ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 18 ผู้จัดการซู (2)
“หุบปาก!” ยังไม่ทันสิ้นเสียงเฉาอวิ๋นก็กระชากเขามากดลงกับโซฟาสุดแรง แล้วมองตาเขาพร้อมกับเน้นย้ำอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ฉันจะบอกแกให้ บนโลกนี้คนบางคนจะเอามาเทียบกับเงินไม่ได้ ใช่…คนพวกนี้น่ะ มีคู่แข่งสมน้ำสมเนื้อกับพวกเขาอยู่จริงๆ มีกิจการยักษ์ใหญ่ที่ทำให้พวกเขาต้องหน้าถอดสี อย่างราชวงศ์ฉินของหวาซย่า อย่างตระกูลดูปองท์[1]ของอังกฤษ อย่างพวกกลุ่มนายทุนในกลุ่มประเทศสัมพันธมิตร…แต่ไม่มีหน้าไหนดีไปกว่าตระกูลเฉาแห่งเมืองซานสุ่ยของเราได้!”
“ถึงคิวแกออกความเห็นตั้งแต่เมื่อไร ถึงพวกนั้นจะยิ่งใหญ่ระดับโลก ก็ยังใช้เงินกับคอนเนคชั่นยักษ์ใหญ่ไปแลกเปลี่ยนกับมันได้ ตระกูลเฉาแห่งเมืองซานสุ่ยของพวกเราเทียบกับพวกสุดยอดพวกนั้นแล้ว ยังใหญ่ไม่เท่ามดเลยด้วยซ้ำ!”
“ฉันพาแกมาก็เพื่อให้ฝ่ายนั้นรู้ถึงความจริงใจของฉัน! ไม่ใช่ให้แกไปทำให้เขาโกรธ! ฉันบอกแกตั้งกี่ครั้งแล้ว!”
ราวกับว่าเขาใช้พลังงานในการพูดเรื่องนี้ไปจนหมดสิ้น เขาทิ้งตัวนั่งลงหลับตาลงพิงโซฟาอย่างหมดแรง “โม่เซิง…แกควรรู้ความได้แล้ว… เพราะมันต้องมีสักวันที่ปู่ทนไม่ไหว ฉันล่ะเสียใจ…เสียใจจริงๆ…ฉันตามใจแกจนเสียเด็กแท้ๆ… คืนนี้แกว่าง่ายๆ ยืนคุยกับคนอื่นเขาดีๆ… รับปากปู่ ได้ไหม”
เฉาโม่เซิงตกตะลึง เขานึกว่าตัวเองฟังผิดเสียอีก
ก่อนหน้านี้คุณปู่บอกเขาว่าวันนี้จะต้องมาพบคนๆ หนึ่ง ปู่ของเขาในฐานะที่เป็นผู้นำตระกูลรุ่นปัจจุบันและเป็นประธาน กับโม่เซิงผู้นำตระกูลและประธานคนต่อไป จะต้องปฏิบัติตัวกับอีกฝ่ายอย่างดี เดิมทีเขาก็คิดว่าจะต้องมาเจอใครที่ไหน สุดท้ายก็เป็นหัวหน้าหน่วยสืบสวนคนใหม่!”
เฉาอวิ๋นถึงขนาดพูดเรื่องประธานกิจการในสมัยราชวงศ์ฉินในวัยสามสิบสี่สิบผู้แข็งแกร่งขึ้นมาในตอนนี้ เขาคนนั้นก็ปฏิบัติกับคนแบบนี้อย่างเท่าเทียมงั้นหรือ
คนที่แต่งตัวตามใจขนาดนี้…ทั้งตัวรวมกันไม่ถึงห้าร้อยด้วยซ้ำ
“รับปากฉัน!” ความคิดของเขายังไม่ทันได้จบลง เสียงของปู่เขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง เฉาโม่เซิงขบกรามอยู่หลายครั้งถึงได้ก้มหัวลง เม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เข้าใจแล้ว”
เฉาอวิ๋นถึงค่อยโล่งอกจริงๆ แต่จากนั้นก็มองผู้จัดการซูอย่างไม่สบายใจ เขาเม้มริมฝีปากแล้วค่อยเอ่ยขึ้น “คุณซู…ครั้งนี้…สาขาย่อยของพวกเขาคงไม่รู้หรอกมั้ง…”
ผู้จัดการซูตกตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ “สาขาย่อยเหรอ…”
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันคือที่ไหน…ตามตำนานเล่าลือกันว่ามันคือโลกวิเศษ…เป็นแดนเซียนที่แท้จริง…เราเห็นพวกพวกปีศาจกับพวกนักรบระเบิดภูเขาได้แค่ในตำนานเท่านั้นแหละ…ฮึๆ แต่มันแค่ตำนานเท่านั้นแหละค่ะ…คุณปู่อวิ๋นคะ เรื่องพวกนี้มันเชื่อไม่ได้หรอก แต่มีเรื่องที่ฉันกล้ายืนยันได้อยู่สองเรื่อง”
เธอมองเฉาอวิ๋นด้วยสายตาลึกล้ำ “เรื่องแรกคือที่นั่นเป็นกุญแจที่จะไขเข้าไปสู่ ‘ความจริง’ เป็นอิฐก้อนแรก เป็นจุดเริ่มต้น”
“ความจริงงั้นเหรอ…” ในน้ำเสียงแหบแห้งของเฉาอวิ๋นแฝงแววปลงตกอย่างที่สุด เขาหัวเราะเฝื่อนๆ “ความจริงอะไรกัน…สิ่งที่เรียกว่า “โลก” ที่ “จริงแท้” งั้นเหรอ”
“ก็เป็นได้ค่ะ” ในแววตาของผู้จัดการซูเต็มไปด้วยแววเคลิ้มฝัน “มันคือกุญแจ…เรื่องที่ฉันกล้ายืนยันเรื่องที่สองก็คือ ตระกูลเฉายังไม่มีคุณสมบัติพอจะได้รับความสำคัญจากกุญแจดอกนี้ค่ะ”
เฉาอวิ๋นเงียบไปครู่ใหญ่แล้วค่อยคลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น…ผมก็วางใจแล้ว”
“ชิ…” เฉาโม่เซิงแค่นเสียงหัวเราะเย็นออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะกวาดสายตาเย็นเยียบมองผู้จัดการซู
ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
และแล้วเขาก็ต้องพบกับเรื่องที่ทำให้ตกตะลึงอีกครั้ง
ผู้จัดการซูรีบยืนขึ้นจัดการหน้าตาผมเผ้าของตัวเองอีกครั้งทันที ขณะที่เฉาอวิ๋นนั้นก็สูดลมหายใจเขาเสียหลายครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยความมั่นใจ เพียงแต่…
ไม่รู้ว่าเป็นภาพหลอนหรือเปล่า แต่เขามักจะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าของคุณปู่กำลัง…สั่น
ทำไม!
มีสิทธิ์อะไร!
ตื่นเต้น?
กลัว ? !
มันแม่Xล้อฉันเล่นหรือไง!
สีหน้าของเฉาโม่เซิงเขียวคล้ำถึงขีดสุด
ก็แค่หัวหน้าหน่วยธรรมดาๆ คนหนึ่ง…ฉันก็อยากจะเห็นนัก…ว่าแกจะมีคนหนุนหลังใหญ่ขนาดไหนกัน ถึงทำให้คนอย่างปู่ฉันก้มหัวให้แกได้!
ทางที่ดีฉันภาวนาให้แกมีก็แล้วกัน…ไม่อย่างนั้น พรุ่งนี้ต้องเป็นวันที่แกได้ไสหัวออกไปจะเมืองซานสุ่ยแน่!
“หวังว่าผมจะไม่ได้มาสายนะ” สวีหยางอี้เข้ามาในห้อง ผู้จัดการซูไม่ได้เตือนเขาเรื่องเปลี่ยนรองเท้าเลยสักนิด ความหมายมันชัดเจนมากอยู่แล้ว ก็คือ “โปรดทำตัวตามสบาย”
ทว่าสวีหยางอี้ยังคงเปลี่ยนใส่รองเท้าแตะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เขากวาดสายตามองเล็กน้อยแล้วคลี่ยิ้ม “คุณไม่ได้บอกผมว่าคืนนี้มีแขกคนอื่นด้วย”
“ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ!” ท่ามกลางสายตื่นตะลึงของเฉาโม่เซิง เฉาอวิ๋นโค้งกายแทบสุดตัว “ข้าน้อยเฉาอวิ๋น และนี่คือหลานของข้าน้อยเฉาโม่เซิง พวกเราไม่มีหน้ามาพบท่านเซียนจริงๆ ครับ…ขอได้โปรดอภัยด้วย”
“คุณปู่”
“หุบปาก!” สิ้นเสียงเฉาอวิ๋นก็เหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้า เขาลุกพรวดขึ้นมามองหลานชายอย่างขัดใจ “จำคำฉันไว้ให้ดี!”
เฉาโม่เซิงตะลึงพรืด เขาคิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าปู่ของตัวเองจะถึงขนาดสั่งสอนเขาต่อหน้าคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแบบนี้!
ชาวหวาซย่าจะเสียหน้าไม่ได้ ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่กว่านี้ก็กลับไปค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้มันอะไรกัน
“ไอ้ลูกอีตัว…” เขาสบถอยู่ในใจ ดวงตาปรากฏแววหนาวเหน็บ ก่อนจะเหลือบไปมองสวีหยางอี้ด้วยสายตาเย็นชา แล้วทำท่าเสแสร้งไปอยู่อีกข้างหนึ่งอย่างเคารพนบนอบ
“ฮะๆ…” ผู้จัดการซูถือกากาแฟเดินออกมาพลางหัวเราะเบาๆ เธอมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของเฉาโม่เซิงที่เก็บสีหน้าไม่อยู่ด้วยแววตาลึกล้ำแล้ววางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ “คุณปู่เฉา พวกเราก็นับว่าสนิทสนมกันนะคะ แต่วันนี้ฉันคงช่วยพูดแทนคุณไม่ไหวแล้ว”
“ไม่จำเป็น” เฉาโม่เซิงกล้ำกลืนโทสะ
“แก…” เฉาอวิ๋นแทบจะกระอักเลือดออกมา เด็กคนนี้ถูกตามใจจนนิสัยเสียตั้งแต่เด็ก แต่ก็เป็นทายาทเพียงคนเดียวในสามรุ่นของตระกูลเฉา พ่อเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ทรัพย์ศฤงคารมหาศาลทั้งหมดก็คงได้แต่มอบให้เขานั่นแหละ!
ในตอนปกติก็แล้วไปเถอะ…แต่ในเวลาสำคัญอย่างนี้….เขากล้าทำแบบนี้ออกมาได้ยังไง!
“ช่างเถอะ” สวีหยางอี้จุดบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นสูบ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จะให้คุณชายมีค่าตัวนับร้อยล้านคนหนึ่งมามีมารยาทกับคนจนที่มีเบี้ยเลี้ยงสวัสดิการเดือนละพันก็ออกจะยากอยู่”
เฉาโม่เซิงหัวเราะออกมา
หนึ่งพัน…ทั้งยังต้องพึ่งสวัสดิการด้วยงั้นหรือ
“ทางที่ดีฉันภาวนาให้แกมีอะไรที่มีค่าพอให้ปู่ฉันเห็นความสำคัญนะ…” เขาก้มหน้าลงพร้อมกับเผยรอยยิ้มกระหายเลือด ก่อนจะเลียริมฝีปากแห้งผาก แล้วลอบเอ่ยขึ้นในใจ “ไม่อย่างนั้น…ฉันไม่ถือหรอกนะที่จะทำให้แกรู้ว่าใครใหญ่ที่สุดในเมืองซานสุ่ย…”
สวีหยางอี้ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“คุณสวีเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง” เฉาอวิ๋นถึงได้โล่งอกไปในตอนนั้นเอง เขากัดฟันเอ่ย “เขาหนีไปแล้ว…”
ในตอนนั้นสวีหยางอี้ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร
ในเมืองซานสุ่ยนี้ ธุรกิจที่เป็นเสาหลักมีอยู่ไม่กี่เจ้า เรียกได้ว่ามีแค่ เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งประจำเมืองซานสุ่ย ผู้เสียภาษีรายใหญ่ เภสัชพาณิชย์ยักษ์ใหญ่ และตระกูลซานสุ่ยก็เป็นหนึ่งในนั้น
หากก่อนหน้านี้ยังเดาไม่ออกว่าเฉาอวิ๋นกับเฉาโม่เซิงเป็นใคร หรือจะบอกว่าไม่เคยข้องแวะกับเภสัชพาณิชย์ยักษ์ใหญ่มาก่อน คำพูดที่ว่า “เขาหนีไปแล้ว” ประโยคนี้ก็พอจะอธิบายทุกอย่างได้หมดแล้ว
กบตัวนั้นพอรู้ว่าสวีหยางอี้ยังไม่ตาย ทั้งยังฆ่าปีศาจบ้าคลั่งที่ทั้งเมืองซานสุ่ยไม่มีใครกล้าลงมือตายอีก มันจะยังกล้าอยู่ที่เมืองซานสุ่ยต่อไปได้อย่างไรกัน
เพราะเรื่องแรกที่สวีหยางอี้จะทำหลังจากฟื้นขึ้นมาก็คือถลกหนังมันทิ้งซะ!
เขาทนการหลอกลวงไม่ได้ โดยเฉพาะครั้งนี้ที่มีชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน
แต่ตระกูลเฉา… กล่าวโดยสัตย์จริง หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเรียกเขามาหาถึงที่โดยเฉพาะ เขาก็คงลืมชื่อนี้ไปแล้ว
“หนีไปนานแค่ไหนแล้ว” เขาถามไปเรื่อยเปื่อย มันเป็นเรื่องที่เขาคิดเอาไว้อยู่แล้ว ตนนอนสลบไปสิบกว่าวัน จะให้มันรอคนตายฟื้นหรือไง
“สิบกว่าวัน…” เฉาอวิ๋นเช็ดเหงื่อ เขาอยากนั่งแต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะนั่ง “หลังจากที่อธิบดีเจิ้งประกาศว่าจับฆาตกรได้แล้ว…เขาก็ถ่อไปถามอาการคุณโดยเฉพาะ…อธิบดีเจิ้งไม่ได้รู้ความจริงเรื่องเขาด้วย…หลังจากนั้น เขาก็…”
“ยักยอกเงินแล้วก็หนีไป” ผู้จัดการซูช่วยรินกาแฟให้สวีหยางอี้แก้วหนึ่ง แล้วเอ่ยพลางยิ้มบางๆ “ห้าล้าน ภายในหนึ่งสัปดาห์แต่เขาสามารถโยกย้ายเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้น ต่อให้เขาจะไร้ประโยชน์ยิ่งกว่านี้ แต่คุณก็รู้ว่าฝีมืออย่างเขา ถ้าคิดจะทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยในเมืองซานสุ่ยไม่ระแคะระคายก็ทำได้สบายๆ อยู่แล้ว”
โซฟานี่นั่งสบายเหลือเกิน…สบายกว่า “โซฟา” ที่แข็งอย่างไม้กระดานบนเตียงที่เทียนเต้ามากนัก สวีหยางอี้เกียจคร้านจนแทบไม่อยากขยับตัว จึงยกมือขึ้นใช้วิชาเคลื่อนย้ายสิ่งของง่ายๆ ถ้วยกาแฟพลันค่อยๆ ลอยขึ้นมาที่ริมฝีปากเขา เขาค่อยๆ จิบกาแฟ ทว่าเขายังไม่ทันได้อ้าปาก ก็พลันเกิดเสียงดังเสียดแก้วหูของทุกคนขึ้นมา
“ลอยๆๆๆ ลอยขึ้นมาแล้ว!” ในตอนนั้นเองเฉาโม่เซิงก็ดวงตาเบิกโพลง ปากอ้าค้าง มองภาพเบื้องหน้าอย่างตกตะลึงสุดขีด
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย!
นี่อยู่ๆ เขาก็ย้อนเวลากลับมายุคบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนในนิยายใช่ไหม!
ไม่…มันเป็นความฝัน ต้องเป็นฝันแน่ๆ!
เขากำหมัดแน่น แต่ก็กลับต้องพบว่าเล็บแทงฝ่ามือจนเจ็บ จึงรีบหันหลังมามองเฉาอวิ๋นที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ปีศาจ ปีศาจ ปีศาจ! ปู่ คุณปู่ครับ! ปีศาจ! เขาเป็นปีศาจ! ปีศาจ!”
สวีหยางอี้มองถ้วยกาแฟที่ลอยอยู่ตรงมุมปากของตัวเองด้วยสายตางุนงง ขณะที่ผู้จัดการซูที่อยู่ข้างๆ เขาเองก็อดส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมาไม่ได้
“ปีศาจเหรอ…” เธออาจอย่างมีเลศนัย “ปีศาจจริงๆ น่ะ…เธอยังไม่เคยเห็นสักหน่อยน้องชาย…”
“หุบปาก!” ตอนนี้ในใจของเฉาอวิ๋นสับสนอย่างที่สุด
พอได้พบกับเจ้ากบนั่นเขาก็เกิดเห็นแก่ตัวขึ้นมา เขาไม่ใช่คนดีอะไร อีกฝ่ายกุมสูตรยาอาหารเสริมวิเศษไว้ในมือ เขาเคยหาหน่วยงานใต้ดินหลายเจ้าไป “กำจัดอีกฝ่ายทิ้ง” แต่สุดท้ายสิ่งที่เห็นก็คือเด็กหนุ่มนั่งยิ้มเลือดเต็มปากให้เขาอยู่บนกองซากศพ
เขาทนมองอีกฝ่ายหลายปีผ่านไปไม่โตขึ้นเลยสักนิด แต่กลับไม่อาจทำอะไรได้! หรือต่อให้เขาคิดจะทำ ธุรกิจปรุงยาอันใหญ่โตของเขาก็ไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายจากไปได้!
ในตอนนั้นเอง ตอนที่อีกฝ่ายเข้าปีที่สามแล้วก็ยังไม่เติบโตขึ้น เขาก็รู้ว่า…ตัวเองได้เจอกับสิ่งสุดยอดเข้าแล้ว…
ตอนนี้ผู้จัดการซูหาเขาเจอแล้ว เขาถึงได้รู้ว่ามีบางอย่างที่เขาไม่อาจแตะต้อง…แต่ตอนนี้ตนก็ได้แตะต้องไปแล้วจะให้ทำยังไง! อีกฝ่ายเป็นเหมือนฝิ่นดอกหนึ่ง! ไม่อาจสลัดได้หลุด! และเขาเองก็ไม่อยากหลุดพ้นด้วย!
ปิด…ปิดได้ก็ปิดต่อไป! เทียนเต้าก็ใช่ว่าจะไม่เคยส่งคนมา สถานการณ์แบบนี้ใช่ว่าจะไม่เคยมี พวกเขาก็ขี้เกียจจะมาสนใจเหมือนกัน แต่…ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน!
ได้ยินผู้จัดการซูบอกว่าคนที่มาครั้งนี้เป็นอันดับหนึ่งของเมืองอวี๋หยาง! มิหนำซ้ำเจ้ากบนั่นยังเคยเจอกับเขา และเกือบต้องตายมาแล้ว!
ตอนที่เจ้ากบนั่นหายไป เขาก็รู้ว่าความซวยได้มาเยือนกิจการปรุงยายักษ์ใหญ่ของเขาเสียแล้ว
เขาจึงไม่อาจทนรอให้อีกฝ่ายมาหาเองได้ จึงติดสินบนทั้งโรงพยาบาลเอาไว้ พอสวีหยางอี้ฟื้นขึ้นมาเมื่อไรก็จ้างผู้จัดการซูสองล้านให้ช่วยนำคำพูดเขาไปบอกที เพียงเพื่อคำพูดประโยคนี้ประโยคเดียวเท่านั้น
เรื่องทั้งหมดนี้เฉาโม่เซิงไม่เคยรู้มาก่อน เขาเอาแต่มองสวีหยางอี้ผู้มีท่าทางเรียบเรื่อยสบายๆ อย่างกับเห็นผี แม้แต่ริมฝีปากก็ยังสั่นระริก เหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้าไปหมด
จากนั้นก็มองไปทางปู่ของตัวเองที่เงียบกริบไม่พูดไม่จา กับผู้จัดการที่เห็นเรื่องพวกนี้จนชินอีกครั้ง ผ่านไปหลายนาทีถึงได้ใช้นิ้วชี้กวาดไปทั่วห้องรับแขก น้ำเสียงฝืดเคืองราวกับขัดสนิม “คุณ พวกคุณรู้กันหมด…ใช่ไหม…”
“ปู่ครับ…คุณ…คุณซู คุณบอกผม…บอกผมที ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม!”
“คุณไม่ได้ฝัน” ผู้จัดการซูจิบกาแฟอึกหนึ่ง “คุณปู่คุณเตือนคุณมาตั้งหลายครั้งแล้ว ฉันเองก็เคยเตือนคุณแล้ว มีบางอย่างที่แม้แต่กิจการของตระกูลเฉาก็ยังไม่อาจแตะต้องจุดที่ต่ำที่สุดของมันได้”
ริมฝีปากที่แห้งผากของเฉาโม่เซิงเผยออ้าขึ้นหลายครั้ง ทว่ากลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ
วิชาเซียน…นี่มันวิชาเซียน!
สวรรค์…สิ่งที่มันอยู่ในทีวี อยู่ในนิยาย มันมีอยู่ในชีวิตจริงด้วย!
เขาไปหาเรื่องใครเข้า ปีศาจจริงๆ หรือเทพเซียนกันแน่
มิน่าล่ะ…มิน่าผู้จัดการซูถึงได้ย้ำเตือนเขา…ปู่เขาก็ย้ำเตือนเขา…
เขาคิดไปต่างๆ นานา เช่นว่าเบื้องหลังของอีกฝ่ายใหญ่โตมาจากไหน แต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า…
อีกฝ่ายจะไม่ใช่มนุษย์!
“คุณฉลาดมาก” ในใจเขาสับสนกระวนกระวายไปหมด ทว่าสวีหยางอี้กลับไม่ได้ใส่ใจเขาเลยสักนิด เขามองเฉาอวิ๋นพลางเอ่ยขึ้น “ผมกำลังเตรียมจะจัดการเรื่องนี้อยู่พอดี คิดว่าอย่างมากก็แค่เตือนพวกคุณสักหน่อยเท่านั้น แต่คุณกลับส่งมาให้ถึงที่ ผมกลับ…”
“คุณสวี!” กลับอะไร…เฉาอวิ๋นแทบไม่กล้าให้เขาพูดออกมา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ใส่ใจ แต่เขาไม่ใส่ใจไม่ได้! “การเตือน” ของอีกฝ่ายหมายความว่าอะไรกัน และมันถึงขั้นไหน เขาไม่กล้าใช้ตระกูลเฉาทั้งตระกูลมาลองเสี่ยงดูหรอกนะ!
——————————————————————————–
[1] ดูปองท์ คือ บริษัทผลิตเคมีภัณฑ์รายใหญ่รายหนึ่งของโลก