ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 19 ผู้จัดการซู (3)
เขารู้ดีว่าผู้นำธุรกิจตัวเล็กอย่างเขา พอมาเจอกับนักฝึกตนแล้วถือว่ามีฐานะอย่างไร อีกฝ่ายอาจจะไม่ใส่ใจเขาได้ แต่ถ้าเขายังไม่ใส่ใจอีก มันก็เหมือนกับว่าเขากำลังเล่นกับอะไรที่ชวนให้หัวหลุดจากบ่าได้ทุกเมื่อ
เขารีบกล่าวเสียงดังขึ้นมาทันที ก่อนจะโค้งให้อีกฝ่ายจนสุดตัว “เรื่องนี้เป็นเพราะผมละโมบโลภมากเองครับ ตระกูลเฉายินดีมอบหินวิญญาณระดับล่างสิบก้อนพร้อมทั้งเงินอีกสามล้านหยวน ขอเพียงแค่คุณสวีปล่อยพวกเราตระกูลเฉาไปสักครั้ง”
แววตาสวีหยางอี้พลันเป็นประกายขึ้นมา
เขาก็ไม่ได้สนใจเงินมากมายนัก แต่ก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะถึงขนาดมีหินวิญญาณด้วย
“เอามาจากไหน”
“มัน…มันเป็นผู้ถือหุ้นของเราเองครับ…ผมเองก็สังเกตเห็นมานานแล้วว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง…มันชอบเก็บสะสมก้อนหินประเภทนี้ แต่ต่อมา…ต่อมาผู้จัดการซูถึงได้บอกผมว่ามันเรียกว่าหินวิญญาณ ผมเลยสะสมไว้บ้าง แต่มันสะสมยากมากๆ เจ็ดปีมานี้ผมสะสมได้แค่สิบก้อน…” เขามองสวีหยางอี้ด้วยความกระวนกระวาย “ขอให้คุณสวีได้โปรดรับไว้ด้วย…”
ตอนนี้เฉาโม่เซิงไม่กล้าพูดอะไรสักคำ
หินวิญญาณ…หุ้นส่วน…ของพวกนี้ราวกับได้เปิดโลกใบใหม่ให้กับเขา เขามองสายตาของสวีหยางอี้ถึงได้เห็นว่าตอนนี้มันไม่เหลือสายตาดูแคลนแม้สักเศษเสี้ยว มีก็เพียงเปลวไฟที่ลุกโชนเท่านั้น
นี่มัน…ของในตำนานเชียวนะ…
ของแบบนี้ก็มีอยู่ในโลกด้วย!
ทั้งมันยังอยู่ตรงหน้าตนนี้อีกด้วย!
สวีหยางอี้ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรอีก ที่เขาตามหาเจ้ากบนั่นไม่ได้เป็นเพียงเพราะต้องการเลือกใช้คนที่มีความสามารถ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ…
เจ้ากบนั่นสามารถให้สิ่งที่เขาต้องการได้ในระยาว มันหาหญ้าน้ำค้างมาให้เขาได้ตลอดเจ็ดปีเต็ม มันหามาจากไหนกัน
นี่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการ ทรัพยากรสำหรับการฝึกบำเพ็ญ ไม่มีใครไม่อยากได้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในยุคเสื่อมแบบนี้!
มันกล้าวางแผนหลอกเอาผลประโยชน์จากเขา ฆ่ามันทิ้งเสียก็สิ้นเรื่อง ไม่มีเหตุผลอะไรต้องพูดกันให้มากความ
ความเงียบขรึมของสวีหยางอี้ในสายตาของเฉาอวิ๋นสื่อความหมายได้เพียงอย่างเดียว นั่นคือไม่พอใจ
“ห้าล้าน!” เฉาอวิ๋นกัดฟัน “คุณสวี ตระกูลเฉาเราไม่ได้เป็นบริษัทใหญ่โตอะไร ในเมืองซานสุ่ยนับว่าไม่เลวก็จริง แต่เทียบในระดับมณฑลหนานทงแล้วนับว่าเป็นอะไรได้! ห้าล้านหยวน…เป็นเงินทุนที่ผมในฐานะประธานบริษัทสามารถเคลื่อนย้ายได้ก้อนใหญ่ที่สุดแล้ว! มากกว่านี้…ผมคงทำไม่ไหว!”
“สิบล้าน!” ชั่ววินาทีนั้นเอง เสียงอันเด็ดเดี่ยวเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เฉาโม่เซิงกัดฟันจ้องสวีหยางอี้ไม่ละสายตา “อาจารย์! รับผมเป็นศิษย์ด้วยเถอะครับ! ผมจะขายหุ้นที่ผมจะได้รับเป็นมรดกทั้งหมดทิ้งทันที! รวมแล้วก็ได้ราวสิบล้านหยวน!”
ในที่นั้นพลันเงียบกริบลงในชั่วพริบตา
ปฏิกิริยาแรกของเฉาอวิ๋นก็คือเดือดพล่านเสียจนฟันสั่นกระทบกัน ทว่าปฏิกิริยาต่อมากลับเป็นดีใจจนแทบบ้า!
“ร้อยล้าน!” กระทั่งเสียงเขาก็ยังแหบพร่าไปหมด ทว่าในคำพูดนั้นกลับหนักแน่นเด็ดเดี่ยว “คุณสวี! ขอเพียงคุณยอมรับเจ้าหลานชายไม่เอาถ่านของผมเป็นศิษย์! หุ้นของผม! ผมก็ไม่เอาแล้วเหมือนกัน!”
“ผมยอมเทหมดหน้าตัก ของผมรวมแล้วก็ราวร้อยล้าน!”
ทั้งสองคนมีความคิดไม่เหมือนกัน ทว่าตอนนี้กลับจะรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน
เฉาโม่เซิงเป็นพวกตามกระแสตัวยง ทั้งนิยาย ภาพยนตร์ การ์ตูน เขาล้วนชื่นชอบเรื่องพวกนี้ ในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง เขาจะไม่วาดฝันได้หรือ จะไม่อิจฉาได้หรือ
แม้เฉาอวิ๋นจะอยู่คนละยุคกับเขา แต่เขาก็รู้ดีว่า…หากตระกูลเฉามีนักฝึกตนสักคน…แผ่นดินกว้างใหญ่ จะยังมีที่ไหนไม่อาจไปได้อีกกัน!
ตัวเขาเองกระทั่งฝาโลงก็ไม่ซื้อแล้ว เขาจะเอาเงินออกมาให้สวีหยางอี้ให้ได้!
ก่อนหน้านี้เขาทั้งกลัวทั้งกังวล แต่ตอนนี้ความคิดขั้นพื้นฐานที่สุดของนักธุรกิจก็คือแสวงหาผลประโยชน์ จึงทำให้เขาตัดสินใจได้ทันที!
“พี่สวี!” ทว่าการตัดสินใจของเขาก็ยังไม่รวดเร็วเท่าเฉาโม่เซิง อีกฝ่ายก้าวเข้าไปคุกเข่าลงข้างหนึ่ง พร้อมทั้งประสานมือทั้งสองคารวะอย่างจริงใจต่างจากที่เคยเป็น “ได้โปรดรับผมเป็นศิษย์ด้วย”
สวีหยางอี้มองภาพตรงหน้าอย่างเหนือความคาดหมายเล็กน้อย เขาโบกมือขึ้นถ้วยกาแฟก็พลันลอยขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง “ฉันยังรับศิษย์ไม่ได้”
“ถ้าต่อไปฉันรับศิษย์ได้ มีโอกาสค่อยเจอกันใหม่ ฉันจะพิจารณาดู”
เฉาอวิ๋นอ้าปากค้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ตระกูลเฉาแห่งเมืองซานสุ่ยยังไม่มีความกล้าจะต่อรองเงื่อนไขกับนักฝึกตน ทว่าอีกฝ่ายก็นับว่ายังเจรจาง่าย หากจะให้อีกฝ่ายทิ้งช่องทางการติดต่อหรืออะไรเทือกนั้นไว้ล่ะก็…
วันนี้เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องที่แค่มีเงินก็แก้ไขได้แล้ว
“ส่งหินวิญญาณกับเงินมาที่โรงพยาบาลพรุ่งนี้” สวีหยางอี้พยักหน้า “แล้วเรื่องนี้ผมจะไม่สืบสาวเอาความ แต่ถ้าครั้งหน้ายังมีเรื่องแบบนี้อีก ก็สวดมนต์ได้เลย”
“ครับ!” ในที่สุดเฉาอวิ๋นก็สามารถปล่อยวางก้อนหินในใจลงได้อย่างสมบูรณ์เสียที เขาถอนหายใจออกยาวเหยียดแล้วรีบตอบตกลงทันที
“เอาล่ะ ทุกคนก็ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว” ผู้จัดการซูลุกขึ้นไปเปิดประตูให้สองปู่หลานโดยมีไม่มีพิธีรีตองใดๆ ทั้งสิ้น “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่รั้งคุณทั้งสองคนไว้แล้วล่ะค่ะ ว่าแต่ว่าน้องชาย ฉันขอเตือนเธอสักประโยคนะ ถ้าเธอแพร่งพรายเรื่องวันนี้ออกไปแม้แต่ครึ่งคำ ต่อให้คุณสวีคนนี้จะอารมณ์ดีไม่สืบสาวเอาความ แต่เกรงว่าต่อไปจะไม่มีชื่อของตระกูลเฉาอยู่ในหวาซย่าอีก”
เฉาโม่เซิงสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขารับพยักหน้ารับ “รู้แล้ว!”
เขามองสวีหยางอี้ผู้ยังมีสีหน้าเรียบเฉยด้วยสายตาแสนอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะกัดฟันแล้วหันกายเดินจากไป
“ปู่ครับ!”ทันทีที่ขึ้นมาบนรถยนต์ประจำตระกูลเขาก็เอ่ยขึ้นทันที “ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะกราบเขาเป็นอาจารย์!”
เฉาอวิ๋นถอนหายใจเฮือกยาว “โม่เซิง…แกรู้แล้วสินะว่าทำไมฉันถึงให้แกหุบปาก”
เฉาโม่เซิงหยักหน้าแรงๆ “ขอโทษครับ…”
“มีหรือฉันจะไม่อยากให้แกกราบเขาเป็นอาจารย์” เฉาอวิ๋นส่ายหน้า “แต่แกยังไม่รู้อะไร…ตอนนี้แกก็แค่อยากรู้อยากเห็น แต่ถ้าแกสนใจจริงๆ ก็ไปมาหาสู่กับผู้จัดการซูให้บ่อยสักหน่อย…แต่สำหรับเรื่องกราบอาจารย์…ของพรรค์นี้ แกอย่าได้ยึดติดกับมันให้มากนักเลย…โลกของพวกเขาไม่เหมือนกับเรา…”
เขามองทิวทัศน์ยามค่ำคืนนอกหน้าต่างด้วยสายตาเลื่อนลอย “บางที…ตอนที่แกเปิดประตูบานหนึ่งออกไป แกจะพบว่าตัวเองเผลอคิดไปว่าเห็นโลกใบนี้ชัดเจนแจ่มแจ้งซะเหลือเกิน แต่จริงๆ แล้วแกเข้าใจมันแค่เศษเสี้ยวเท่านั้น…”
“จนตอนนี้…ฉันยังไม่รู้เลยว่าหุ้นส่วนที่แอบหนีไปนั่นมันเป็นตัวอะไรกันแน่…”
ไม่มีใครรู้ถึงบทสนทนาของพวกเขา สวีหยางอี้เองก็ไม่อาจรู้ได้ ชั่ววินาทีที่ประตูปิดลงนั้นเอง เรือนร่างงดงามร้อนผะผ่าวก็เข้ามาแนบติดกับร่างของเขาเสียแล้ว
“พี่สวี…” ริมฝีปากชุ่มชื้นแดงระเรื่อค่อยๆ พ่นลมหายใจใส่ข้างหูเขาเบาๆ มือขาวบริสุทธิ์ดุจดอกโบตั๋นวางอยู่บนแผ่นอกเขา คล้ายกับกำลังจุดประกายให้เขาทำเรื่องไม่ดีอยู่รางๆ “เธอน่าจะเดาออก…ว่าคืนนี้ฉันซูเหลียนเยวี่ยเรียกนายมา…เพราะอยากให้นายมาทำอะไร…ใช่ไหม”
มือนั้นไม่รีบร้อนไม่เนิบนาบ หากค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วลากผ่านไปอย่างเรียบเรื่อย ราวกับไม่ได้ตั้งใจนัก เธอใช้นิ้วลากผ่านกล้ามเนื้อแผงอกภายใต้เสื้อผ้าของสวีหยางอี้ เรื่อยมาจนถึงกล้ามหน้าท้อง ถึงได้ลงน้ำหนักมืออย่างนุ่มนวล ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มหยาดเยิ้มผ่อนลมหายใจออกมาคล้ายกำลังเย้าแหย่ หากขณะเดียวกันก็หอมหวานดังดอกกล้วยไม้ก็ไม่ปาน “แรงเอวเธอต้องดีมากแน่…”
มือใหญ่ข้อนิ้วหนามือหนึ่งรั้งท้ายทอยเธอเข้ามา นิ้วชี้เรียวยาวของชายหนุ่มเชยปลายคางขาวละเอียดขึ้นแล้วลูบไล้เบาๆ
ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวกันทั้งนั้น แสดงออกชัดเจนขนาดนี้แล้ว คงไม่ต้องพูดกันให้มากความ
ที่นี่ก็ไม่มีคนถือศีลกินเจสักหน่อย
ซูเหลียนเยวี่ยยิ้มบางๆ หากก็ไม่ได้เขินอายแต่อย่างใด มือเธอลากผ่านปลายเสื้อเชิ้ตของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะลงน้ำหนักมือยังจุดที่ละเอียดอ่อนของเขาคล้ายมีนัยยะซุกซ่อนอยู่ จากนั้นก็สัมผัสผ่านมันอย่างเบามือ หากก็ชวนให้รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าวูบผ่าน หลายวินาทีต่อไปถึงได้เอ่ยพลางอมยิ้มเบาๆ “ใหญ่จริงๆ”
“พอใจหรือเปล่าล่ะ” สวีหยางอี้ยิ้มกริ่มพลางใช้นิ้วหัวแม่มือบีบปลายคางเธอเบาๆ ศีรษะเธอแหงนขึ้นราวหงส์ขาวเชิดหน้าขึ้น เผยให้เห็นส่วนเว้าโค้งที่สวยงาม วินาทีต่อมานั้นเองเขาก็รู้สึกได้ว่ามีมือหนึ่งล้วงเข้ามากางเกงราวกับงู แล้วลูบไล้อวัยวะที่ติดตัวเขามาแต่เกิดอย่างเชื่องช้าและเบามือ
เนียนนุ่ม เรียบลื่น ทั้งยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นหอมหวนชวนพิศวง ซึ่งแตกต่างจากตัวเขาเองโดยสิ้นเชิง
ซูเหลียนเยวี่ยยังคงยิ้มบางๆ อยู่อย่างนั้น เธอหลับตาพริ้มราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับต้องรอเก้อ เพราะชั่วขณะที่เธอหลับตาลงนั้นเอง อีกฝ่ายก็ใช้นิ้วหัวแม่มือคมกริบดุจกระบี่บีบปลายคางเธอแน่นด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลนั้น จนเธอร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด
ขณะเดียวกันนั้น มือที่สัมผัสสะเปะสะปะไปทั่วก็ถูกอีกฝ่ายกดแช่เอาไว้ยังที่ที่มันควรอยู่ตั้งแต่แรก เธอขบเม้มริมฝีปากแดงระเรื่อ แล้วเอาคืนเขาด้วยการคว้ามันเอาไว้บ้าง แต่อีกฝ่ายก็ยังสงบนิ่งราวกับไม่ได้รับการกระตุ้นใดๆ
“แต่ผมไม่พอใจ”
ร่างทั้งร่างเธอสั่นสะท้านไปเล็กน้อย เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นแววตาสุดแสนจะสงบนิ่งของสวีหยางอี้ ซึ่งไร้ความปรารถนาแม้แต่เพียงเศษเสี้ยว
“ค่ามัดจำแพงเกินไป ผมรับไม่ไหวหรอก”
“เรื่องที่เธอกับฉันต่างยินยอมพร้อมใจ ฉันไม่เก็บเงินอยู่แล้ว…แต่ถ้าเธอคิดว่าเธอจะใช้ร่างกายเธอทำให้ฉันตอบตกลงได้ล่ะก็ ที่รัก…”
สวีหยางอี้ขบติ่งหูเธอ ขณะที่เธอเองก็ออกแรงสัมผัสยังเบื้องล่างของเขาอย่างหนักมือ จนเขารู้สึกได้ถึงมือเนียนนุ่มเรียบลื่นดุจหยกกำลังกุมความตื่นเต้นของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล “เธอคิดมากเกินไปแล้ว”
แววตาของซูเหลียนเยวี่ยทอประกายขึ้นมา หากก็เช่นเดียวกัน มันไร้ซึ่งความปรารถนาโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งสีหน้าท่าทางของเธอในตอนนี้ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประกายในแววตานั้นแม้แต่น้อย
“ถ้าอย่างนั้นฉันเอามือออกมาได้หรือยัง”
“จะเอาไว้ต่ออีกหน่อยก็ได้” สวีหยางอี้เอนกายพิงโซฟาอยู่อย่างนั้น พลางหยักยกริมฝีปากขึ้น “จริงๆ นะ ยี่สิบเอ็ดปีมานี้ ในนั้นก็มีแต่มือผมคนเดียวนั่นแหละ”
“ดูไม่ออกเลยจริงๆ เธอนี่ก็เก่งเรื่องทำตัวเป็นอันธพาลอยู่เหมือนกันนะ” ซูเหลียนเยวี่ยหัวเราะเย็นๆ ก่อนจะชักมือออกมาอย่างไม่ลังเล แต่ยังไม่ทันได้เช็ดก็เอามันวางไว้บนเรียวขาเรียบลื่นดังหยกแล้วลูบไล้เบาๆ
ความเงียบงัน…ความเงียบงันที่มีอะไรแอบแฝงอยู่
“ฉันเป็นนักศึกษารุ่นพี่เธอห้ารุ่น” เนิ่นนานผ่านไปซูเหลียนเยวี่ยถึงได้เอ่ยปากขึ้น “ทุกครั้งเทียนเต้าจะรับคนหลายพันคน แต่ที่เรียนจบมีแค่ไม่กี่ร้อย เธอเคยคิดไหมว่าคนอื่นๆ เขาไปอยู่ที่ไหนกัน”
สวีหยางอี้ส่ายหน้า ทุกคนต่างต้องต่อสู้ดิ้นรนบนหนทางฝึกตนกันทั้งนั้น กฎแห่งป่ามันก็ชัดเจนอยู่แล้ว เขาไม่ได้มีกะจิตกะใจไปสนใจหรอกว่าคนอื่นไปอยู่ที่ไหนกัน
ซูเหลียนเยวี่ยจุดบุหรี่แล้วมองก้นบุหรี่ที่มีประกายไฟวูบวาบนั้น แล้วอยู่ๆ ก็หัวเราะออกมา “ลำพังแค่การดูดซับพลังปราณเข้าร่างก็เขี่ยคนทิ้งไป 80% แล้ว และฉันเอง…ก็เป็นหนึ่งใน 80% นั้นแหละ”
“คนพวกนี้น่ะ…บนโลกของการฝึกตนมีนักฝึกตนอยู่ราวล้านคนได้ ไม่ว่าที่ไหนก็ต้องการคนไปทำงานทั้งนั้น คุณสวี…ฉันล่ะอิจฉาคุณจริงๆ….จริงๆ นะ คุณคงยังไม่เคยเจอนักฝึกตนที่ถูกเขี่ยทิ้งอย่างเรา แต่เดี๋ยวต่อไปคุณก็จะได้เจอเอง…เราต้องอิจฉาพวกคุณที่ได้เป็นนักฝึกตนที่แท้จริงขนาดไหน…เรายืนอยู่หน้าประตูแล้วแท้ๆ เหลืออีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น แต่ระยะทางสำหรับการดูดซับพลังปราณเข้าร่างแค่ก้าวเดียวนั้นกลับห่างไกลราวฟ้ากับดิน”
“นอกเรื่องแล้ว…” ความเงียบงันเข้ามาเยือนอีกครั้งนับหนึ่งนาที ซูเหลียนเยวี่ยผุดลุกขึ้นราวกับตัดสินใจได้แล้ว จากนั้นก็ดับก้นบุหรี่
เธอมองสวีหยางอี้ด้วยสายตาลึกล้ำ หลายวินาทีผ่านไปถึงได้คล้ายว่าได้ตัดสินใจแล้ว จึงยกมือสั่นเทิ้มเล็กน้อยนั้นจับที่กระดุมเสื้อตัวเอง
“เธอต้องรู้เอาไว้นะ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงอย่างว่า”
“อืม” สวีหยางอี้พยักหน้า ตอนนี้ประสามสัมผัสทั้งห้าของเขาว่องไวยิ่งกว่าที่จินตนาการไว้เสียอีก ทั้งยังมากกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันหลายเท่า ตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้สึกได้ว่าซูเหลียนเยวี่ยที่ทำท่าทางปล่อยเนื้อปล่อยตัวนั้น กลับ…ยังไม่คล่องแคล่ว
เป็นความไม่คล่องแคล่วจากการไม่ค่อยได้ทำเรื่องพรรค์นี้บ่อยๆ
อีกทั้งเขาก็ไม่ได้กลิ่นของชายคนอื่นบนเรือนร่างของเธอ ด้วยเหตุนี้เองเขาถึงยอมให้อีกฝ่ายแตะต้องส่วนสำคัญของตัวเอง
เขาไม่เคยเป็นพวกถือศีลกินเจสักหน่อย
“กึก…” กระดุมที่ติดไว้อย่างแน่นหนาเม็ดหนึ่งดีดตัวออก เผยให้เห็นผิวเนื้อขาวละเอียดบริสุทธิ์ ราวหยกขาวเรียบลื่นสะท้อนรับกับแสงจันทร์