ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 17 ผู้จัดการซู (1)
เรื่องสาขาย่อย สวีหยางอี้เองก็ไม่รู้แน่ชัด หรือจะพูดอีกอย่างก็คือต่อให้รู้แน่ชัดเขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เทียนเต้าจัดการด้วยระบบกองทัพ นอกจากศึกษาลักษณะนิสัยอันเกิดจากปัจจัยภายนอกของปีศาจ การแพร่กระจาย ชนิด โครงสร้างทางสังคม และการฝึกบำเพ็ญตนแล้วก็ไม่ได้สอนรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ อีก
โลกใบนี้ซับซ้อนมากกว่าที่คนธรรมดาเห็นมากนัก หากเข้าใจเรื่องพวกนี้แต่ยังใสซื่อบริสุทธิ์อยู่ได้ โลกแห่งการฝึกตนก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว กฎแห่งป่า[1]ก็มีง่ายๆ แค่นี้เอง
พูดได้ว่าสวีหยางอี้ไม่รู้ชัดเลยว่าไอ้ปีศาจบ้าคลั่งนั่นมีนัยยะแฝงกับผู้เข้าสอบแต่ละรุ่นอย่างไร และไม่รู้ด้วยว่าหลังจากที่เขาฆ่ามันตายไปแล้วจะดึงดูดความสนใจจากทางสาขาย่อยได้มากแค่ไหน
เขารู้แต่เพียงว่าตอนนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกที่ร้ายแรงเอามากๆ
ไม่รู้ว่าเธอใช้วิธีอะไร กระดุมที่หน้าอกเขาถึงได้ดีดออกดัง
สวีหยางอี้มองเธอแหวกคอเสื้อหยิบนามบัตรออกมานิ่งๆ แล้วถอนหายใจ
เธอเอ่ยยิ้มมีเสน่ห์แพรวพราว
น้ำเสียงของเธอไม่ได้ใสพริ้ง ทว่าเจือความแหบพร่าคล้ายกำลังเกียจคร้านอยู่ในที หากจะบอกว่าหญิงสาวไว้แรกรุ่นคือระฆังเงิน ถ้าอย่างนั้นเธอก็คือตะเกียงบนโต๊ะดินเนอร์ใต้แสงเทียนดีๆ นี่เอง ทั้งคลาสสิกและสูงส่ง และภายในความหรูหรานั้นยังเผยให้เห็นเสน่ห์ชวนลุ่มหลงอยู่ด้วย
ริมฝีปากแดงเรื่อที่เอื้อนเอ่ยคำพูดชวนให้คนคิดไปไกลไม่หยุดหย่อนนั้น ทั้งแดงนุ่มชุ่มชื่น และแสนจะเย้ายวน ตรงจุดที่เธอใช้มือลูบไล้ผ่านนั้นยังรู้สึกได้ถึงความนุ่มชุ่มและเรียบลื่นอยู่ไม่หาย
ตอนนี้ตรงกับช่วงกลางฤดูร้อน ร่างขาวละเอียดสวมเสื้อเอวลอยแขนสั้นรัดรูปแนบกับเรือนร่างแสนเย้ายวน ทำเอาคนไม่อยากคิดต่อว่าเธอปกปิดส่วนใดไว้ แต่อยากจะลอกเปลือกเธอออก แล้วใช้นิ้วมือร้อนผ่าวสัมผัสผิวนุ่มลื่นภายใต้เสื้อตัวนั้นเสียเดี๋ยวนี้
กระโปรงแสนสั้นส่งให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งจากสะโพกผายอวบอิ่มจนเป็นรูปตัว S ได้อย่างชัดเจน ส่วนท่อนล่างต้นขาขาวละเอียดดุจหิมะคู่นั้นเรียวยาวและเหยียดตรง ยืนอยู่บนรองเท้าส้นสูงสีไวน์แดงยี่ห้อดิออร์ มันส่งเสียงกระทบกับพื้นดัง
เธอคือหญิงสาวที่เป็นผู้ใหญ่ ชุ่มฉ่ำดุจลูกท้อน้ำผึ้ง ราวว่าแค่กัดเปลือกเบาๆ เพียงน้อยนิดก็มีจะมีน้ำไหลทะลักออกมาเสียให้ได้ ทั้งการแต่งหน้าที่ประณีตรับกันอย่างพอเหมาะ ริมฝีปากแดงระเรื่อ และแววตาลึกล้ำ ทั้งหมดนี้ฟ้องความจริงอยู่อย่างหนึ่ง
เธอเป็นสาวสวย…สวยชนิดที่ชวนให้คนหวั่นไหวเอามากๆ ทีเดียว
สาวสวยแหวกผ้าพันแผลที่ไหล่ออก เผยให้เห็นรอยสักสีแดงชาดคล้ายรูปดอกกุหลาบจางๆ บนหัวไหล่ สายตาเธอลากผ่านกล้ามเนื้ออกและกล้ามเนื้อหน้าท้องของเขา ก่อนจะใช้มือเรียบลื่นดุจหยกห่มผ้าให้เขา ริมฝีปากแดงเรื่อทรงเสน่ห์นั้นกระซิบที่ข้างหูเขาเบาๆ
เธอหยัดกายลุกขึ้น เรือนผมหนาสลวยปล่อยระลงมา หญิงสาวเหลือบไปมองเจ้าสุนัขฮัสกี้ที่ยังตะลึงลานแวบหนึ่งแล้วยิ้มบางๆ
สวีหยางอี้มองนามบัตรแผ่นนั้นตาเคลิ้มแล้วใช้มันพัดไปมา
เจ้าฮัสกี้ยกเท้าขึ้นปิดปากอย่างไม่อยากจะเชื่อ นัยน์ตาสุนัขของมันมีน้ำตาคลอเบ้า
สวีหยางอี้หัวเราะเย็นๆ หากไม่ได้สนใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
เขาไม่ใช่พวกถือศีลกินเจสักหน่อย และยิ่งไม่มีทางปฏิเสธการนัดพบกับผู้หญิงสวยๆ แน่ แต่กับคืนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น
เพราะด้านหลังขอนามบัตรมีสัญลักษณ์ของเทียนเต้าอยู่
มังกรขดตัวเป็นวงกลม ตรงกลางเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง เขาคุ้นเคยกับมันดีจนไม่รู้จะคุ้นอย่างไรแล้ว
ตอนหัวค่ำ เขาแต่งตัวตามสบายอย่างที่สุดแล้วมาถึงที่นัดหมายตามนัด เสื้อยืดกางเกงยีนส์ธรรมดาๆ รองเท้าผ้าใบ หมวกแก๊ป และใส่แว่นตาดำเพิ่มเข้าไป แต่เมื่อมาถึงแล้วถึงได้พบว่าที่นี่เป็นย่านที่คนรวยอยู่อาศัยกันย่านหนึ่ง
ทั้งร่มรื่นและปลอดภัย ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบทีเดียว แต่ที่นี่ยังดูไม่ใช่ย่านของคนรวยที่สุดในเมืองซานสุ่ย ด้านในไม่ใช่ตัวอาคาร แต่เป็นคฤหาสน์ย่อยเล็กๆ แม้แต่รถที่จอดอยู่ด้านข้างก็ยังราคาอย่างต่ำเหยียบหกถึงเจ็ดแสนหยวน
และแน่นอนว่าไม่ได้มีคฤหาสน์หลายหลังนัก อย่างมากก็ราวสิบหลังเท่านั้น
มีคนกำลังมองเขาอยู่…
ทันทีที่เข้ามาเขาก็พบสายตาลึกลับสายหนึ่ง มันไม่ได้มีไอสังหาร หากแฝงไปด้วยความหวาดกลัวอย่างประหลาด ความกระวนกระวาย และอารมณ์ด้านลบสารพัด ซึ่งทั้งหมดนั้นถูกเขาจับสังเกตได้ภายในชั่วพริบตา
หลังจากมีกล่องในทะเลลมปราณของเขา ทะเลลมปราณเขาก็ขยายใหญ่ขึ้น และในชั่วระยะนี้ก็ยังคงไร้ทางแก้ไข แต่ข้อดีที่ตามมาในทันทีก็คือตอนนี้ประสาทเขาไวต่อโลกภายนอกมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก
เขาเหลือบตาขึ้นไปมองตามสัญชาตญาณ ทว่าในชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเองเขาก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายตื่นตระหนกราวกับนกกลัวถูกยิงถึงได้รีบหลบสายตาไป อีกทั้งทุกคนที่เขาเห็นก็พลันหัวใจเต้นแรงขึ้นและอุณหภูมิในร่างกายก็พลันสูงขึ้นชั่วขณะ
นี่…กำลังกลัวเขาอยู่งั้นหรือ
ทำไมต้องกลัว
ผู้จัดการซูคงไม่กลัวเขาแน่ และในสายตาคนอื่นๆ เขาก็เป็นคนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งที่ดูไม่เหมาะกับเมืองเล็กๆ แบบนี้เอาเสียเลย
อีกฝ่ายกลัวเขา…หรือกลัว…คนที่เหมือนกับเขา
ที่นั่นคือคฤหาสน์สีขาวหลังหนึ่งในเมืองซานสุ่ย ไม่มีคฤหาสน์สูงใหญ่หลังไหนมีสระว่ายน้ำและสนามเทนนิสเป็นของตัวเอง แต่ท่ามกลางคฤหาสน์สไตล์ตะวันตกทั้งหลายนั้น เพียงมองก็ดูออกว่าคฤหาสน์หลังนี้อบอวลด้วยสไตล์หวาซย่าอย่างเป็นเอกลักษณ์
ร่างทั้งร่างของเขาสั่นเทิ้มเล็กน้อย เหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นมาเต็มมือไปหมด ทว่าผู้จัดการซูที่อยู่ข้างๆ ไม่เงยหน้าขึ้นมาแม้แต่น้อย เอาแต่พลิกนิตยสารแฟชั่นอ่านด้วยความเบื่อหน่าย
ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี หรือจะพูดอีกอย่างก็คือเขาทนพูดต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะคุณปู่ของเขาผู้ไม่เคยขึ้นเสียงใส่เขาเลยสักครั้ง ทั้งยังตามอกตามใจเขาทุกอย่างผู้นี้ กำลังใช้สายตาที่แทบจะเสียบทะลุตัวคนได้จ้องเขาตาเขม็งอยู่
คนหนุ่มยืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง เขายังพูดไม่ทันจบก็หอบหายใจด้วยความเดือดดาลอยู่หลายครั้ง ก่อนจะแปะปากแล้วกล้ำกลืนโทสะพลางหัวเราะเย็นๆ แต่ไม่ยอมนั่งลง หากก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาด้วยเช่นกัน
ผู้อยู่ในวัยชรากลืนน้ำลายอย่างขมขื่น แม้แต่มือที่ถือถ้วยกาแฟก็ยังสั่นอยู่ไม่น้อย
เขาลืมตาอันพร่ามัวขึ้นแล้วถอนหายใจยาวเหยียด
เฉาโม่เซิงมองปู่ของเขาอย่างงุนงงราวกับไม่รู้จักอีกฝ่ายมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
เขาพลันรู้สึกคอแห้งขึ้นมา เขาเดินไปหน้าหน้าต่างแล้วเลิกม่านมู่ลี่ขึ้นมองสวีหยางอี้ที่กำลังเดินมาอย่างเอ้อระเหย และเพราะความเดือดดาลสุดขีดนั้นเอง น้ำเสียงเขาจึงสั่นเครือไม่น้อย
เฉาโม่เซิงมองปู่ของตัวเองพลางขบริมฝีปาก หากเขากลับต้องพบว่าปู่ของตนถึงกับพยักหน้าลงอย่างขมขื่นด้วย
——————————————————————————–
[1] กฎแห่งป่า (Law of the jungle) ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นจึงจะเป็นผู้ชนะ
[2] ดอกท้อ เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความรัก และความสัมพันธ์เชิงชู้สาวของจีน