ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 12 ดอกบัวทองคำระเบิดพิภพ (2)
พื้นที่เกิดเหตุราวกับถูกอุกกาบาตถล่ม…ลำแสงสีแดงที่พุ่งขึ้นไปบนฟ้าเมื่อครู่…หัวหน้าที่เลือดท่วมตัว…ดอกบัวแห้งเกลื่อนพื้น…อยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าของทุกคน…
ในวินาทีที่เห็นทุกอย่างนั้นเอง คำพูดทั้งหมดก็สูญสิ้นประโยชน์ที่มันเคยมีไป
ตื่นตะลึง นอกเหนือจากความตื่นตะลึงก็ยังเป็นความตื่นตะลึง
คาดไม่ถึง…นอกเหนือจากความคาดไม่ถึงก็ยังเป็นความคาดไม่ถึงอยู่อีกนั่นแหละ
“นี่มัน…นี่มันอะไรกันแน่…” รองหัวหน้าเฉินแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าทั้งหมดนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อกี้นี้มันเกิดอะไรขึ้น แม้แต่คนปัญญาอ่อนยังดูออกเลยว่าแผ่นดินไหวรุนแรงขนาดไหน แต่ไม่รู้ว่าตัวอะไรพุ่งชนพื้นถึงทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนได้ขนาดนี้ ทว่าตอนนี้แค่ดูจากหลุมน้อยใหญ่บนพื้นแล้วก็พอจะอธิบายทุกอย่างได้แล้ว
มันคืออะไรกันแน่
ไอ้ตัวที่มันพุ่งชนพื้นนั่นมันคือตัวอะไร
โลกเรามีสิ่งมีชีวิตแบบนี้อยู่ด้วยหรือ
นี่…คือผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมต่อเนื่องงั้นหรือ
แม้แต่คนตาบอดยังดูออกเลยว่าเมื่อกี้มีสงครามนองเลือดเกิดขึ้น ทว่า…คู่ต่อสู้ของหัวหน้าสวีล่ะ!
คำถามมากมายนับไม่ถ้วนวนเวียนอยู่ในหัวเขา ทว่าอยู่ๆ ก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น หัวหน้าเกาตะโกนใส่วิทยุสื่อสารด้วยเสียงอันสั่นเครือ “ทุกคน…นอก…นอกจากคนที่รับผิดชอบ ถอย…ถอยออกไปเดี๋ยวนี้…นี่คือคำสั่ง!”
พวกเขาซึ่งเป็นคนที่รับผิดชอบไม่กี่คน อันได้แก่ นายพันสามคนจากกองทัพ รองหัวหน้าเฉิน หัวหน้าเกา เดินเข้าไปหาสวีหยางอี้พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ก็เพราะว่า…ตรงนั้นมีหลุมใหญ่กว่าสิบเมตรอยู่! จะทำเป็นไม่เห็นไปได้ยังไง!
พวกเขาย่องไปที่ข้างหลุมเงียบๆ ต่างคนต่างมองกันไปมา ก่อนจะไปมองที่หลุมนั้นอีกครั้งด้วยสีหน้าไร้วิญญาณ พูดอะไรไม่ออกสักคำ
“หัวหน้า…หัวหน้าสวี…” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว รองหัวหน้าเฉินพลันหันหลังกลับมาจ้องสวีหยางอี้ด้วยดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ
“แสงสีแดงนั่นมันอะไรกัน”
“กลีบดอกบัวพวกนี้มันอะไร”
“ผู้ต้องหาล่ะ คุณจัดการผู้ต้องหายังไง”
แต่ละคนพ่นถามคำถามออกมามากมายอย่างบ้าคลั่ง จนคำถามล้นทะลักออกมาราวเขื่อนแตก ทว่าคนอื่นๆ ที่เหลือกลับไม่พูดอะไรออกมาอีก ได้แต่จ้องสวีหยางอี้ด้วยสายตาลุกโชน
เรื่องนี้มันใช้วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้แล้ว…พวกเขาไม่กล้าจะคิด…ไม่กล้าจะคิดไปในทางภูตผีปีศาจหรืออะไรเทือกๆ นั้น…ทว่าเมื่อกี้ที่ตรงหน้านี้ยังไม่มีอะไรอยู่แท้ๆ แต่ทำไมภายในชั่ววินาทีถึงได้มีอะไรผุดขึ้นมามากมายเต็มไปหมดอย่างกับภาพยนตร์ตัดต่อแบบนี้ได้
ไม่มีใครอธิบายอะไรได้ นอกจากชายหนุ่มตรงหน้านี้…เขาเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ที่เหมือนกับตำนานนั้นเพียงคนเดียว ทุกคนรอให้เขาเปิดปากพูดจนความสงสัยที่อัดอั้นอยู่ในอกแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว
ทว่าสวีหยางอี้กลับนั่งลงจัดการบาดแผลของตัวเอง ไม่ได้คิดจะอธิบายเลยสักนิด “เมาปาเอ้อ ออกมาเก็บกวาดด้วย”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของทุกคนเกร็งค้างจนแทบจะเป็นตะคริว
พูดอะไรบ้างไม่ได้หรือไง!
สถานการณ์ตอนนี้ไม่ต้องเอาเรื่องจับกุมผู้ต้องหามาอธิบายอีกแล้วจะได้ไหม! คนตั้งมากมายจ้องแกอยู่ แต่แกกลับยังมีหน้ามาจัดการแผลเสียอย่างกับไม่มีใครอยู่ตรงนี้อยู่ได้!
“คุณเป็นคนทำเหรอ” เหล่าจูทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามออกไปในที่สุด
มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น…ตรงนี้มีแค่มันคนเดียว…แต่ว่า…
มันแม่Xยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า!
คนจะสามารถทำให้แผ่นดินไหวได้งั้นเหรอ
มนุษย์ใช้เวทย์มนตร์สะเทือนขวัญแบบนี้ได้ด้วยหรือ
“ใช่” สวีหยางอี้กวาดตามองแล้วตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความ อันที่จริงบาดแผลเขาไม่ได้รุนแรงนัก เพียงแต่หนามแหลมที่ทิ่มเข้าไปในร่างกายนั้นออกจะจัดการยากอยู่สักหน่อย ตอนนี้เขาไม่ต่างกับเม่นตัวหนึ่ง จะดึงออกก็ไม่ได้ ทำได้เพียงใช้กล้ามเนื้อเกร็งหนีบมันไว้แน่นๆ
ประโยคนี้ราวกับกดเปิดสวิตช์อะไรเข้า ทุกคนในที่นั้นต่างมองหน้ากันไปมา สายตาของทุกคนต่างกำลังส่งสารอย่างหนึ่งให้กัน นั่นก็คือ มันเป็นเรื่องจริง! มันไม่ใช่ความฝัน! แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดออกมาสักคน จึงทำให้ที่นี่เงียบสงัดเสียจนน่ากลัว
“หัวหน้า…หัวหน้าสวี เป็น…เป็นคุณจริงๆ เหรอ” หลายนาทีผ่านไป น้ำเสียงรองหัวหน้าเฉินแผ่วหวิว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกคำว่าหัวหน้าสวีคำนี้ออกมาด้วยใจจริง
ไม่มีการตอบกลับ ทว่าที่เกิดเหตุในตอนนี้กลับกลายเป็นความกลมกลืนอย่างประหลาด สวีหยางอี้ค่อยๆ ดึงหนามแหลมที่ค่อนข้างสั้นออกมาอย่างไม่รีบร้อน หนามแหลมทุกเล่มที่ถูกดึงออกมาล้วนมีโลหิตสีแดงเข้มไหลซิบตามออกมาด้วย ยังมีหนามที่บริเวณหน้าท้องอีกหลายเล่ม ที่ส่วนที่โผล่มาด้านนอกยาวสามถึงสี่เดซิเมตรจนเขาไม่กล้าแม้แต่จะแตะมัน
“หัวหน้าสวี…นี่…คุณ…อะไรอยู่บนตัวคุณน่ะ” ผ่านไปอีกนาทีหนึ่งหัวหน้าเกาถึงได้กลืนน้ำลายแล้วเอ่ยถามขึ้น และไม่มีใครรู้สึกว่านี่เป็นการดูถูกเหยียดหยามเขาแต่อย่างใด
“ซี้ด…” สวีหยางอี้ดึงหนามแหลมเล็กเล่มสุดท้ายออก ก่อนจะเอ่ยขึ้นพลางขมวดคิ้ว “เมาปาเอ้อ ทำงานได้แล้ว”
“ฮือๆๆๆ” เสียงร้องไห้เสียงหนึ่งดังมาจากข้างในรถ ทันใดนั้น สีหน้าของทุกคนก็เริ่มประหลาดขึ้นมา
สุนัขสายพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้อ้วนฉุขนาดใหญ่เท่าครึ่งตัวคนตัวหนึ่ง ยกอุ้งเท้าขึ้นขยี้ตาเหมือนคนไม่มีผิด มือซ้าย ไม่สิ…อุ้งเท้าซ้ายหอบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเครื่องหนึ่ง พร้อมกับย้ายบั้นท้ายอวบอ้วนของมันออกมาจากรถอย่างยากลำบาก
“หัวหน้า…หัวหน้าสวี…” เหล่าจูหมดความอดทนเป็นคนแรก “เมื่อกี้คุณพูดว่า มันชื่อ…”
“เมา*…เมาปาเอ้อ” สวีหยางอี้ยิ้มก่อนจะเอ่ยเสริมขึ้นอีกประโยค “ผู้ช่วยผมเอง หน่วยผมออกจะพิลึกอยู่หน่อย สมาชิกหน่วยสู้รบทุกคนต้องมีนายหน้าคนกลางเป็นคนคอยจัดการคนหนึ่ง ซึ่งมัน…ก็ไม่เลว”
(* เมา(猫) ในภาษาจีนแปลว่า แมวX)
แมวกับผีน่ะสิ!
คุณเคยเห็นแมวในร่างไซบีเรียนฮัสกี้หรือเปล่าล่ะ!
แล้วอะไรคือไม่เลว…นี่มันโคตรประหลาดเลยต่างหาก!
หากไม่ใช่เพราะมีเหตุการณ์แปลกประหลาดอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนในที่นี้คงเป็นอันได้ตกใจจนกรีดร้องออกมาแน่ แต่ตอนนี้ทุกคนได้แต่จ้องไซบีเรียนพูดได้ตาไม่กะพริบตัวนี้ หนึ่งในสามสัตว์โลกผู้น่ารักร่วมกับแรคคูนและหมาชิบะญี่ปุ่น
คงต้องบอกว่า…งานอดิเรกของหัวหน้าสวีออกจะพิลึกอยู่สักหน่อย…เรามักจะได้ยินเรื่องตลกในเชิงสองแง่สามง่ามว่าหญิงสาวชอบเลี้ยงสุนัขตัวใหญ่ มีเรื่องที่ว่าชายหนุ่มชอบเลี้ยงสุนัขตัวใหญ่ตั้งแต่เมื่อไรกัน
“ไอ้หน้าอ่อน… นายถึงขนาดใส่เพลง ‘Deliver Me’ ลงในเพลย์ลิสต์ด้วยเหรอ…ซึ้งกินใจมาก เศร้ามากจริงๆ ฉัน…ฉันฟังแล้วจะร้องไห้…” เมาปาเอ้อในร่างไซบีเรียนพูดได้เดินลากสังขารมาวางคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คลง แล้วเอ่ยพลางสะอึกสะอื้นขึ้น “สมกับเป็นหนึ่งในสามเพลงต้องห้ามที่ทำให้คนฆ่าตัวตาย ไม่ใช่แค่คนหรอก แม้กระทั่งหมายังฟังแล้วร้องไห้เลย…ฟังแล้วก็ชวนให้นึกถึงประสบการณ์อันแสนเศร้าของฉันขึ้นมา”
ใบหน้าของทุกคนในที่นั้นกระตุกขึ้น ประสบการณ์อันแสนเศร้า… เห็นการล้มหายตายจากของพวกพ้องแล้วก็พาให้คิดถึงจุดจบที่กำลังจะมาถึงของตัวเอง เลยเกิดรู้สึกเศร้าขึ้นมางั้นหรือ
ใครเป็นพวกพ้องกับแกกัน!
“เมาปาเอ้อ” สวีหยางอี้ร้องเรียกอย่างเป็นธรรมชาติ
เจ้าไซบีเรียนฮัสกี้สั่นสะท้านไปทั้งตัว มันใช้อุ้งเท้าทั้งสองข้างกดเปิดแล้วพิมพ์คอมพิวเตอร์ส่งเสียงดังต่อกแต่ก จากนั้นก็มองคอมพิวเตอร์อยู่สามวินาทีเต็มๆ ก่อนจะส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังลั่นขึ้นมา
“ฮือๆๆ…สวรรค์ อยู่ไม่ได้แล้ว! ฮือๆๆ…โฮ่ง! โฮ่งๆ!”
คำบอกน้ำเสียงต่างๆ นานาที่เติมเข้ามา ทำให้พอจะเห็นถึงความเศร้าโศกเสียใจขนาดที่ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์เป็นพยานได้ของอีกฝ่าย
“กระดูกงูราคาสูงจนประเมินค่าไม่ได้ แต่นายทำลายมันทิ้งหมดแล้ว” เมาปาเอ้อจ้องสวีหยางอี้ด้วยสายตาคับแค้นใจ มันยืนขึ้นเหมือนกับมนุษย์ท่ามกลางสายตาหวาดผวาของทุกคน แล้วใช้น้ำเสียงเคร่งขรึมเกินจะนิยามเอ่ยขึ้น พร้อมกันนั้นก็ใช้อุ้งเท้ากดลงที่หน้าอกของสวีหยางอี้ “ฉันบอกนายกี่ครั้งแล้ว! ก่อนจะล่าปีศาจทุกครั้ง ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ส่วนที่มีค่าได้รับบาดเจ็บ! ไม่อย่างนั้นนายจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อวัตถุดิบมาฝึกบำเพ็ญ! ต้องมาเจอไอ้บ้าชอบทำลายข้าวของเข้ากระดูกอย่างนาย ฉันถึงไม่มีรายรับเข้ามาเป็นเดือนแล้ว โฮ่ง!”
ช่างเป็นภาพที่เต็มไปด้วยความประหลาดและน่าขัน เมื่อไซบีเรียนฮัสกี้ตัวยักษ์ใหญ่ใช้ขาหลังข้างหนึ่งเหยียบคอมพิวเตอร์ อีกข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนพื้น ในขณะที่ขาหน้าข้างหนึ่งก็ยกขึ้นเท้าสะเอว ส่วนอีกข้างหก็เหยียบอยู่บนอกของสวีหยางอี้อย่างแรง ขณะเดียวกันก็ใช้ลิ้นเลียสะเปะสะปะจนน้ำลายกระเด็นไปทั่ว เห็นได้ชัดว่าเรื่องไม่มีรายรับตลอดหนึ่งเดือนนี้ทำให้สหายไซบีเรียนฮัสกี้เจ็บช้ำถึงขนาดระเบิดพลังต่อสู้ออกมาได้มหาศาลขนาดนี้
“ดีงูก็คงไม่กี่ตังค์หรอก แต่นี่มันบ้าบิ่นสิ้นดีเลย! บ้าบิ่นน่ะนายรู้จักไหม! ร่างปีศาจบริสุทธิ์ขั้นสุด! ราคาสูงกว่าร่างปีศาจธรรมดาๆ ตั้งสามเท่าขึ้นไป! อย่างหนังงูสวยๆ แบบนี้ แยกส่วนส่งขายให้แบรนด์หรูๆ ได้อย่างต่ำสองแสน! แต่ตอนนี้!”
“มันทำลายของมันเอง บางทีมันอาจจะชอบทรมานตัวเองก็ได้” สวีหยางอี้เข้าไปนั่งในรถอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะจุดบุหรี่ขึ้นสูบเข้าไปลึกๆ อึกหนึ่ง
หนามแหลมเล่มหนึ่งแทงแผ่นหลังเขาเสียจนทะลุเข้าไปกระบังลม ทำเอาเขาแยกเขี้ยวออกมา
“นั่นมันไม่สำคัญหรอก! มันแค่รายละเอียดปลีกย่อย!” ดวงตาทั้งสองข้างของเมาปาเอ้อมีประกายไฟลุกโชนส่งเสียงเปรี๊ยะปร๊ะ มันงับเข้าที่มือสวีหยางอี้ “ที่สำคัญก็คือ…สุดท้ายนายใช้กระบวนท่าที่เก้าสิบเอ็ดฆ่ามัน แก่นปีศาจมันแหลกละเอียดไปหมดแล้ว! ฉันสแกนไปสามครั้ง! ขายไม่ได้แม้แต่สตางค์แดงเดียว”
สวีหยางอี้กวาดตามองเมาปาเอ้อเรียบๆ “ปล่อยมือ…อย่า เลิกกัด”
“เฮอะ!” มันสะบัดหัวอย่างเย่อหยิ่ง
“เอาล่ะ ครั้งหน้าฉันจะจำไว้ว่าต้องอ่อนโยนหน่อย” สวีหยางอี้นวดขมับ “ทำเรื่องสำคัญก่อน”
“จำคำสัญญาของนายไว้ให้ดี” เมาปาเอ้อเลิกกัดเขา แล้วถือโอกาสเลียเขาทีหนึ่ง
เมื่อเห็นสายตาของสวีหยางอี้ มันจึงรีบได้เอ่ยเสริมขึ้นทันที “แผลเล็กน้อย ใช้น้ำลายรักษาก็ได้”
สวีหยางอี้พ่นควันบุหรี่ ก่อนจะชูนิ้วกลางขึ้น
พูดก็ส่วนพูด ทำก็ส่วนทำ เมาปาเอ้อยื่นคอยาวออกมา ทุกคนถึงได้เห็นว่าบนคอของมันมีกระดิ่งสีทองอยู่ด้วย
“กรุ๊งกริ๊ง…” ทันทีที่เสียงกระดิ่งดังขึ้นเบาๆ ทุกคนในที่นั้นก็พลันรู้สึกเปลือกตาหนักอึ้ง แล้วร่วงลงไปกองกับพื้น ก่อนจะส่งเสียงกรนดังไปทั่วภายในเวลาไม่ถึงห้าวินาที
“แน่ใจว่านะว่าพวกเขาจะจำไม่ได้” สวีหยางอี้มองไปที่หลังคารถ เปลือกตาเขาก็ชักจะหนักอึ้งขึ้นมาบ้างเหมือนกัน ความเจ็บปวดที่ถูกกดเอาไว้พวยพุ่งขึ้นมาเป็นระลอก ตอนแรกมันเป็นเพียงความเจ็บปวดเบาบางเท่านั้น ทว่าไม่ถึงสามวินาทีต่อมาความเจ็บปวดที่แท้จริงก็เสียดเข้าถึงกระดูก ราวกับมีคนใช้ค้อนนับไม่ถ้วนทุบกระดูกทุกชิ้นของเขาอย่างไรอย่างนั้น
ไม่เพียงเท่านั้น…แม้กระทั่งจุดตันเถียน[1] บริเวณทะเลพลังลมปราณก็ยังพลันปวดแปลบขึ้นมา
เปลือกตาเขาหนักอึ้งขึ้นทุกที ทว่าพอเขาหลับตาลงอีกครั้ง ภาพที่เห็นกลับเป็นใบหน้าบ้องแบ๊วใคร่รู้กับลิ้นชื้นแฉะชวนสะอิดสะเอียน
เขาไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไร พอฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว
“อย่าขยับ…” อุ้งเท้าข้างหนึ่งกดลงบนบาดแผลอย่างแม่นยำ แล้วจงใจออกแรงกดลงไปอีกหลายส่วน ใบหน้ายิ้มเยาะของเมาปาเอ้อเลือนรางอยู่ตรงหน้าเขา “นายสลบไป 12 วัน ที่นี่เป็นโรงพยาบาลของประชาชนแห่งแรกของเมืองซานสุ่ย นายรู้สึกไหมว่าตอนนี้อะไรๆ ก็ดูสลัวไปหมด ดูรางๆ แล้วฉันก็สวยแบบโมนาลิซ่าเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”
สวีหยางอี้ไม่รู้ว่าตอนแรกสาขาย่อยฟั่นเฟือนไปแล้วหรือไงถึงได้ส่งของไม่มีคุณภาพแบบนี้มา
“น้ำ…” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งพลางยกมือขึ้น ทันใดนั้นก็มีแก้วน้ำมาวางลงที่ข้างๆ เขาทันที
สวีหยางอี้กำลังจะดื่มน้ำ แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกแสบร้อนราวกับถูกไฟเผาไหม้ที่ลำคอแล้วจ้องไปที่เมาปาเอ้อ “นายเอามาให้ฉันได้ยังไง”
เมาปาเอ้อคาบขอบแก้วน้ำไปที่อีกด้านหนึ่งอย่างเคย ก่อนจะมองสวีหยางอี้ตาปริบๆ รอการชมเชย
ทำไมเขาถึงได้รู้สึกอยากฆ่าขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลนะ
ท่ามกลางสายตาเย็นเยียบของสวีหยางอี้ เมาปาเอ้อยืนขึ้นพลางก้มหน้า แล้วใช้อุ้งเท้าทั้งสองข้างรินน้ำแก้วหนึ่งใหม่อีกครั้ง พร้อมกับบ่นพึมพำกับตัวเอง “ฉันจะฟ้องนายข้อหาสองมาตรฐาน…”
“หึๆ…” สุดท้ายสวีหยางอี้ก็อดยิ้มเย็นยะเยือกออกมาไม่ได้
หลังจากพักผ่อนไปครึ่งชั่วโมง…
เจ้าไซบีเรียนฮัสกี้พลันถูกโยนออกมานอกห้องผู้ป่วยหนัก ก่อนที่ประตูจะปิดตามหลังลงทันที เจ้ามนุษย์สุนัขจึงรีบยืนขึ้นทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้หน้าอ่อน ฉันขอเตือนนายนะ! นายทำแบบนี้ถือว่าดูถูกฉันมาก! ให้ฉันเข้าไปเดี๋ยวนี้!”
“ต่อไปเราแบ่งกันเจ็ดสิบสามสิบก็ได้! แต่ฉันจะไม่ยอมให้นายทำแบบนี้กับนายหน้านายเด็ดขาด!”
“หกสิบสี่สิบ หกสิบสี่สิบนี่ต่ำที่สุดแล้ว! นี่…นายคงไม่คิดจะหานายหน้าใหม่หรอกใช่ไหม นายหน้าน่ารักอย่างฉันเนี่ยหายากนะ!”
——————————————————————————————–
[1] จุดตันเถียน คือ จุดศูนย์กลางของพลังชี่ภายในร่างกาย