตำแหน่งไป
พอคิดถึงตรงนี้รองหัวหน้าเฉินก็เส้นเลือดเต้นตุบๆ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะแค่นเสียงเฮอะออกมาคำหนึ่ง “ถ้าส่งคนเจ๋งจริงมาพวกเราก็ไม่มีอะไรจะพูดหรอก แต่นี่ส่งเจ้าเด็กสากกระเบือมาทำบ้าอะไร เห็นสถานที่เกิดเหตุจริงจะไม่ตกใจจนฉี่ราดเหรอ”
“เบื้องบนก็ช่างหน้ามืดตามัว” เหล่าจูจุดบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นสูบอย่างอัดอั้นแล้วถ่มน้ำลายออกมาทีหนึ่ง “เมื่อวานพวกเราร่วมลงชื่อคัดค้านไปแล้ว แต่อธิบดีเจิ้งก็ดูยึกยักไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ ทำอย่างกับไม่รู้ว่าสำนักงานตำรวจหน่วยสืบสวนสอบสวนใหญ่เพิ่งมีเด็กเส้นมาอย่างนั้นแหละ! หนำซ้ำยังเป็นเด็กเส้นที่ไม่มีพื้นฐานอะไรหรือเคยเจอคดีมาก่อนเลย! นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน!”
“เฮอะๆ…” รองหัวหน้าเฉินยิ้มเย็นพลางรินชาขมเฝื่อนนั้นดื่มอีกอึกแล้วเช็ดริมฝีปาก “ช่างหัวมันเถอะ ข้า! ไม่! สน! แล้ว! โว้ย!”
“ใครจะไปรู้ว่ามันเป็นหลานผู้บังคับบัญชา! ไอ้หลานเต่าเอ๊ย! มันจะว่าก็ให้มันว่าไป! ข้าก็อยากจะรู้นักว่าสุดท้ายอธิบดีเจิ้งจะมาเอาเรื่องใคร!”
Next: เล่มที่ 1 บทที่ 2 : แฟ้มข้อมูล M (1)