ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 2 แฟ้มข้อมูล M (1)
สวีหยางอี้ไม่รู้หรอกว่าทั้งสำนักงานหน่วยสืบสวนนี้เป็นอย่างไร หรือต่อให้รู้เขาก็ไม่คิดจะสนใจสักนิด
ตอนนี้เขากำลังเดินเรียบเรื่อยไปยังห้องทำงานของอธิบดีเจิ้ง มือวางอันดับหนึ่งของหน่วยอารักขาความปลอดภัยแห่งสำนักงานตำรวจเมืองซานสุ่ย
เขาผลักประตูห้องทำงานอธิบดีเจิ้งเข้าไป แอร์ในห้องพัดผ่านร่างพลันให้รู้สึกเย็นสบายขึ้นมาก และที่ตรงหน้านั้นเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง กำลังเอ่ยอะไรบางอย่างกับเลขาท่าทางเคร่งขรึม
เขาตัวไม่สูงนัก อย่างมากก็แค่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรเท่านั้น ศีรษะค่อนไปทางล้าน และเนื่องด้วยอยู่ในตำแหน่งใหญ่โตมานาน ใบหน้ารูปทรงสี่เหลี่ยมกร้านโลกนั้นจึงฉายแววน่าเกรงขามอยู่เสมอ
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาโดยไร้เสียงเคาะก่อน อธิบดีเจิ้งจึงกวาดสายตามองไปแวบหนึ่ง หากก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงคลี่พัดในมือออกพัดช้าๆ อย่างเป็นธรรมชาติ “คนโบราณพูดไว้ได้ดีจริงๆ… เมืองมีกฎเมือง บ้านมีกฎบ้าน ถ้าไม่มีกฎจะอยู่กันยังไง”
“นั่นคือ…” ผู้ช่วยได้ฟังคำพูดที่คล้ายจะแฝงความนัยก็ใช้ความสามารถจินตนาการต่อเองทันที เขามองสวีหยางอี้ด้วยท่าทีสุขุมเยือกเย็น แล้วเอ่ยขึ้นกับอธิบดีเจิ้งอย่างยิ้มๆ “แต่ว่าหน่วยตำรวจติดอาวุธสั่งย้ายคนคราวนี้…”
“ทุกเรื่องมันต้องมีระบบ มีกฎเกณฑ์” อธิบดีเจิ้งประคองถ้วยชาขึ้นเป่าไล่ความร้อนช้าๆ “เขาจะย้ายก็ใช่ว่าผมจะไม่ฟังเหตุผล แต่พอมีปัญหาขึ้นมาก็ถ่อมาหาผมถึงที่ ตกลงว่าจะมาหาหลี่จงเซี่ยวหรือมาหาผม อธิบดีเจิ้งกันแน่”
“ชาดี” เขาจิบชาอีกอึกอย่างสบายใจ “เรื่องด่วนก็ส่วนด่วน แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ ว่ากันไปเป็นเรื่องๆ … ใครใช้อำนาจบาตรใหญ่สั่งย้ายคนก็ให้มันมาเป็นอธิบดีสำนักงานตำรวจเองเลยไหม”
“รีบเหรอ ได้ เราทำตามขั้นตอน ทุกคนวางใจได้ ถึงจะช้าไปหน่อย แต่ไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน” อธิบดีเจิ้งประกบพัดดังซวบ แล้วย้ายสายตาไปวางบนร่างสวีหยางอี้ที่กำลังมองชั้นหนังสืออยู่เงียบๆ ก่อนจะเอ่ยกับเลขาด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ “เอาตามนี้แหละ คุณออกไปก่อน บอกเขาด้วยว่าทุกเรื่องมีทางออก มีกฎระเบียบ เรื่องกำลังคนของสำนักงานตำรวจไม่ด่วนหรือไง เพิ่งมีคดีฆาตกรรมใหญ่มา เราย้ายคนกลับมาไม่ได้ ไปเถอะ”
พอเลขาออกไปแล้ว อธิบดีเจิ้งถึงได้ส่งเสียงกระแอมขึ้นเบาๆ ทว่าก็ยังไม่เห็นสวีหยางอี้มีท่าทีตอบสนอง เขาจึงยืนขึ้นเสียเอง หลังจากบิดลูกบิดประตูไปหลายครั้งก็รีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นใบหน้าเปื้อนยิ้มทันที จากนั้นก็เคาะพัดในมือสองทีแล้วเดินเข้ามา “เสี่ยวสวี…มาๆ ๆ นั่งก่อน ดื่มอะไรหน่อยไหม ผู้ใหญ่ไม่ได้ทำให้นายลำบากใจใช่ไหม ทำงานยังราบรื่นดีหรือเปล่า”
รอยยิ้มนั้นราวดอกเบญจมาศเปอร์เซียบานสะพรั่ง เทียบกับเมื่อครู่แล้วช่างต่างกันลิบลับ
เขายิ้มแย้มอย่างสุดแสนจะจริงใจ ไม่มีท่าทีทรงอำนาจของหัวหน้ายามต้องเจอลูกน้องเลยสักนิด แต่ออกจะเหมือนคนได้เจอเพื่อนเก่าเสียมากกว่า
“ไม่มี ให้ความร่วมมือดี” สวีหยางอี้ควักบุหรี่ออกมาม้วนหนึ่ง “ได้ไหม”
“แน่นอน …เสี่ยวสวี แหม นายนี่จริงๆ เลย ฉันบอกตั้งกี่ครั้งแล้ว ว่าอยู่ห้องทำงานฉันก็เหมือนอยู่ห้องทำงานนายนั่นแหละ อย่าได้เกรงใจอาเจิ้งขนาดนั้นสิ มาๆ ๆ ๆ นั่งลง มานั่งคุยกัน”
การพูดการจาแบบนี้ มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง
หนึ่ง : สวีหยางอี้เป็นพี่น้องแท้ๆ ที่พลัดพรากจากกันไปของอธิบดีเจิ้ง
สอง : สวีหยางอี้เป็นเด็กเส้นที่มาทำงานเอาหน้าที่นี่ ปูมหลังใหญ่โตเสียจนอธิบดีเจิ้งล่วงเกินไม่ได้ และไม่กล้าจะล่วงเกินด้วย
“เสี่ยวสวี ดูสิ…” เมื่อเห็นสวีหยางอี้นั่งลงแล้ว อธิบดีเจิ้งก็ยิ้มออกมา คล้ายว่าอยากจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไปหลายครั้ง ครั้นพอกำลังจะเอ่ยปาก สวีหยางอี้ที่นั่งตรงข้ามกลับมองแสงไฟวูบวาบที่ก้นบุหรี่แล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“นั่งลง”
“??” อธิบดีเจิ้งยังประหลาดใจอยู่ไม่น้อย แต่วินาทีต่อมานั้นเอง หน้าต่างด้านหลังเขาก็พลันระเบิดแตกออก
“โครม!” ราวกับมีกำปั้นใหญ่ยักษ์ทุบเข้ามาจากด้านนอก และไม่ใช่แค่กระจกเท่านั้น แม้กระทั่งลูกกรงหน้าต่างที่ทำจากอะลูมิเนียมอัลลอยก็ยังกระเด็นออกมาทั้งแผงด้วย
กระจกวาววับทั้งแผ่นลอยผ่านข้างหูอธิบดีเจิ้งไป ชั่วขณะนั้นเหมือนเวลาพลันหยุดชะงักไป หางตาเขามองเห็นหน้าต่างข้างๆ กระเด็นออกมาราวกับหยาดฝนสาดกระเซ็น กระจกทุกแผ่นสะท้อนใบหน้าด้านข้างของเขาที่หวาดผวา ผ้าม่านสีน้ำเงินถูกลมพัดจนกระพือขึ้น ในขณะที่เขาก็ยังดึงสติตัวเองกลับมาไม่ได้
“ตึง!” ราวว่าโลกนี้เงียบงันไปชั่วขณะ อธิบดีเจิ้งเสียขวัญจนการตอบสนองก็ยังช้าไปด้วย และทันใดนั้นเองก็มีแรงมหาศาลจู่โจมเข้ามาทางด้านข้าง ทำเอาเขาเซถลาไปชนเข้ากับชั้นหนังสือ สวีหยางอี้จึงรีบเตะเขาออกไป
ชั่วขณะนั้นเหมือนเวลาเริ่มเดินอีกครั้ง
“โครม!!!” กระสุนแก้วห่าใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนสาดพุ่งเข้ามาเกลื่อนห้อง ทำเอาลูกกรงหน้าต่างแปรสภาพกลายเป็นซากอยู่กลางห้อง อธิบดีเจิ้งสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ครั้นพอคิดจะยืนขึ้นถึงได้พบว่าแข้งขาไม่มีเรี่ยวแรงสักนิด แม้แต่มือที่ค้ำยันโต๊ะเอาไว้ก็ยังสั่นระริก
“เกิด…เกิดอะไรขึ้น…” เสียงเขาสั่นเครือรุนแรงอย่างไม่รู้ตัว หากเมื่อครู่นี้เขายืนอยู่ข้างหน้าต่าง ตอนนี้คงต้องหามเขาเข้าโรงพยาบาลแล้ว!
แต่แล้วอยู่ๆ เขาก็พลันตั้งสติได้
นี่มันเป็นไปไม่ได้!
นี่มันหน้าต่างกระจกกันกระสุน แม้จะมองไม่ออกจากด้านนอก แต่ความจริงแล้วมันหนาถึงหนึ่งเมตรทีเดียว กระสุนอะไรกันถึงสามารถยิงหน้าต่างทั้งบานจนแตกละเอียดได้ ขนาดกระสุนซุ่มยิงยังทำได้แค่ร้าวเท่านั้น
นี่มันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาจากด้านนอกชัดๆ
แต่นั่นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ นี่มันชั้น 20 อาคารรัฐที่สูงที่สุดในเมือง! มองจากตรงนี้ลงไปสามารถเห็นเมืองได้ทั้งเมือง!
อธิบดีเจิ้งเหงื่อแตกพลั่ก เขาได้ยินเสียงหัวใจเต้นระทึกดังอยู่ข้างหู เขาเองก็คิดอยากขยับเขยื้อน แต่ก็กลับต้องพบว่าร่างทั้งร่างอ่อนยวบไปหมดแล้ว จึงได้แต่กัดฟันเอ่ยขึ้น “เสี่ยว…เสี่ยวสวี…”
“ชู่…” สวีหยางอี้ที่ไม่รู้ว่ายืนขึ้นตั้งแต่เมื่อไร เขายกนิ้วชี้ตั้งตรงขึ้น ท่าทางเคร่งขรึมกว่าปกติ “มีบางอย่างอยู่ที่นี่”
คำพูดนี้ราวกับเป็นสวิตช์เปิดปิด ลูกกระเดือกอธิบดีเจิ้งกระเพื่อมขึ้น ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีก
เขามองไปด้วยสายตาหวาดกลัว แต่ทันใดนั้นก็พบว่า…
ผ้าม่าน!
เดิมทีผ้าม่านควรจะห้อยระลงมาที่ข้างหน้าต่าง แต่ยามนี้มันกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด!
ด้านบนนั้นยังคงอยู่เหนือหน้าต่าง แต่ด้านล่าง…ปลิวสะบัดขึ้นมา ความรู้สึกนั้นมันเหมือนกับมีคนล่องหนพุ่งเข้ามาทางหน้าต่าง ชนกระจกกันกระสุนกับลูกกรงโลหะผสมจนแตกละเอียด แล้วผ้าม่านก็ตกลงมาคลุมตัวเขาพอดี!
และเพราะว่าคลุมอยู่นี้เอง ถึงได้มองเห็นเป็นรูปเป็นร่าง!
กลางวันแสกๆ แต่กลับมีปรากฏการณ์เหลือเชื่ออย่างนี้เกิดขึ้นได้ อธิบดีเจิ้งกัดฟันแน่น ไม่ปล่อยให้ตัวเองส่งเสียงกรีดร้องออกมา
เหงื่อเย็นๆ แตกพลั่กไหลลงมาอย่างไม่คิดชีวิต
เมื่อครู่นี้เอง…มีบางอย่างที่เขามองไม่เห็นจากที่ไกลแสนไกล พุ่งเข้ามาในห้องทำงานเขาด้วยความเร็วสูง พุ่งมาทำลายมาตรการป้องกันของรัฐจนไม่เหลือชิ้นดี และกระทั่งตอนนี้มันก็ยังอยู่ต่อหน้าเขาไม่ยอมไปไหน
ของสิ่งนี้…ชนกระจกกันกระสุนจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้… ความแข็งแกร่งของพลังโจมตีนั้น…เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่าถ้าเมื่อครู่นี้อีกฝ่ายไม่ได้ผลักเขาออกไป ผลจะเป็นอย่างไร
และทันใดนั้นเอง หัวใจของอธิบดีเจิ้งก็แทบกระเด็นออกมา!
ขณะที่สีหน้าของสวีหยางอี้ยังคงเหมือนเดิม ทว่าทิศทางของสายตากลับเปลี่ยนไป
ตอนแรกอีกฝ่ายเอาหลังแนบกำแพง ก้มหน้ามองพื้น แต่ตอนนี้กลับค่อยๆ เงยหน้าขึ้น พร้อมกับเคลื่อนตัวเลาะข้างหน้าต่างอย่างช้าๆ จนมาถึงพรมบนพื้น แล้วค่อย…
ปรากฎตัวตรงหน้าอธิบดีเจิ้ง!
“พอแล้ว…พอแล้ว” อธิบดีเจิ้งกัดฟันพลางสั่นสะท้านเล็กน้อย แต่อีกฝ่ายกลับเอาแต่จ้องเขาตาเขม็ง ในสายตาปรากฏแววบางอย่างขึ้น กอปรกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่ว่ามีบางอย่างเข้ามา ทำเอาเขาสามารถจินตนาการเรื่องทั้งหมดต่อได้เป็นฉากๆ
มีอะไรบางอย่าง…อยู่ข้างหน้าเขา และมันกำลังมองเขาตาไม่กระพริบ
ส่วนทางด้านหลังของมัน…ก็คือสวีหยางอี้ที่พร้อมเข้าปะทะ…
สิ่งที่เราไม่รู้คือสิ่งที่น่าสยองขวัญที่สุด มือเขากำลังค่อยๆ เอื้อมไปกดกริ่งบนโต๊ะ ทว่าน้ำเสียงแผ่วเบาของสวีหยางอี้กลับเอ่ยขึ้นที่ข้างหูเขาเสียก่อน “อย่าขยับ”
เขาทำตามคำสั่งไม่ต่างจากหุ่นยนต์ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อน แต่ร่างทั้งร่างมันกลับสั่นเทิ้มไม่ยอมหยุด
“ค่อยๆ ค่อยๆ หมอบลง…”
ความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งใจ อธิบดีเจิ้งมองไม่เห็นสวีหยางอี้ที่อยู่ตรงข้าม เขายกมือขึ้นปิดตาข้างซ้ายของตัวเองไว้ ส่วนตาข้างขวาพลันเห็นเป็นสีแดงฉาน แต่นัยน์ตากลับเป็นสีขาว
ที่อยู่ต่อหน้าเขาเป็นอีกภาพหนึ่ง!
ท้องฟ้ายามเย็นที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขากลายเป็นสีดำสนิท…และตรงหน้าเขา…คืองูยักษ์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งเมตร ลำตัวอยู่นอกหน้าต่าง แต่หัวของมันเคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้าอธิบดีเจิ้งแล้ว! ห่างจากเขาไม่ถึงห้าสิบเซน!
เกล็ดสีดำสนิทเปล่งประกายสะท้อนรับกับแสงอาทิตย์อัสดง ปากที่กว้างเสียจนกินผู้ใหญ่คนหนึ่งเข้าไปได้ทั้งคนมีน้ำลายสีเหลืองอ่อนหยดร่วงลง
บนตึกหลังไกลๆ นอกหน้าต่างนั่นมีกบตัวหนึ่งกำลังอาบแดดอย่างสบายใจ
ลำพังแค่กบนั้นไม่มีอะไรแปลกหรอก แต่…นี่เป็นกบยักษ์ที่สูงสิบกว่าเมตรเต็มๆ ยาวสามสิบกว่าเมตร! หากบอกว่าเป็นปลาวาฬก็คงมีคนเชื่อ!
มันนอนหมอบเอื่อยเฉื่อยอยู่บนยอดตึกไม่ขยับเขยื้อน เขาเพียงอันเดียวของมันยาวนับสามเมตร หนวดยาวเฟื้อย ดูราวกับรูปปั้นหินแกะสลัก
ขณะที่สนามกีฬาเมืองซานสุ่ยที่อยู่ด้านล่าง มีตะขาบสีสดตัวขดงอกำลังคลานอยู่กลางสนามหญ้า
ลำพังแค่ตะขาบก็ไม่ได้แปลกประหลาดที่ตรงไหนอีกนั่นแหละ แต่มันเป็นตะขาบที่ยาวยี่สิบกว่าเมตร สูงครึ่งเมตรกว่าๆ กระทั่งเปลือกแต่ละข้อทั้งสองข้างยังมีลวดลายอย่างกับนัยน์ตาสีทองของคนไม่มีผิดนี่สิ!
ริมแม่น้ำไกลออกไป มีซาลาแมนเดอร์ยักษ์ เงาขนาดมหึมาที่สะท้อนจากใต้น้ำใหญ่เกือบยี่สิบห้าเมตร บนผิวน้ำสะท้อนเงาสีดำมะเมื่อม ทั้งบนเงานั้นยังมีเรือขนส่งสินค้าลำหนึ่งกำลังจะออกอยู่ด้วย โดยไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าใต้ท้องเรือมีสัตว์ประหลาดชนิดไหนหมอบอยู่
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ถูกสีแดงฉานบนดวงตาเขาปิดกั้นไว้ให้อยู่นอกเหนือจากสายตาคนอื่นๆ
แต่ภาพทั้งหมดนี้สะท้อนอยู่บนนัยน์ตาเขา ราวกับเขาอยู่ในอีกมิติหนึ่งที่ไม่มีใครเข้าถึง
เมืองสัตว์ประหลาด!
สีแดงฉานนั้นได้ตัดขาดคนออกจากโลกภายนอก และเชื่อมต่อเข้ากับภาพมายาชวนให้คนหวาดผวา
“ซ่า…” ชั่วขณะนั้นเอง อธิบดีเจิ้งมองพรมตรงหน้าตัวเองที่จู่ๆ ก็ผลุบลงไปเป็นโพรงเล็กๆ อย่างหวาดผวาจนรูม่านตาเริ่มหดเล็กลง
มาแล้ว…
พวกมันมาแล้ว…
เป็นพวกมันจริงๆ ! พวกมันอยู่ตรงหน้าตนนี่เอง!
ยิ่งทำได้แค่มองสวีหยางอี้เขาก็ยิ่งขวัญผวา ยิ่งหวาดกลัว! เขาไม่รู้ว่าตรงหน้าเขามันมีอะไรกันแน่! เหมือนกับคนที่ต้องขึ้นลิฟต์ตอนเที่ยงคืน แต่คนในลิฟต์บอกว่า ‘ขอโทษที คนแน่นแล้ว’ อย่างไรอย่างนั้น
ความหวาดผวาแทบบ้าคลั่งแผ่ซ่านไปทั่วทั้งใจ
แต่ในชั่วขณะนั้นเอง สวีหยางอี้ก็เริ่มเคลื่อนไหว
อธิบดีเจิ้งเหมือนจะเห็นเพียงแค่แวบหนึ่งเท่านั้นจึงไม่รู้ว่าเขาเคลื่อนไหวอย่างไร แต่ในวินาทีต่อมานั้นเองก็มีเสียงคล้ายเสียงกำปั้นชกเสื้อเกราะเหล็กดังลั่นไปทั้งห้อง! ทั้งยังดังอยู่ในระยะที่ใกล้มากด้วย!
“ซวบ ซาบ ซวบ ซาบ…” เสียงประหลาดเสียงหนึ่งค่อยๆ ดังขึ้นในห้อง ก่อนที่ผ้าม่านจะปลิวสะบัดอย่างรุนแรงผิดปกติจนร่วงตกลงมา!
ภายในห้องเงียบสงัดราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่
สวีหยางอี้ดึงกำปั้นตัวเองกลับมา ชั่ววินาทีก่อนหน้าเขารู้สึกราวกับตัวเองชกเสื้อเกราะเหล็ก เขาแค่ต้องการเตือนเท่านั้นจึงยังไม่ได้ใช้แรงทั้งหมด แต่ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็เหนือกว่าที่เขาคิดเอาไว้อยู่เหมือนกัน
“ไป…ไปแล้วเหรอ” อธิบดีเจิ้งสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง เมื่อครู่นี้ความหวาดผวายังถูกกดไว้ภายในใจ จนในที่สุดตอนนี้มันล้นออกมาเหมือนแก๊สทะลักแล้ว
ไม่จำเป็นต้องพูด การกระทำมันบอกอยู่แล้ว
“ไปแล้ว” สวีหยางอี้นั่งลงบนที่นั่งของอธิบดีเจิ้ง สายตาเขากลับคืนสู่ภาวะปกติแล้ว แต่อธิบดีเจิ้งที่แม้แต่นิ้วมือบนโต๊ะก็ยังสั่นระริก กลับเพิ่งจะค้ำโต๊ะแล้วค่อยๆ หยัดกายที่ยังสั่นเทิ้มขึ้นเงียบๆ ได้ในตอนนั้นเอง
แต่จู่ๆ เท้าเขาก็พลันลื่นพรืดจนต้องกุลีกุจอจับโต๊ะเอาไว้ เขาไม่กล้ายืนห่างจากสวีหยางอี้ จึงได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ ยามนี้อีกฝ่ายนั่งอยู่บนที่นั่งของเขา ส่วนตัวเขาเองนั้นไม่กล้าแม้แต่จะนั่งลงด้วยซ้ำ
สวีหยางอี้ดึงปกเสื้อเชิ้ตตัวเองขึ้นให้เรียบร้อย ขณะที่อธิบดีเจิ้งนั้นเพิ่งสังเกตว่าด้านล่างมีวิทยุสื่อสารขนาดเล็กวางอยู่ “เมาปาเอ้อ คำนวณไอ้ตัวเมื่อกี้ออกมาหรือยัง แล้วทำไมถึงมีปีศาจมาโจมตีฉันได้ พวกมันไม่กลัวตายหรือไง”
“มันอยู่ในช่วงท้ายของขั้นเลี่ยนชี่(ปรับลมปราณ) แต่ก็แปลก… พลังมันผันผวนไม่ปกติ สูงสุดไม่เกินจุดพีคของช่วงแรก โดยมากแล้วในช่วงแรกพวกมันจะประคองตัวให้อยู่ในระดับปกติ เหมือนกันกับนาย” เสียงชายหนุ่มส่งผ่านวิทยุสื่อสารออกมา “คาดว่าน่าจะเป็นเพราะไม่มีใครรู้ระดับสติปัญญาของปีศาจตนนี้แน่ชัด พวกเราในฐานะนักล่าปีศาจ สูญเสียตรรกะความคิดแบบปกติไป อาศัยสัญชาตญาณในการเคลื่อนไหว เพราะฉะนั้นคุณจะกลายเป็นเป้าได้ง่าย เคยได้ยินทฤษฎีหอโคมไฟไหม พวกนายสองคนก็เหมือนกับหอโคมไฟ พวกนายเห็นมัน มันก็ได้กลิ่นนาย ส่วนที่ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้นั้น ยังคาดเดาไม่ได้ แต่มีเรื่องที่แน่ใจได้อยู่สองเรื่อง อยากจะฟังเลยไหม”
สวีหยางอี้พยักหน้า ฝ่ายนั้นเองก็ราวกับมองเห็นด้วย จึงเอ่ยขึ้นต่อ “หนึ่ง เมื่อตรวจสอบจากบาดแผลของผู้ได้รับบาดเจ็บ ระดับพลังเมื่อครู่ และลักษณะรูปร่างของปีศาจแล้ว แน่ใจได้ว่าคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในเมืองซานสุ่ยจะต้องโหดเหี้ยมมากแน่”
“สอง ถ้ามันคือการสอบจบของนายล่ะก็ นายจะได้คะแนนเพิ่มสิบคะแนน”
อธิบดีเจิ้งไม่ได้ยินเสียงบทสนทนาใดๆ สีหน้าเขายังเหมือนคนเพิ่งรอดตายมาหวุดหวิด เขาอดทนมองสวีหยางอี้อยู่นานก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด “เสี่ยว…หัวหน้าสวี เรื่องนี้…คุณ…คุณ…”
“วางใจเถอะ” สวีหยางอี้วางสายจากวิทยุสื่อสาร ก่อนจะมองใบหน้าหวาดผวาของอธิบดีเจิ้งแล้วเลิกคิ้วขึ้น “ผมเคยบอกแล้วไงว่าผมเป็นผู้เชี่ยวชาญ”
“ไม่อย่างนั้น พวกคุณจะถ่อมาตั้งไกล แล้วบีบให้ผมเป็นหัวหน้าหน่วยสืบสวนทำไม”