ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 10 พวกบ้าคลั่ง (2)
“ซวบ…” เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตัวเองวางลงบนพื้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
จากนั้นก็ขยับลำคอและข้อมือส่งเสียงดังกร๊อบ
“นี่มันบ้าคลั่ง” สวีหยางอี้โน้มตัวลง แสงจันทร์สาดส่องลงบนร่างเขา มัดกล้ามเนื้อที่ไม่ได้ดูใหญ่แต่กลับแข็งแกร่งนั้นมีอำนาจทำลายล้างชวนให้คนเสียขวัญอยู่ไม่น้อย ท่าทางของเขาราวกับเสือชีตาห์กำลังล่าเหยื่อ ใบหูกระดิกเล็กน้อยราวใบหูของสัตว์ป่า คอยจับทุกความเคลื่อนไหวในบริเวณรอบๆ นั้น
เส้นประสาททุกเส้นของเขาตึงเครียดถึงขีดสุด นี่ไม่ใช่แค่วิชาสุดท้ายที่เขาต้องสอบจบ แต่ยิ่งกว่าก็นั้นคือมันเป็นการเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจครั้งแรกของเขา และไม่ใช่แค่ปีศาจในขั้นแปลงร่างด้วย แต่เป็นไอ้บ้าที่ไม่อาจแปลงร่างเป็นคนได้ต่างหาก
ปีศาจบางตนเป็นพวกบ้าคลั่ง ในช่วงใกล้ตายไม่อาจเอาชนะมนุษย์ได้ มันจึงเชื่อว่ามนุษย์กดขี่โลกที่มันอาศัยอยู่ ด้วยความเคียดแค้นจึงทำให้เกลียดชังมนุษย์จนแทบบ้า มันไม่อาจรักษาร่างมนุษย์ไว้ได้ จึงค่อยๆ เปลี่ยนกลับไปสู่ร่างเดิมที่เป็นปีศาจทีละนิด จนกลายเป็นร่างปีศาจอย่างสมบูรณ์ในที่สุด
และในช่วงกระบวนการนี้เอง มันจะค่อยๆ บ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ อำมหิตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนที่กลายเป็นปีศาจอย่างสมบูรณ์ มันจะเกลียดแค้นมนุษย์ถึงขีดสุดและเริ่มเข่นฆ่าคนอย่างบ้าคลั่ง!
สำหรับพวกบ้าคลั่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจมันก็ฆ่าทิ้งได้ทั้งหมด การมีอยู่ของพวกมันส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันเปราะบางของมนุษย์และปีศาจ
ทันใดนั้นเอง เสียงเล็กแหลมปนเสียงร้องคำรามทุ้มต่ำก็ดังทำลายความเงียบข้ามมาห้าร้อยเมตรพร้อมกับสีแดงสดและความเร็วราวลูกธนูพุ่งทะยานออกไป เป็นความเร็วที่มนุษย์ไม่อาจตอบสนองได้ทัน
สวีหยางอี้ตาเบิกโพลงพลันเอี้ยวตัวหลบไปทางซ้าย
“ตึง…” เสียงทุ้มต่ำราวกำปั้นทุบลงกับพื้นดินดังสนั่นขึ้น ทำเอาทุกคนด้านนอกต่างตะลึง
“เหล่าฉิน…เธอรู้สึกไหม” เหล่าเฉินถามผู้เป็นตำรวจหญิงอย่างไม่แน่ใจนัก “เมื่อกี้…แผ่นดินไหวเหรอ”
มันเหมือนกับมีกระจกบานใหญ่กั้นอยู่ พวกเขาไม่ได้ยินเสียงจากด้านในแม้แต่น้อย และยิ่งมองไม่เห็นภาพเหตุการณ์ด้านในด้วย แต่ความรู้สึกรุนแรงจากพื้นดินกลับส่งผ่านมาถึงตัวพวกเขาได้
“เหมือนจะใช่…” เจ้าพนักงานฉินขมวดคิ้วมุ่น มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆ ถึงมีแผ่นดินไหวได้
“กระจก” ขณะเดียวกันนั้นเอง พื้นบริเวณข้างสวีหยางอี้เกิดหลุมกว้างขนาดครึ่งเมตร
เสื้อผ้าที่เขาวางไว้ตรงนั้นหายไปตั้งนานแล้ว
เงาร่างสีแดงฉานระเบิดอยู่กลางอากาศ ไม่ทันที่จะได้คิดอะไรเขาก็ถีบไปด้วยขาทั้งสองข้าง ร่างทั้งร่างพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวลูกธนูพุ่งออกจากคันศร
“ฟู่ว!” เสมือนยิงปืนใหญ่ ผืนหญ้ารอบเท้าเขาแผ่กระจายออกเป็นวงกว้าง
เขาพลันกระโดดข้ามไปหลายสิบเมตร เงาร่างสีแดงฉานกับเงาร่างสีดำของเขาลอยอยู่กลางอากาศราวกับกำลังไล่ตามดวงจันทราบนฟ้า
เขาจ้องร่างเงาที่เหาะเหินไปมาอย่างรวดเร็วนั้นไม่วางตา แล้วพลันใช้ทั้งสองมือคว้าส่วนปลายของเงานั้นเอาไว้!
“จย๊า!” สิ้นเสียงร้องคำรามเล็กแหลมนั้น เขาก็พลันแข็งทื่อราวกับรูปสลักหิน ก่อนจะร่วงลงมาที่พื้นดังโครม ทำเอาฝุ่นดินรอบตัวขึ้นกระเพื่อมขึ้นตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ
สายลมจางๆ ยามรัตติกาลพัดฝุ่นดินพาให้ทัศนวิสัยไม่ชัดเจนนัก
มันคือลิ้นขนาดยักษ์ใหญ่
ลิ้นสีแดงเนื้ออาบชุ่มไปด้วยน้ำลายสีเหลืองชวนคลื่นเหียน
ในขณะเดียว ทางด้านในตึกก็ไม่รู้ว่ามีหลุมขนาดยักษ์เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ข้างในนั้นมีบางอย่างสะท้อนรับกับแสงจันทร์ ปลายลิ้นของมันตวัดเกี่ยวเอาเสื้อผ้าขาดวิ่นขึ้นมา สวีหยางอี้ดึงปลายลิ้นของมันไว้จนสุดแรง
เขายึดอยู่กับที่แล้วใช้มือข้างหนึ่งดึงไว้แน่นจนเส้นเลือดที่มือและกล้ามเนื้อทุกส่วนปูดพองขึ้นจนเห็นได้ชัด ขาทั้งสองข้างลากไถลมาสิบกว่าเมตรจนมองไม่เห็นหลังเท้า
ทั้งแก่นพลังและพละกำลัง ร่างปีศาจแข็งแกร่งกว่าร่างมนุษย์มากนัก
“จะสู้กันด้วยพละกำลังงั้นเหรอ” นัยน์ตาเขาพลันเกิดประกายเย็นเยียบวูบขึ้นมาสายหนึ่ง “เผอิญว่าพละกำลังฉันก็ไม่น้อยเหมือนกัน”
ทันใดนั้นอักษรที่เรียงต่อกันก็พลันสะท้อนแสงประหลาดขึ้นที่มือทั้งสองข้างของเขา ร่างทั้งร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อพองขยายขึ้นราวกับถูกสูบลมเข้าไป จากคนที่สูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนกลายเป็นร่างยักษ์ใหญ่ที่สูงกว่าสองเมตร
“กระบวนท่าที่เก้าสิบห้า คมเขี้ยวมังกร”
พลังจากทั่วทั้งร่างประสานรวมกันอยู่ที่มือ ก่อนที่ดาบโบราณมายาเล่มยาวเล่มหนึ่งจะปรากฏขึ้น
“ฉึก!” ทันทีที่ดาบเล่มยาวคล้ายภาพมายาสัมผัสกับลิ้นนั้น เสียงร้องโหยหวนก็ดังตามมาทันที เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทุกทิศทาง ลิ้นขนาดหนาเท่าคนหนึ่งคนขาดสะบั้นราวสายธนูขาดผึง!
วินาทีต่อมา พื้นดินทั้งผืนก็พลันสั่นสะเทือนขึ้นมา!
สวีหยางอี้จ้องที่พื้นใต้เท้าของตัวเอง เขารู้ดีว่าปีศาจตนที่อยู่บนยอดอาคารการค้าเภสัชกรรมที่ยิ่งใหญ่นั้นมีขนาดรอบตัวกว่าสามสิบสี่สิบเมตร แต่ตนนี้…ยังเป็นปีศาจบ้าคลั่งอีกด้วย มันย่อมไม่เล็กแน่! และปีศาจร่างมหึมาขนาดนี้
มัน…กำลังจะปรากฏตัวในไม่ช้านี้แล้ว!
“ป้าบ!”
พื้นดินรอบกายเขาพลันแตกแยกออกราวน้ำพุผุดขึ้นมาจากใต้ดิน
ทว่าไม่ใช่แค่สายหนึ่ง แต่เป็นน้ำพุนับสายไม่ถ้วน! ราวกับว่าใต้พื้นดินนี้มีน้ำพุนับสายไม่ถ้วนฝังอยู่ “โครม” ผืนดินทั้งผืนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ฝุ่นดินตลบอบอวลไปทั่ว ทรายสีเหลืองราวหมอกควันในยามรัตติกาล ทำเอากระทั่งดวงจันทร์ก็ยังหม่นแสงไป
“สวรรค์! นี่มันอะไรกันวะเนี่ย!” “มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น!” แผ่นดินไหวเหรอ! แผ่นดินไหวแล้ว!”
รองหัวหน้าเฉินตะลึงลานหันมองรอบทิศ พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างเห็นได้ชัด ตอนแรกเขายังนึกว่าตัวเองเข้าใจผิดเสียอีก แต่ในวินาทีต่อมานั้นเองก็รู้ว่ามันไม่ใช่!”
“เพล้ง!” ชั่วขณะนั้นเอง แก้วน้ำที่วางอยู่บนหลังคารถของหน่วยสืบสวนข้างกายเขาก็หล่นเพล้งลงมา!
ทุกคนต่างหยิบปืนขึ้นมาตามคำสั่ง ชั่วขณะนั้นไม่มีใครยืนอยู่นิ่งได้สักคน เหมือนกับว่ามีสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ใหญ่กำลังพุ่งขึ้นมาจากพื้นเสียอย่างนั้น
เจ้าพนักงานฉินจับรถเอาไว้อย่างตื่นตระหนก ความรู้สึกสั่นสะเทือนใต้ฝ่าเท้ารุนแรงนัก และขณะที่เธอกำลังจะยืนได้มั่นคงขึ้นบ้างนั้นเอง ดวงตาเฉียบคมของเธอก็พลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา
“พระ…พระเจ้า…” เธอมองไปยังเบื้องหน้าของตัวเองด้วยสีหน้าว่างเปล่า ตึกร้างดำทะมึนหลังนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิด ทว่า…
ก็เพราะว่ามันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิดนั่นแหละ!
สถานการณ์แผ่นดินไหวตอนนี้มันทั้งรุนแรงและเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ ทุกอย่างล้วนสั่นสะเทือนไปหมด! ทหารที่ถือปืนอยู่แม้แต่ปืนก็ยังจับไว้ไม่อยู่! มีแค่มันที่ไม่สั่น!
มันเหมือนกับตึกมายาลวงในลูกแก้วคริสตัล รอบด้านสั่นสะเทือนไปหมด แต่ตึกใหญ่โตนั่นกลับนิ่งสนิท เมื่อเทียบกันแล้วช่างดูขัดกันเสียจริงๆ!
“เหล่าฉิน! เหล่าฉิน!” เหล่าจูเข้ามาดึงเธอเอาไว้ แต่กลับถูกเธอปัดมือออก
“เป็นอะไรไป!” เหล่าจูรีบร้อนกดบ่าเธอเอาไว้ “รีบหมอบลงเร็วเข้า! แผ่นดินไหวแล้วไม่รู้หรือไง!”
เจ้าหน้าพนักงานฉินริมฝีปากสั่นระริก เธอเอาแต่มองตึกที่แทบไม่ไหวติงหลังนั้นราวกับไร้ความความรู้สึกไปแล้ว
“มันคือ…เวทย์มนตร์ใช่ไหม”
ด้วยค่ายกลฟ้าดาวเหนือ ฝุ่นดินและหินทรายจึงลอยคลุ้งตลบอบอวลบดบังทัศนวิสัยจนดูสลัว
หมอกควันที่จับตัวขึ้นจากหิน ทราย ลม และอากาศกลายเป็นเงาร่างดำทะมึนสลัวๆ ขนาดยักษ์เทียมฟ้าตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
มันคืองู
งูยักษ์สีดำมรณะตัวหนึ่ง ส่วนหัวของมันมีขนาดราวสามสี่เมตร นัยน์ตาสีฟ้าอัญมณีทั้งดวงแดงฉาน ปากกว้างราวห้วงเหวลึก ท่ามกลางฝุ่นดินตลบอบอวลนั้น ดวงตาทั้งสองข้างที่ราวกับไฟส่องสำรวจสีฟ้าขนาดยักษ์ใหญ่กำลังเบิ่งมองทุกคนในที่นั้นนิ่งสนิท
มันไม่อาจแยกแยะความยาว ความสูง หรือความหนาใดๆ ได้ทั้งนั้น
ไม่เพียงเท่านั้น…รอบๆ บริเวณพื้นดินที่แตกเป็นเสี่ยงๆ นั้นยังมีงูขนาดเล็กลงมานับร้อยตัว แต่ถึงจะบอกว่าเล็กมันก็ยังหนาเท่าเอวมนุษย์ หากก็ยังไม่อาจเทียบได้กับงูยักษ์ที่หนาเท่าห้องห้องหนึ่งตัวนั้นได้
เมื่อเทียบกันกับสวีหยางอี้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามันแล้วช่างเหมือนกับมดยืนอยู่ต่อหน้าต้นไม้ต้นหนึ่งไม่มีผิด
“ซวบ!” ปีศาจงูยักษ์ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอาบแสงจันทร์ส่งเสียงคำรามลั่นสะเทือนฟ้าดินไม่หยุด บดบังสวีหยางอี้ไว้ภายใต้เงาอันมืดมิด
“จย๊า!!!”
วินาทีต่อมานั้นเอง ร่างใหญ่ยักษ์ของมันก็ราวกับสายอัสนีบาตสีดำฟาดลงเบื้องหน้าที่ห่างออกมาสิบกว่าเมตร!
และในขณะเดียวกัน งูเล็กนับร้อยที่อยู่รอบๆ ก็ส่งเสียงร้องคำรามลั่นพร้อมกับกลิ่นเหม็นคาวคลุ้งไปทั่ว ราวกับถูกขังอยู่ในกรงและต้องการพุ่งออกไปยังที่เดียวกัน
และสวีหยางอี้ก็อยู่ที่ตรงนั้นพอดี!
“ตึง…ตึงตึงตึง!” พื้นดินส่งเสียงแตกเป็นเสี่ยงๆ ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้ยินแล้วก็ชวนให้รู้สึกหนังศีรษะชาวาบ!
“ตึง…ตึง…” ในขณะเดียวนั้นเอง เหล่าจูที่เพิ่งทรุดลงกับพื้นก็หันไปเห็นที่ข้างรถ แล้วก็พลันสะดุ้งเฮือกขึ้น
มันทั้งแผ่วเบา หนักหน่วง เบาบาง และหนักอึ้ง เหมือนกับไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ในเรื่องจูราสิคพาร์คภาคหนึ่งย่ำอยู่บนพื้นแล้วรถสั่นกระเพื่อมอย่างไรอย่างนั้น
แม้แต่หางตาก็ยังเต้นกระตุกตามไปด้วย
ทันใดนั้นเอง…
พื้นดินทั้งผืนก็สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง รุนแรงยิ่งกว่าเมื่อครู่เป็นสิบเท่า!
“สวรรค์!” หัวหน้าเกาเกาะรถยนต์ไว้ด้วยสติที่ไม่มั่นคงนัก “แผ่นดินไหว! แผ่นดินไหวแล้ว!”
“ฉิบหาย!” รองหัวหน้าเฉินร้องเสียงแหลมขึ้นแทบไม่ทัน แรงสั่นสะเทือนรุนแรงพาให้ขาทั้งสองข้างของเขาอ่อนยวบจนทรุดก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น!”
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!” เขากัดฟันแน่น ควรถอยทัพไหม หรือควรร้องเรียกดี หัวหน้าก็ยังไม่ออกมา แต่ว่า…
สั่นสะเทือนรุนแรงขนาดนี้เทียบกับแผ่นดินไหวระดับห้าได้เลย! อีกทั้ง…เขามีความรู้สึกประหลาดว่าแผ่นดินไหวตอนนี้…มันอยู่ข้างใต้เท้าเขานี่เอง!
“หัวหน้าครับ! ทำยังไงดีครับ!” “ผู้บังคับกองครับ ตอนนี้จะทำยังไงดี” “ทำไมอยู่ๆ ถึงมีแผ่นดินไหวได้ล่ะครับ” “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เสียงตื่นตระหนกดังขึ้นไม่ขาดสาย ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่ ทำไมอยู่ๆ ถึงได้มีแรงสั่นสะเทือนรุนแรงขนาดนี้ได้
มันเป็นเสียงงูเหลือมยักษ์นับร้อยตัวพุ่งชนพื้นดิน ไม่ได้ยินเสียงร้องโหยหวน ไม่ได้ยินเสียงมันกัดอะไร มีเพียงเสียงทุ้มต่ำพุ่งปะทุขึ้นมาจากใต้ดินคล้ายเสียงตีกลองก่อนที่พื้นดินจะแตกออก ยิ่งมีเสียงดังกึกก้องถี่ยิบจากใต้ดินมากเท่าไร พื้นดินก็ยิ่งปริแยกออกขึ้นไปอีก! ทว่ายิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีใครมองเห็นค่ายกลฟ้าดาวเหนือสักคน
นั่นมันทะเลงู! พวกมันผลุบลงไปแล้วก็พุ่งขึ้นมากัดเหมือนเกมทุบตัวตุ่นไม่มีผิด ถ้ามีคนตกลงไปในนั้นล่ะก็จะต้องถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แน่
“ซ่า!” สิบนาทีเต็มๆ กว่าคลื่นพายุคลั่งจะสงบลง และที่กลางทะเลนั้นมีคนเลือดท่วมตัวคนหนึ่งยืนอยู่
สวีหยางอี้ใช้ทั้งสองมือป้องจุดสำคัญของร่างกายไว้ จนในที่สุดก็จับมันไว้ได้สำเร็จ
เขาสะบัดแขนตัวเองดังกึกๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวบิดลำคอส่งเสียงดังกรึ๊ก
เขายังคงมีรอยยิ้มประดับใบหน้าเช่นเคย เพียงแต่รอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากนั้นกลับฉาบเคลือบไว้ด้วยความกระหายเลือด
“เลี่ยนชี่ขั้นต้น…แปลกนะ…” เขาโน้มตัวเข้าหาท่อนขาราวกับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น “พลังเยอะใช้ได้นี่ ฉันนึกว่าตัวเองจะเจ็บหนักซะแล้ว…แต่ทำไมแกถึงได้อ่อนแอขนาดนี้”
“ไอ้บ้า แกคืนร่างกลายเป็นร่างปีศาจเดิมอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่อย่างน้อยแกก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นมาสองขั้นเล็กๆ แล้วล่ะน่ะ ต่อให้แกจะอยู่ในขั้นต้น แต่ตอนนี้อย่างน้อยก็คงเป็นขั้นปลายแล้วล่ะมั้ง”
“ไม่ใช่แค่อ่อนแอเท่านั้นนะ แต่พลังก็ไม่คงที่เอาซะเลย…ไม่น่าเลย” เขายิ้มพลางลูบคาง “พลังลมปราณภายในแตกซ่าน ปณิธานก็สูญสิ้นไปด้วยงั้นเหรอ”
ดวงเนตรทั้งสองของงูยักษ์จ้องมองสวีหยางอี้ตาไม่วางตา หลังจากประมือกันเมื่อครู่ สติปัญญาที่เหลืออยู่ไม่มากของมันก็บอกว่า มนุษย์ที่ส่งยิ้มอยู่ข้างหน้านี้แข็งแกร่งมาก…มากเหลือเกิน!
มันไม่ควรจะอ่อนแอขนาดนี้ เมื่อครู่มันควรจะฉีกอีกฝ่ายทิ้งเป็นชิ้นๆ ถึงจะถูก!
“แกกลัวเหรอ” สวีหยางอี้ค่อยๆ เดินเข้าไปส่งยิ้มให้อย่างเคย “ร่างแกมีปัญหานะ บางทีแกอาจจะไม่ได้อยากสูญเสียการควบคุมจนกลายเป็นตัวที่เขมือบกินอะไรที่ไม่ควรกิน…แต่ก็ช่างเถอะ นั่นมันก็ไม่สำคัญหรอก”
เขาว่าแล้วก็พุ่งทะยานขึ้นไปหาส่วนบนหัวของงูอย่างรวดเร็วราวลูกธนูพุ่งออกจากเกาทัณฑ์
“กระบวนท่าที่เก้าสิบเจ็ด พยัคฆ์สยบกระเรียน!”