ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 13 ทะเลลมปราณ (1)
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปประตูถึงได้เปิดออก เมาปาเอ้อไถลเข้าไปทันที แล้วมองสวีหยางอี้ด้วยสายตาเคียดแค้น “คนแซ่สวี…ฉันทนนายมานานแล้วนะ!”
“งั้นก็อย่าทน” สวีหยางอี้ค่อยๆ ดื่มน้ำหวานไปอย่างไม่รีบร้อน
“นายคิดจะตัดขาดกับฉันงั้นเหรอ!” เมาปาเอ้อชักเดือดขึ้นมาบ้าง
สวีหยางอี้พยักหน้าอย่างมั่นใจ
“ฝันไปเถอะ!” เมาปาเอ้อกลิ้งลงกับพื้น “ถ้าไม่ใช่เพราะตลอดสิบวันมานี้ฉันทุ่มเทคอยดูแลนายอยู่ข้างๆ นายจะฟื้นขึ้นมาเร็วขนาดนี้เหรอ นายรู้หรือเปล่าว่านายเจ็บหนักแค่ไหน ทะเลลมปราณนายเสียหาย กระดูกทั้งร่างนายหักไปสิบกว่าท่อน! พลังจิตนายสูญสิ้นจนแทบไม่เหลือหลอ! ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้แล้ว…”
สวีหยางอี้โบกมือตัดบทอีกฝ่าย “ช่วยเอาโน้ตบุ๊กมาหน่อย”
“ทำไมต้องช่วย!” เมาปาเอ้อโต้กลับแล้วมองเขาด้วยหางตา “กระเป๋าอยู่ใต้เตียงนายนั่นแหละ หยิบเอาเองสิ!”
หลังจากเงียบไปหลายวินาที สวีหยางอี้ก็ยิ้มพลางลูบหัวสุนัข “ทุ่มเทดูแลงั้นเหรอ หืม?”
เมาปาเอ้อจนคำพูดขึ้นมาทันที อ้ำอึ้งอยู่นานก่อนจะยื่นขาหน้าออกมาตะกุยพื้น “แค่พูดไปอย่างนั้นนายก็เชื่อด้วย…นายนี่มันไร้เดียงสาจริงๆ…”
จบประโยคในห้องก็มีเพียงความเงียบงัน ผ่านไปหลายนาที เมาปาเอ้อถึงได้เอ่ยถามขึ้น “ร่างกายนาย…ไม่ได้รู้สึกมีปัญหาตรงไหนใช่ไหม”
“ไม่มีปัญหา”
“งั้นก็ดี” เมาปาเอ้อดูจะโล่งใจ มันวางศีรษะเกยลงบนเตียง “เหลืออีกสี่วันก็จะประกาศผลคะแนนจบการศึกษา นายสั่งซื้อคอร์สเรียนของตาแก่อวิ๋นเฮ่องั้นเหรอ ไม่ใช่ว่าฉันว่านายหรอกนะ…คลิปเขาคลิปหนึ่งตั้งสามหมื่น คลิปของอะซากาว่า รัน[1]ยังไม่แพงขนาดนี้เลย! เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ฉันจะอยู่ช่วยนายจัดการธุรกิจกับทางตู้มหาสมบัติให้ ส่วนนายก็กลับไปที่สาขาย่อยก่อน”
“ไม่จำเป็นหรอก” สวีหยางอี้จุดบุหรี่มวนหนึ่ง “ฉันถูกพามาที่เทียนเต้าตั้งแต่แปดขวบ วันนี้ถือเป็นการออกมาเผชิญโลกภายนอกครั้งแรก ฉันก็อยากจะเห็นการค้าขายที่เขาเรียกกันว่า “ตลาดนักฝึกตน” “ที่ที่มีนักฝึกก็ย่อมมีตู้มหาสมบัติ” ว่ามันเป็นยังไงกันแน่ และฉันเองก็ยังมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องไปจัดการ”
“เรื่องเล็ก เรื่องเล็กอะไรถึงได้กลับไปรายงานตัวก่อนไม่ได้ นายอย่าลืมเวลาส่งคะแนนสอบจบเสียล่ะ สองเดือน ตอนนี้ก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว นายคิดจะให้ตำแหน่งหน้าที่การงานในอนาคตของนาย จดจำนายในฐานะเก่งแล้วหยิ่งยโสไม่เห็นหัวชาวบ้านจริงๆ หรือไง”
มือที่คีบบุหรี่อยู่ของสวีหยางอี้พลันหยุดชะงักไป ก่อนจะหันไปมองเมาปาเอ้อ ในขณะที่เดียวกันอีกฝ่ายก็รีบพลิกตัวขึ้น เหลือเพียงแต่หางที่ยังส่ายกระดิกไปมาอยู่
“นายยังจำได้ไหม ตอนฉันอายุสิบห้า ตอนที่ยังฝึกวิชาอยู่ในป่า ดูเหมือนจะเจ็บหนักยิ่งกว่าครั้งนี้เสียอีก หลังจากที่นายถามฉันว่าเป็นอะไรไหม นายก็ไม่ได้ถือโอกาสขโมยหินวิญญาณระดับล่างของฉันไปหรอกเหรอ”
เจ้าหมาทำสีหน้าเคลิบเคลิ้ม “นั่นคือหินวิญญาณที่ดีที่สุดที่ฉันเคยใช้มาในชีวิต…ขโมยของจากมือนายได้ แค่ครั้งเดียวก็พอให้ฉันโม้ไปทั้งชีวิตแล้ว”
ผ่านไปสามวินาที มันก็หยุดทำหน้าเคลิบเคลิ้มแล้วกวาดสายตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหยียดหยาม “นายมันไอ้คนเลวใจแคบ ผ่านมาหลายปีดีดักยังจำแม่นขนาดนี้ เพื่อนกันแท้ๆ จะเรียกว่าขโมยได้ยังไง”
สวีหยางอี้สูบบุหรี่เข้าไปอึกหนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ตอนอายุสิบแปด ฉันฝึกยิงกระสุนจริง เพื่อนนักเรียนฝ่ายตรงข้ามที่เรียนวิชาต่อสู้ด้วยกระสุนยิงเข้าที่หัวไหล่ฉัน กระดูกฉันแตกละเอียด นายช่วยเลียแผลให้ฉันสองทีก็รีบวิ่งแจ้นไปเดทกับหมาตัวเมียตัวอื่นแล้ว”
“ห้ะ?” เจ้าสหายฮัสกี้อดสะบัดหางใส่สวีหยางอี้ไม่ได้ มันชักเดือดหนักขึ้นมาแล้ว เรื่องนานนมพรรค์นี้ยังจะเอามาพูดเพื่ออะไรอีก เขาไม่กลัวเสียหน้า แต่ฉันกลัว!
“ปีก่อนนั้น ตอนฉัน…”
“พอได้หรือยัง!” เจ้าฮัสกี้หันมามองสวีหยางอี้อย่างเดือดดาล “ทำไม งานรำลึกความหลังเหรอ ไม่เบื่อบ้างหรือไง!”
สวีหยางอี้พ่นควันบุหรี่ขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย แล้วลูบขนเงาเป็นมันของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะเอ่ยพลางยิ้มเย็นๆ “ถ้าฉันบอกว่าใช่ล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเจอเรื่องคับขันมากจริงๆ ฉันไม่มีทางให้มันมากระทบแก่นการฝึกของฉันหรอก นายจะไม่ได้มีอารมณ์มาถามฉันแน่…ไม่ต้องมามองฉันแบบนั้น เราเป็นคู่หูร่วมฝึกกันมาเป็นสิบปี ฉันรู้ดีว่านายเป็นยังไง”
“สิ่งที่นายสนใจก็มีแต่เงิน เงิน แล้วก็เงิน ถ้าจะมีอย่างอื่นก็มีแต่เรื่องสำมะเลเทเมา หลายปีที่ผ่านมานี้…นี่เป็นครั้งแรกที่นายไล่ฉันไป ค่าสอนกับค่าหนังสือฉันสามหมื่นหยวนนายกลับไม่ถามสักคำ”
“พรึ่บ!” เจ้าไซบีเรียนฮัสกี้พลันดีดตัวขึ้นจากเตียง แล้วมองสวีหยางอี้อย่างตื่นตระหนก
มันรู้สึกได้ถึงไอสังหารที่ไม่อาจอธิบายได้
“เพราะฉะนั้น…” มือของสวีหยางอี้ลูบไล้ที่หูของอีกฝ่าย ทันใดนั้นก็พลันออกแรงดึงเจ้าสุนัขชั้นต่ำเข้ามาจนมันร้องเสียงแหลม เขาจ้องไปที่ดวงตาของอีกฝ่าย “ไหน บอกซิ ว่านายปิดบังอะไรฉันอยู่”
เขาหรี่ตาลงอย่างหวาดระแวง “เกิดเรื่อง…อะไรขึ้น”
“โฮ่งๆๆ!” เมาปาเอ้อเห่าคำรามสุดเสียง และดูจะออกแรงเห่าเสียงดังขึ้นทุกที มันฝืนยิ้มแห้งๆ แล้วเอ่ย “ไม่มีอะไร ไม่ใช่ว่าฉันเป็นห่วงนายหรือไงเล่า นายเป็นมนุษย์คนแรกที่ฉันรับรองเชียวนะ…ฉันจะไม่ห่วงนายได้เหรอ”
สวีหยางอี้ไม่ได้ตอบ เขาปล่อยมือลงราวไม่ใส่ใจนัก ทว่าสายตากลับแฝงแววคมกล้าระคนบีบคั้น แล้วเอ่ยขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ฉันเหรอ”
“เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายฉัน”
“ถึงต้องให้ฉันกลับไปแก้ที่เทียนเต้า”
“ไม่มีอะไรจริงๆ!” เมาปาเอ้อที่ในยามปกติแล้วชอบให้ลูบขนพลันสะดุ้งโหยงขึ้นมา รีบร้อนอ้อมไปยังอีกด้านหนึ่ง “ไอ้หน้าอ่อน นายพล่ามเพ้อเจ้ออะไรของนาย ฉันหวังดีกับนายทั้งนั้น! ฉันหวังดีกับนาย!”
“เมาปาเอ้อ” สวีหยางอี้ดับบุหรี่แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “ฉันยอมให้นายไม่เจียมตัวได้ ยอมให้นายกวนบาทาได้ แต่มีเรื่องเดียวที่ฉันทนไม่ได้ก็คือการหลอกลวง”
เงียบลงอีกครั้ง
ผ่านไปเนิ่นนาน เมาปาเอ้อถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างคับแค้นใจ “นายนี่มัน…นายรู้ไหมว่าฉันเกลียดคนที่หูตาว่องไวอย่างกับพวกสัตว์ที่สุด จวนจะไล่ตามฉันทันอยู่แล้ว!”
สวีหยางอี้เพียงยิ้มออกมา
“นายต้องเตรียมใจไว้บ้าง…” เมาปาเอ้อเลียริมฝีปาก “ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง…ฉันก็จะอยู่ข้างนาย…”
“ฉันรู้”
เมาปาเอ้อไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ สามวินาทีต่อมามันถึงได้อ้าปากขึ้นอีกครั้งแต่ก็ชะงักลง ผ่านไปอีกหลายวินาทีก็พลันสั่นกระดิ่งที่คอ “ดูเอาเองแล้วกัน!”
เอกสารข้อมูลเป็นตั้งลอยมาตั้งอยู่บนเตียงผู้ป่วย สวีหยางอี้มองเพียงชั่วแวบหนึ่งก็ถึงกับชะงักนิ่งไปทั้งร่าง
ในโลกของการฝึกตน มีเทคนิคหนึ่งที่เรียกว่า ตรวจดูภายใน
นี่คือวิชาเวทย์ที่นักฝึกตนทุกคนต้องทำได้ มันไม่อาจเรียกว่าเป็นวิชาเวทย์ได้ด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าเป็นเพียงทักษะเท่านั้น หากจะบอกว่าหนวดสัมผัสคือพลังจิต ตอนนี้หนวดสัมผัสนั้นก็ได้กลับเข้าไปในร่างของตนแล้ว นักฝึกตนทุกคนล้วน “เห็น” ทุกอณูรูขุมขนของตัวเองผ่านหนวดสัมผัสนั้น
เมาปาเอ้อไม่ใช่แค่เจ้าสุนัขไซบีเรียนฮัสกี้พูดได้เท่านั้น คู่หูทุกตัวจำต้องเป็นฝ่ายสนับสนุนที่ได้มาตรฐาน ทั้งการแพทย์ การเงิน ทำอย่างไรจึงจะพัฒนาและส่งเสริมคู่หูของตัวเองได้ ทำอย่างไรจึงจะเสาะหาโอกาสมาให้คู่หูของตัวเองได้ และยังอื่นๆ อีกมากมาย แทบไม่ต่างอะไรกับผู้จัดการส่วนตัวในวงการบันเทิงเลยแม้แต่น้อย
การตรวจดูภายในเป็นทักษะที่มันจำเป็นต้องมี สวีหยางอี้ได้เซ็นสัญญาร่วมเป็นร่วมตายกับมันแล้ว มันจึงสามารถมองเห็นภายในร่างกายของสวีหยางอี้ได้จากภายนอก
เอกสารเป็นตั้งพวกนี้เป็นรูปภาพที่ได้จากการตรวจดูภายในของเมาปาเอ้อ
“ซวบ…” สวีหยางอี้ไม่เอ่ยอะไรออกมา เพียงวางเอกสารเป็นตั้งพวกนั้นลงเบาๆ เขากำมือแน่น มันไม่มีอะไรแปลกไปเลยแม้แต่น้อย จากหน้าอกลงไปจนถึงจุดตันเถียน…แปลกอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือ…บริเวณทะเลลมปราณ ณ จุดตันเถียนของเขามีเงาดอกบัวดอกหนึ่งโบกพลิ้วไสวอยู่!
“ตกใจเหรอ” เสียงเมาปาเอ้อแว่วมา “ทะเลลมปราณ…เป็นแก่นหลักของนักฝึกตนทุกคน เป็นจุดศูนย์รวมพลัง เป็นเหมือนกับหัวใจดวงที่สองของนักฝึกตน…มันต้องไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น! นอกจากพลัง!”
“แต่วันที่นายสลบไป ฉันกลับเห็นของสิ่งนี้อยู่ที่ทะเลลมปราณของนาย ตอนนั้นมันกำลังจะบาน ฉันถึงได้ดูไม่ออกว่ามันคืออะไร รู้แค่ว่ามีของแปลกปลอมโผล่ขึ้นมาในทะเลลมปราณของนาย! ให้ตายเถอะ มีแค่ขั้นจินตันเท่านั้นถึงจะมีจินตันได้! มีแค่ขั้นหยวนอิงที่ตอนนี้ไม่มีทางพบเจอได้ถึงจะมีหยวนอิง! แต่นายไม่ใช่ทั้งจินตันและหยวนอิง แต่กลับมีดอกบัวเสียได้!”
“แต่เมื่อคืนนี้เอง ตอนที่อวัยวะทั้งหมดในร่างกายของนายฟื้นตัว ฉันกลับเห็นมันกำลังบาน นี่มันเป็นตัวบ้าอะไรกันแน่!”
สวีหยางอี้ลงกลอนประตูอย่างเยือกเย็น
ไม่ว่าผู้ฝึกตนคนไหน ไม่สิ…ต่อให้เป็นคนธรรมดา ถ้าอยู่ๆ มีของแปลกปลอมปรากฏขึ้นในร่างกาย คงไม่มีใครใจเย็นอยู่ได้
“พูดสิ่งที่นายคิดให้ละเอียดหน่อยซิ”
“ยังจำไอ้ตัวบ้าคลั่งนั่นได้ไหม” เมาปาเอ้อพิงศีรษะลงกับเตียงผู้ป่วย แล้วกัดฟันเอ่ย “พลังของมันขึ้นสุดลงสุด ผันผวนรุนแรงมาก…และจากภาพที่เราเห็นจริงๆ มันก็ออกจะประหลาดอยู่ โดยเฉพาะ…ตรงจุดสำคัญซึ่งก็คือแก่นปีศาจที่เริ่มเกิดการผันผวน สิบวันที่ผ่านมานี้ ฉันจัดการสแกนด้วยตัวเองมาแล้ว…”
“เดาซิว่าฉันเจออะไรมา” มันใช้อุ้งเท้ารื้อรูปภาพออกมา ก่อนจะค้นหาหนึ่งในภาพในนั้นออกมา “นายดูสิ!”
สวีหยางอี้ดูอย่างละเอียด ฝ่ามือของเขามีเหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด
บริเวณแก่นปีศาจของอีกฝ่ายมีรอยประทับรูปดอกบัวอยู่ชัดเจนเหมือนกับของเขาไม่มีผิด ราวกับมีมาตั้งแต่เกิดอย่างไรอย่างนั้น!
“ใครๆ ก็รู้ ทะเลลมปราณนักฝึกตนเท่ากับชีพจร” เมาปาเอ้อขุดค้นเอาฟิล์มเอ็กซ์เรย์เป็นตั้งขึ้นมา “แต่มันไม่เหมือนกัน…ทะเลลมปราณของมันขนาดมหึมา แต่ชีพจรกลับเล็กอย่างกับอะไร นี่ไม่ใช่เรื่องของวิทยาศาสตร์อะไรหรอก ทะเลลมปราณเปรียบเสมือนเครื่องปั๊มน้ำ ชีพจรก็เหมือนท่อลำเลียงน้ำที่เชื่อมต่อกับเครื่องปั๊มน้ำ ถ้าเครื่องปั๊มน้ำมีประสิทธิภาพสูง แต่ท่อลำเลียงน้ำเล็ก นายเดาซิว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“แรงดันมากเกินไป ท่อน้ำระเบิด?” สวีหยางอี้คิดไตร่ตรองอยู่หลายวินาทีถึงได้เอ่ยขึ้น
“เราพูดให้ชัดกว่านี้หน่อยก็คือ…ร่างจะระเบิดแล้วนายก็จะตาย!” เมาปาเอ้อพยักหน้า “นายลองคิดดู…นายบวมพองจนเจ็บปวดทั้งภายในและภายนอก… มันโจมตีกล้ามเนื้อนายทุกส่วน ทั้งเส้นเลือด เส้นประสาท…ทุกวันทุกคืน ทุกนาทีทุกวินาที…ไม่นานเลือดในเส้นเลือดก็จะแตกทะลักออกมาเพราะแรงโจมตี…ในทางการแพทย์เรียกว่าเลือดออกใต้ผิวหนังล่ะมั้ง อืม ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น…หลังจากนั้น ก็มีรอยสีม่วงแดงที่ใต้ผิวหนังนาย เลือดบางส่วนก็อาจจะพ่นทะลักออกมาจากรูขุมขนนายด้วย…”
“อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่ปีศาจใหญ่ๆ ยังทนความเจ็บปวดขนาดนี้ไม่ได้ มันถึงได้เจ็บจนคลั่งขึ้นมา มันใช้ชีวิตอย่างเจ็บปวดทรมานจนคลั่งถึงได้กล้ามาโจมตีนาย เพราะงั้นมันถึงได้กลายเป็นพวกบ้าบิ่นไป”
ในห้องเงียบกริบลงในทันที
สวีหยางอี้ยกถ้วยชาขึ้นหากไม่เอ่ยคำใด หนึ่งนาทีผ่านไปถึงได้ถามเมาปาเอ้อขึ้นเบาๆ “ฉัน?”
“ตั้งแต่นายสลบไป ทะเลลมปราณนายก็ขยายใหญ่ขึ้น 0.05% แล้ว!” เมาปาเอ้อจ้องเขาตาเขม็ง “มันจะช้ามาก ช้ามากๆ แต่นายต้องตายก่อนถึงขั้นจู้จีแน่! ร้อยปีสำหรับขั้นจู้จี นายลองคิดดูแล้วกัน อย่าว่าแต่ร้อยปีเลย ทะเลลมปราณนายขยายถึงหนึ่งในสามเท่าเมื่อไร นายก็อย่าหวังจะได้ใช้พลังลมปราณอย่างมั่นคงอีกเลย!”
มันกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมาอยู่กับพื้นสองรอบ “ฉันกล้าพนันว่ามันจะต้องเกี่ยวกับลำแสงสีแดงนั่นร้อยเปอร์เซ็นต์! มันก็เหมือนกับปูเสฉวนนั่นแหละ เมื่อก่อนอาศัยอยู่ในร่างอื่น แต่พออีกฝ่ายทนรับการทำลายล้างไม่ไหว มันก็จะรีบหาสิ่งมีชีวิตอื่นใกล้เคียงทันที! โชคร้ายจริงๆ ที่มันเป็นนาย… นี่มันเรื่องเวรอะไรวะเนี่ย!”
“หลายวันมานี้ ฉันหาข้อมูลทั้งหมดมาแล้ว ไม่มีบันทึกไหนเกี่ยวกับมันสักอัน! กระทั่งเหมือนก็ไม่มี!”
——————————————————————————–
[1] อะซากาว่า รัน คือ นักแสดง AV หญิงชาวญี่ปุ่น