ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 21 มุ่งหน้าไปสาขาย่อย (1)
ซูเหลียนเยวี่ยคล้ายว่าอยากให้เขารีบจากไปเร็วๆ เสียอย่างนั้น สองชั่วโมงผ่านไปเธอถึงได้ลุกจากเตียงมาเริ่มทำงานอย่างไม่รีบร้อน ชวนให้สวีหยางอี้ได้แต่สงสัยว่าแท้ที่จริงแล้วเธออ่อนแอจริงหรือหรือเปล่า
“ไม่ใช่สักหน่อย” ซูเหลียนเยวี่ยจับจ้องอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอเคาะนิ้วมือบนแป้นพิมพ์เบาๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้น “ถึงยังไงเสียฉันก็มาจากเทียนเต้า เมื่อคืนนี้คุณก็ยังถือว่ายั้งมืออยู่บ้าง ฉันยังไม่ถึงขนาดว่าลงจากเตียงไม่ได้ ถ้าทำฉันลุกไม่ขึ้นไปทั้งวัน นั่นมันท่านประธานจอมเผด็จการในนิยายแล้ว และท่านประธานจอมเผด็จการอะไรนั่นก็ไม่มีอยู่บนโลกนี้สักหน่อย”
สวีหยางอี้ระบายยิ้ม เขาชักจะเสียดายขึ้นมาเสียแล้วที่เมื่อคืนยับยั้งชั่งใจไว้
“นายหน้าคุณโทรมาหาฉันตั้งสามสาย กระดิ่งสะกดปีศาจก็ส่งมาแล้ว ฉันไม่ตื่นก็คงไม่ไหว ถึงยังไงซะตอนนี้ฉันก็เป็นคนของตู้มหาสมบัติ” ซูเหลียนเยวี่ยหันกลับมามองสวีหยางอี้ด้วยสายตาซับซ้อนพลางเอ่ย “นี่คือเหตุผลที่ฉันยอมจ่ายด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดของฉัน…คุณถึงขนาดฆ่าปีศาจบ้าคลั่งได้…นอกจากคุณแล้ว ฉันก็ไม่มีคนอื่นให้ขอร้องอีก”
เธอวางกระดิ่งไว้บนโต๊ะ มันเป็นกระดิ่งบนคอของเมาปาเอ้ออันนั้นเอง ซูเหลียนเยวี่ยหยิบกระดิ่งนั้นมาโยนขึ้นเบาๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ตู้มหาสมบัติของเราเหมาปีศาจบ้าคลั่งของคุณ สามล้าน”
สวีหยางอี้เลิกคิ้วขึ้น เขากำลังจะก้าวเข้าสู่เส้นทางการฝึกบำเพ็ญตนที่แท้จริงแล้ว เข้าไปสู่แม่น้ำสายยาวที่คนนับหมื่นแก่งแย่งแข่งขันกันเพื่อจะข้ามไป เคล็ดลับการฝึกตนทั้งสี่ประการ ได้แก่ ทรัพย์ วิธี สหาย หลักแหล่ง[1] เงื่อนไขทางทุนทรัพย์มาเป็นอันดับแรก สำหรับนักฝึกตนแล้วไม่ว่าเงินจะมากมายเท่าไรก็ยังไม่พอ เงินสามล้านก้อนนี้บวกกับอีกห้าล้านจากบริษัทปรุงยานั่น ก็เป็นแปดล้านหยวน เพียงพอจะทำให้เขาบรรลุถึงขั้นเลี่ยนชี่ขั้นกลางได้
เดิมทีเขาก็อยู่จุดสูงสุดในระดับต้นแล้ว เหลือแค่ความพยายามขั้นสุดท้ายเท่านั้น ฆ่าปีศาจคลั่งตนนี้ทิ้งเสีย บริษัทปรุงยานั่นส่งเงินมาห้าล้าน ซูเหลียนเยวี่ยให้มาอีกสามล้าน เขาก็มั่นใจเต็มที่ว่าต้องบรรลุขั้นเลี่ยนชี่ขั้นกลางได้แน่
“มีค่าถึงสามล้านจริงๆ เหรอ” เขามองตาซูเหลียนเยวี่ยพลางเอ่ยถาม
“ไม่ถึงหรอก” ซูเหลียนเยวี่ยหลบสายตาเขา ก่อนจะเอ่ยเรียบๆ “ปีศาจคลั่งแบบสมบูรณ์ทั้งตัวราคาสามล้าน ของคุณน่ะอย่างมากสุดก็แค่ห้าถึงเจ็ดหมื่นเท่านั้น ปีศาจขั้นเลี่ยนชี่ไม่ได้มีราคานักหรอก…ถ้าเป็นปีศาจขั้นจู้จีทั้งตัวสิ ถึงจะเรียกว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของจริง”
“คุณไม่จำเป็นต้อง…”
“แต่ชีวิตน้องสาวฉันมีค่าพอ” ซูเหลียนเยวี่ยมองคอมพิวเตอร์ สีหน้าเธอไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ทว่าสวีหยางอี้กลับสังเกตเห็นหยาดน้ำตาที่หางตาเธอได้อย่างว่องไว “การฝึกตนต้องใช้เงินเท่าไรฉันไม่รู้ สาขาย่อยเป็นยังไงฉันก็ไม่รู้”
“จะเหาะเหินเดินอากาศได้หรือเปล่า จะมีพลังแกร่งกล้าไหม จะได้เจอกับผู้อาวุโสขั้นจู้จีที่ราวกับเทพเซียนหรือเปล่า ฉันก็ยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่…ฉันรู้แต่ว่า…” เธอหันมามองสวีหยางอี้ “คุณต้องใช้เงิน”
“บางทีคุณอาจจะเห็นว่าร่างกายของฉันไม่มีค่าอะไร และฉันเองก็ให้หินวิญญาณคุณไม่ได้ แต่ฉันให้เงินที่คุณสามารถเอาไปใช้จ่ายแลกเปลี่ยนมาได้ เงินสามล้านหยวนนี้ต่างหากที่เป็นค่ามัดจำที่แท้จริง”
สวีหยางอี้จ้องเธออยู่นานถึงได้พยักหน้า “สำหรับคำไหว้วานแรกของฉัน ฉันไม่เสียดาย”
ซูเหลียนเยวี่ยหลุบตาลงหากก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
เวลาค่อยๆ พัดผ่านคนทั้งสองไปอย่างเงียบสงบ โดยไม่มีเรื่องของความรักเข้ามาเกี่ยวข้องเช่นนี้เอง เนิ่นนานสวีหยางอี้ถึงได้เอ่ยขึ้น “ผมต้องไปแล้ว”
ซูเหลียนเยวี่ยยังคงมองคอมพิวเตอร์ ผ่านไปอีกเนิ่นนานเช่นกันกว่าที่เธอจะเอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง “กลับเทียนเต้า?”
เขาไม่ได้ตอบ แต่คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว
“ช่วยอะไรฉันเล็กๆ น้อยๆ หน่อยได้ไหม” ซูเหลียนเยวี่ยผุดลุกขึ้นยิ้มบางๆ “ช่วยถ่ายรูป…สาขาย่อยมาให้ฉันดูทีว่ามันเป็นยังไงกันแน่…”
“ฉันวาดฝันมาโดยตลอดว่าทิวทัศน์หลังประตูนั้นมันจะเป็นยังไง…คุณสวี ฉันพูดจริงๆ นะ ฉันล่ะอิจฉาคุณจริงๆ…ฮวาซย่ามีนักศึกษานับล้านที่ถูกเขี่ยทิ้ง…ฉันเชื่อว่าทุกคนต่างก็อยากรู้ทั้งนั้น ว่าสถานที่ที่แม้แต่หลับฝันก็ยังเฝ้าปรารถนามันเป็นยังไงกันแน่”
“เป็นเหมือนที่ในนิยายเขียนไว้ ว่ามีบ่อน้ำพุวิเศษผุดขึ้นมา มีสัตว์เทพเหาะเหินไปมากันรวดเร็ว ฉันอยากจะเห็นมันด้วยตาของตัวเองมาโดยตลอด มาโดยตลอดจริงๆ…แต่ว่า…” เธอยิ้มขมเฝื่อนแล้วสะบัดศีรษะ “ฉันไม่มีโอกาสนั้นแล้ว”
“ชีวิตหน้าที่การงานของคุณกำลังก้าวไปข้างหน้าจริงๆ แล้ว ซึ่งมันถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าให้เจิดจ้าสว่างไสวเหนือคนธรรมดา คุณสวี…” เธอยิ้มพลางเอาสร้อยคอเส้นหนึ่งใส่ให้บนลำคอของสวีหยางอี้
“ในนั้นเป็นรูปน้องสาวฉัน”
สวีหยางอี้จับจี้สร้อยคอที่หน้าอกแล้วพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นก็ผลักประตูเดินออกไป
ข้างนอกห้องอากาศแจ่มใส
เมื่อเขากลับมาถึงห้องผู้ป่วย เมาปาเอ้อก็กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเขาพอดี พอเห็นเขาเดินเข้ามาก็เบะปากใส่อย่างดูแคลน ก่อนจะแค่นเสียงเย็นๆ ใส่
“เก็บของเสร็จเรียบร้อยหรือยัง”
ไม่สนใจ
งอนหรือ
สวีหยางอี้เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะเข้าไปตบหัวสุนัขของมันเข้าให้ ทว่าก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา
“นายไม่รักฉันแล้ว…” เนิ่นนาน เสียงถอนหายใจเบาๆ ถึงได้ดังขึ้น “ฉันตกกระป๋องแล้ว…”
“เอากลิ่นผู้หญิงมายั่วหมาไร้คู่อย่างฉัน….นายยังมีความเป็นคนอยู่หรือเปล่า”
และแล้ววินาทีต่อมานั้นเองมันก็ถูกถีบกระเด็นลงไปที่พื้น
“เก็บของ ติดต่อสาขาย่อยด้วย ดูว่าช่วงนี้มีนักศึกษาทำภารกิจสำเร็จมากพอจะขึ้นเครื่องหรือเปล่า ฉันจะกลับสาขาย่อยก่อนกำหนด”
ต้องกลับก่อนกำหนดแน่ล่ะ!
ในมือเขามีเงินก้อนใหญ่อยู่ก้อนหนึ่ง และมันก็แลกเปลี่ยนเป็นหินวิญญาณได้แค่ที่เทียนเต้าหรือไม่ก็แหล่งทรงอิทธิพลแห่งการฝึกตนเท่านั้น!
ที่นั่นเป็นที่ที่เขาเริ่มหัดบิน เขาแทบรอที่จะเตรียมตัวก้าวไปสู่โลกใบใหม่ที่สวยงามไม่ไหวแล้ว!
เดินออกจากหอคอยงาช้างไปพิชิตโลกใบใหม่!
“ไม่ต้องแล้ว” เมาปาเอ้อสะบัดขน ราวกับว่าสุนัขท่าทางหดหู่เมื่อครู่ไม่ใช่มันเสียอย่างนั้น “สาขาย่อยเมืองเฟิงอี้ เมืองหลวงประจำมณฑลหนานทงส่งข้อความมาเชิญนายไปขึ้นเครื่องเย็นวันพรุ่งนี้ จะมีเครื่องบินที่บินกลับไปสาขาย่อยลงจอดที่สนามบินกองทัพเมืองอวี๋หยางชั่วคราว”
“เชิญฉันไปขึ้นเครื่องงั้นเหรอ” สวีหยางอี้ที่กำลังเก็บข้าวของอยู่ มือพลันหยุดชะงักลงพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเทียนเต้าต้องให้ทำเรื่องติดต่อไปที่สาขาย่อยให้แล้วเสร็จเสียก่อน สาขาย่อยถึงจะจัดเครื่องบินมาให้ ทำไมถึงติดต่อมาแจ้งเรื่องเวลาสถานที่กับฉันเองได้”
“เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้ด้วย” เมาปาเอ้อยักไหล่ท่าทางเหมือนมนุษย์” ไม่แน่ว่าอาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังในการตกลงซื้อขายกันก็ได้”
สวีหยางอี้คิดอยู่พักใหญ่แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาไม่รู้เลยว่าการที่ตนโทรติดต่อกลับไปที่สาขาย่อยของเทียนเต้านั้น ดึงดูดความสนใจของคนมากน้อยแค่ไหน
เวลาสองวัน อีกแค่ไม่นานก็มาถึงแล้ว
ยามค่ำคืน สายลมหวีดหวิวบาดผิวราวกับมีดพัดเข้าที่ใบหน้าของสวีหยางอี้ สายตาเขาจับจ้องอยู่บนผืนฟ้าสีดำสนิท ทว่าในใจกลับร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก
ในที่สุด…ตนก็เรียนจบแล้ว…
กำลังจะลาจากสำนักย่อยแห่งเมืองอวี๋หยางที่ตนใช้ชีวิตอยู่นานนับสิบสามปี และมุ่งหน้าไปสู่โลกใบใหม่ที่แท้จริง
ที่นั่นจะมีอะไรกันแน่นะ บนโลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลายนี้ การที่คนกับปีศาจอยู่ร่วมกันได้บนโลกใบเดียวกันมันเป็นอย่างไร เมืองเก่าแก่อย่างนครรัฐวาติกัน ลอนดอน ฮวาตู[2]ล้วนเป็นที่ที่เต็มไปด้วยตำนานปรัมปราเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่าและแวมไพร์…พวกเขาจะอยู่กันเป็นกลุ่มองค์กรเหมือนเทียนเต้าหรือเปล่านะ พวกนักรบไร้พ่ายในคราบนักบุญ นักพรตไล่ผี ที่แท้มีอยู่จริงหรือเปล่า
บนโลกใบนี้…ยังมีสิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์ที่ยังหลงเหลืออยู่อีกมากแค่ไหนกันแน่
สิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์พวกนี้…พวกมันอยู่ร่วมกับฝูงชนเหมือนกาฝากได้ยังไง
แล้วรัฐบาล…ใช้วิธีการอะไรควบคุมพวกมันกันแน่ ถึงได้ทำให้สิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงอยู่ร่วมกันได้บนดาวเคราะห์ดวงเดียวกัน
เขาเรียนอะไรมามากมายในโรงเรียน จนตอนนี้มันกลายเป็นความคาดหวังที่ไหลมาบรรจบกันเป็นสายธาร และไหลผ่านเข้าสู่ห้วงหัวใจเขาไม่หยุดหย่อน
หลังจากเรียนจบเขายังมีเวลาไปไขความจริงของโลกใบนี้ ไปชมอีกด้านหนึ่งของแสงสว่าง ด้านมืดที่ถูกซ่อนเร้นเอาไว้หลายพันปีและไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้อีกมาก
รวมทั้ง…กองทัพนักฝึกตนนับล้านจากทั่วทั้งโลกที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน ไม่ต่างกับที่ต้องผ่านการคัดเลือกที่เทียนเต้า!
“ไม่สิ…” ดวงตาเขาพลันเป็นประกายขึ้นมา ก่อนจะกำหมัดหนักหน่วง “ยังมี….นาย!”
“ไปตายซะ…ไอ้ลูกครึ่งพันธุ์ผสมเอ๊ย…” เขาหรี่ตาแหงนหน้าขึ้น “ปีนั้นไม่ได้ฆ่าฉันถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของนายแล้ว!”
เมาปาเอ้อนั่งเครื่องบินอีกลำหนึ่งกลับไป เนื่องจากเขากับสวีหยางอี้มีฐานะไม่เหมือนกัน จึงไม่อาจโดยสารกลับไปในลำเดียวกันได้
“หึ่มๆๆๆ…” ชั่วขณะนั้นเอง เสียงกระหึ่มลั่นก็ดังลงมาจากบนฟ้า ทันทีที่สวีหยางอี้มองไปก็สังเกตเห็นเครื่องบินทหารสำหรับขนลำเลียงขนาดย่อมกำลังร่อนลงจอดยังสนามบินอันเงียบสงบอย่างไม่ยากเย็นนัก
เขาระบายยิ้มออกมา เพราะสังเกตเห็นสัญลักษณ์มังกรขดเป็นวงกลมกับกระบี่สะดุดตานั้นแล้ว
เครื่องบินส่วนตัวประจำเทียนเต้า!
“ไปกันเถอะ” สวีหยางอี้ยืนอยู่ภายใต้ใบพัดนั้น พลางมองเครื่องบินที่ดูจะลำใหญ่ขึ้นทุกทีด้วยสายตาเหม่อลอย “ให้ฉันได้วิ่งไปหาความจริงที่รอฉันมาตั้งสิบสามปีสักทีเถอะ”
ความจริงของโลกใบนี้!
ความจริงของประวัติศาสตร์!
ความจริงของมนุษยชาติ!
เครื่องบินค่อยๆ ร่อนลงจอดบนสนามบินช้าๆ ชายร่างสูงใหญ่สวมชุดทหารลายพรางมองสวีหยางอี้แล้วเดินลงมาหา ก่อนจะยกมือขึ้น “ผู้มาเยือนโปรดหยุดก่อน”
สวีหยางอี้กดความร้อนรุ่มไว้ในอก แล้วเดินไปตรงหน้าอีกฝ่าย มือซ้ายกำหมัดแล้วออกแรงกระแทกที่ตรงหัวใจ “นักศึกษาเข้าทดสอบเพื่อจบการศึกษาสำนักเทียนเต้า สวีหยางอี้ ขออนุญาตขึ้นเครื่องครับ!”
ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไร หากก็ยกกำปั้นขึ้นกระแทกหน้าอกตรงหัวใจเช่นเดียวกัน จากนั้นค่อยใช้มือซ้ายดีดลูกบอลเรืองแสงสีเขียวขนาดเท่าเม็ดถั่วลอยมาตรงหน้าสวีหยางอี้ มันวนรอบดวงตาและนิ้วมือของเขารอบหนึ่งแล้วก็ลอยกลับอยู่ที่ปลายนิ้วของอีกฝ่ายดังเดิม
“ม่านตาตรงกัน รอยนิ้วมือตรงกัน” ใบหน้าแข็งทื่อราวกับก้อนหินของชายคนนั้น ในที่สุดก็เผยยิ้มออกมา “ยินดีต้อนรับน้องใหม่! ฉันชื่อจั่วหลุนเป็นไกด์นำทางของพวกนาย ยินดีต้อนรับเข้าสู่ความจริงแท้ที่ไม่ได้ถูกบันทึกบนหน้าประวัติศาสตร์!”
“นักศึกษาเลขที่ 1 เชิญขึ้นเครื่องได้!”
สวีหยางอี้ค่อยๆ เดินขึ้นไปบนเครื่อง ก่อนจะพบว่าบนนั้นมีคนเก้าคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว
เก้าคนนี้มีรังสีเหมือนเขาไม่มีผิด
แต่สิ่งที่เหมือนกันนั้นไม่ใช่ภาพที่แสดงออกมา หากเป็นกลิ่นคาวเลือดต่างหาก…เพิ่งสังหารปีศาจเสร็จกลับมา เพิ่งจะผ่านการสอบจบการศึกษามา เป็นนักล่าปีศาจที่ครอบครัวถูกปีศาจสังหารจนวายวอดเหมือนกันกับเขา!
พวกเขาสวมชุดลายพรางสีอ่อน บ้างก็เป่าหมากฝรั่งเล่นอย่างไม่แยแส บ้างก็เหลือบตามามองแล้วหลุบตาลง ภายในบรรยากาศอันเงียบสงบนั้นแฝงไว้ด้วยกลิ่นฝาดๆ จากโลหิต เขาจึง…
ยิ้มออกมา
เขาชอบกลิ่นของพวกเดียวกันแบบนี้แหละ
“ไฮ” เขายกมือโบกอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก ก่อนจะหาที่ว่างแล้วเตรียมจะนั่งลง
“ป้าบ!” แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีสิ่งหนึ่งฟาดลงบนที่นั่งที่เขาคิดจะนั่งทันที
คนหนุ่มสูงราวร้อยเก้าสิบเซนติเมตร อายุราว 21-22 ปีไม่ต่างกับเขา คิ้วหนาดกดำ หน้าตาหล่อเหลาเอาการ หากบอกว่าเป็นดารานักแสดงก็คงไม่นับว่าเกินไปนัก รอยแผลเป็นจากมีดเรียวยาวที่ด้านล่างตาข้างซ้ายยิ่งขับให้อีกฝ่ายดูดุดันขึ้นไปอีก เจ้าของผมยุ่งตาปรือนั้นกำลังเล่นเกมโทรศัพท์ในมืออีกข้างหนึ่ง ขาเรียวยาววางเหยียดอยู่กลางทางเดินอย่างเกียจคร้าน ปิดตายทางเดินของสวีหยางอี้ไว้
ไม่มีใครนั่งข้างๆ เขาแม้แต่คนเดียว คนอื่นๆ ยอมนั่งด้วยกันสองคน แต่ไม่มีใครยอมนั่งกับเขา
จั่วหลุนกวาดสายตามองอยู่แวบหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงเดินไปยังห้องพักผ่อนส่วนตัว ราวกับเห็นเรื่องพวกนี้จนชินชา
สวีหยางอี้เหลือบมองไปที่มือข้างนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะเหลือบไปมองสายตาคลุมเครือของคนอื่นๆ บนเครื่อง
“ไสหัวไป” น้ำเสียงของอีกฝ่ายทุ้มต่ำมาก ทั้งยังไม่เผยอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ให้เห็นทั้งนั้น หากในขณะเดียวกันดวงตาคู่นั้นก็ไม่ได้ละออกจากโทรศัพท์มือถือแม้แต่น้อย
สวีหยางอี้เผยยิ้มแล้ววางกระเป๋าลงเบาๆ ก่อนจะนวดต้นคอส่งเสียงดังกึกกัก
หลังจากมองอีกฝ่ายได้สามวินาที ไม่ทันพูดอะไรก็เอี้ยวตัว แล้วพลันโน้มไปยกเท้าถีบทันที!
——————————————————————————–
[1] ทรัพย์ วิธี สหาย หลักแหล่ง (财法侣地) มาจากหลักการฝึกตนเพื่อบำเพ็ญเป็นเซียนในลัทธิเต๋า กล่าวเอาไว้ว่า หากจะบำเพ็ญเพียรให้สำเร็จนั้น ต้องประกอบไปด้วยปัจจัยสี่ประการ ได้แก่ 1. ทรัพย์ หมายถึง ผู้ฝึกตนต้องมีพื้นฐานทางการเงินที่ดี เนื่องจากการฝึกตนต้องใช้ความตั้งใจและเวลาเป็นอย่างมาก ไม่อาจปันเวลาไปหาเลี้ยงชีพได้ หากปราศจากเงื่อนไขข้อนี้ก็ยากจะฝึกตนได้สำเร็จ 2. วิธี หมายถึง ผู้ฝึกตนต้องดำเนินอยู่บนหลักการฝึกตนที่ถูกต้อง 3. สหาย หมายถึง ผู้ฝึกตนต้องมีสหายเซียนซึ่งอยู่บนหนทางฝึกตนเดียวกัน 4. หลักแหล่ง หมายถึง สถานที่สำหรับฝึกตน สถานที่ฝึกตนที่ต่างกน ย่อมนำมาซึ่งผลฝึกตนที่ต่างกัน
[2] ฮวาตู(花都) คือ เมืองแห่งหนึ่งในมณฑลก่วงตง