ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 22 มุ่งหน้าไปสาขาย่อย (2)
แรงโจมตีรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด พร้อมเสียงลมถูกแหวกผ่านดังรางๆ ถ้าเป็นคนธรรมดาถูกถีบเข้าครั้งนี้ อย่างน้อยก็น่าจะกระดูกหัก!
“ตึง!” ชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเอง เท้าของสวีหยางอี้ก็ถูกอีกฝ่ายจับเอาไว้ในมือ
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น สายตาทั้งคู่พุ่งชนกันกลางอากาศราวสายฟ้าฟาดกระหน่ำ จนคล้ายว่าได้ยินเสียงดาบฟาดฟันกังวานเป็นจังหวะ ทั้งสองต่างจ้องอีกฝ่ายตาเขม็งราวสัตว์ป่า
สวีหยางอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย เขารู้ดีว่าฉายาอันดับหนึ่งแห่งเมืองอวี๋หยางของตนได้มาได้อย่างไร มันเป็นเพราะเขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของนักศึกษาทั้งหมด หากเขาใช้เท้าข้างนี้เตะไปออกเครื่องบินล่ะก็ แผ่นเหล็กคงยุบเป็นหลุมใหญ่แน่
ทว่าตอนนี้เขากลับเหมือนถูกพันธนาการไว้ด้วยลวดเหล็กจนดิ้นไม่ได้หลุด
พลังกับสิ่งที่เห็นภายนอกของอีกฝ่ายไม่ด้อยไปกว่าเขาเลยสักนิด!
เขาตะลึงอยู่ในใจเล็กน้อย เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้าเองก็จ้องเขาตาไม่กะพริบเหมือนกัน เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าตัวเองจะถึงกับถูกอีกฝ่ายเตะจนเซได้!
เพียงไม่นาน ก็ราวกับมีแรงโจมตีมหาศาลพุ่งเข้ามาปะทะที่หน้าเขา! ทำเอาเขาเจ็บจุกอยู่ที่ลิ้นปี่จนแทบร้องออกมา
สวีหยางอี้แผ่พลังจิตกระจายออกไป เขาสัมผัสได้อย่างแจ่มชัดว่ากล้ามเนื้อบริเวณกระดูกสะบัก ต้นแขน และท่อนแขนของอีกฝ่ายกำลังออกแรงอย่างรวดเร็ว จึงเอนกายไปด้านหลังแล้วพลันยกเท้าถีบฝ่ายตรงข้ามไปสุดแรง!
ในเมื่อฉันสลัดมือแกไม่หลุด ถ้าอย่างนั้นก็เตะมือแกเข้าไปในหน้าอกซะ!
“ป้าบ!” วินาทีต่อมา เด็กหนุ่มพลันรู้สึกว่ามีพลังขุมหนึ่งทะลักออกมาจากรองเท้าทหารราวกับมหาสมุทร ทันใดนั้นนัยน์ตาเขาก็เป็นประกายขึ้นมาพลางเกร็งมือต้านแรงเตะของสวีหยางอี้เอาไว้อีกครั้ง
ทว่า…
เขาลุกขึ้นยืนแล้ว
ไม่รู้ว่าโทรศัพท์ถูกโยนไปบนที่นั่งตั้งแต่เมื่อไร เขาไม่เห็นมันตั้งแต่แรกเลยด้วย ถูกเตะครั้งที่หนึ่ง เขาจ้องกลับด้วยสายตาเดือดดาล พอถูกเตะครั้งที่สองเขาก็รู้แล้วว่า ถ้าตัวเองยังนั่งอยู่คงต้องถูกเตะเข้าไปในตู้แน่!
“ฉิบ…” นักศึกษาคนหนึ่งบนเครื่องบินสะดุ้งเฮือก “ตอนแรกฉันนึกว่าไอ้เด็กนี่เจ๋งสุดแล้ว…ไม่นึกว่าไอ้คนที่มาล่าสุดนี่…จะโหดเหมือนกัน!”
“เด็กนั่นเป็นมือวางอันดับหนึ่งของเมืองเทียนเฟิง…” นักศึกษาทุกคนต่างข่มกลั้นความตื่นตะลึงจากการเห็นฉากเมื่อครู่เอาไว้ อีกฝ่ายอารมณ์ร้ายแค่ไหนทุกคนต่างรู้กันดี พอขึ้นมาบนเครื่องแล้วก็ไม่มีใครกล้านั่งข้างเขา เขาเองก็คล้ายว่าไม่ชอบให้ใครมานั่งข้างๆ เอาเสียเลย แต่ถึงอย่างนั้น…
ก็ไม่มีใครทำให้เขาลุกขึ้นยืนได้!
หนึ่งคน สองคน สามคน ทุกคนล้วนลองมาหมดแล้ว กระทั่งทำให้เขาเคลื่อนสายตาจากโทรศัพท์ก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ!
แต่ด้วยการเตะสองครั้งของสวีหยางอี้ ทำให้เขาลุกขึ้นมายืนทำท่าถมึงทึงจนได้
บนเครื่องบินเงียบสนิทราวไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ มีเพียงเสียงใบพัดดังหวูดๆ เท่านั้น
แววตาสวีหยางอี้พลันฉายประกายเย็นเยียบขึ้นแวบหนึ่ง มัดกล้ามเนื้อที่ต้นขาทุกส่วนขยายตัวขึ้น เขาจึงเหยียบอีกฝ่ายจนสุดแรงเป็นครั้งที่สามทันที
“เฮอะ…” เสียงแค่นจมูกดังมาลอดไรฟันเด็กหนุ่มออกมาในที่สุด ทว่าพร้อมกันนั้นเอง แผ่นหลังของเขาก็ชนเข้ากับเครื่องบินดัง “ตึง”!
มือที่จับรองเท้าทหารของสวีหยางอี้ไว้และมีเส้นเลือดปูดนูนขึ้นมานั้น ถูกเท้าของสวีหยางอี้เหยียบติดไว้กับหน้าอก!
ในวินาทีนั้นเอง สวีหยางอี้ก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าพลังในร่างของอีกฝ่ายกำลังก่อตัวขึ้น เขาแทบไม่ต้องคิดก็ชักเท้ากลับทันที
ทว่าเด็กหนุ่มก็ไม่ได้โจมตีออกไปเช่นกัน สายตาของคนทั้งสองเย็นเยียบดุจมีดดาบ ผ่านไปหลายวินาทีเด็กหนุ่มถึงได้มองเขาอย่างจริงจังก่อนจะเอ่ยเสียงขรึม “อันดับหนึ่ง?”
“เอ๋?” สวีหยางอี้ยิ้ม “นายรู้ได้ยังไง”
“เพราะฉันก็ใช่” เด็กหนุ่มเลียริมฝีปากท่าทางราวกับหมาป่า “นอกจากมือวางอันดับหนึ่งแล้ว ไม่มีใครเตะฉันคืนได้”
“ฉันจะจำนายไว้ เด็กน้อย”
สวีหยางอี้เก็บท่าทางของตัวเอง จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกกระเป๋าตัวเองขึ้นมาโยนไปข้างๆ เด็กหนุ่มจนส่งเสียงดัง ก่อนจะนั่งลงบนที่นั่งตรงนั้น
คราวนี้เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงเล่นเกมอย่างใจจดใจจ่อ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งคู่อย่างไรอย่างนั้น
คนอื่นๆ เองก็ดึงสายตากลับไปอย่างไร้ซุ่มเสียง
มันเป็นเกมของลูกผู้ชาย ไม่ต้องใช้ตัวอักษร และไม่ต้องการคำอธิบาย
ปลาใหญ่กินปลาเล็ก…มันก็ง่ายดายอย่างนี้เอง
เครื่องบินบินวนขึ้นบนฟ้าส่งเสียงดังกระหึ่ม กระทั่งสิบนาทีผ่านไป อยู่ๆ ชายหนุ่มที่ดูโทรศัพท์ก็พลางถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “นายชื่ออะไร”
สวีหยางอี้เอนศีรษะพิงพนักบนที่นั่งแล้วหลับตาลง ผ่านไปหลายวินาทีถึงได้ตอบด้วยท่าทีเกียจคร้าน “สวีหยางอี้”
เด็กหนุ่มพยักหน้า “ฉู่เจาหนาน”
“อันดับหนึ่งของเมืองเทียนเฟิง”
ไร้ซึ่งบทสนทนาตลอดเส้นทาง
เมื่อผ่านบททดสอบการต่อสู้อย่างจริงจังมาแล้ว ทั้งคู่ก็คล้ายว่าจะสงบลงมาก หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พอได้บันดาลโทสะที่สะสมอยู่ในใจมานานหลายปี อารมณ์ของพวกเขาก็กลับคืนสู่ความสงบลงได้เสียที
สวีหยางอี้หลับตาพักผ่อนราวว่าไม่สนใจการมีตัวตนของอีกฝ่าย จนไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว อาจจะสิบนาที หรือสิบห้านาที เขาถึงได้ลืมตาขึ้นเงียบๆ
สองวินาทีต่อมา ฉู่เจาหนานถึงได้เก็บมือถือของตัวเอง
ทั้งสองคนหรี่ตาลงพร้อมกัน ก่อนจะมองไปยังประตูห้องโดยสารด้านหน้าที่ปิดสนิทอยู่
“เพื่อนนักศึกษาทุกคน” แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงๆ หนึ่งก็ดังมาจากด้านหน้า ทำเอาทุกคนราวกับถูกเข็มแทงจึงอดเงยหน้าขึ้นมาทันทีไม่ได้
พลังกดดันวิญญาณสุดแข็งแกร่ง!
พลังกดดันวิญญาณ คือการที่นักฝึกตนปลดปล่อยพลังของตนออกมาภายนอก จะมีก็แต่ขั้นหยวนอิงในตำนานที่ไม่อาจพบเจอได้ปัจจุบันแล้วเท่านั้นถึงจะสามารถปลดปล่อยพลังนี้ออกมาทำร้ายศัตรูได้ ไม่อย่างนั้นก็เป็นได้เพียงแค่การกดดันข่มขู่ในรูปแบบหนึ่งเท่านั้น
สั่นสะท้านไปทุกอณูขุมขนราวกับกำลังเดินอยู่บนแอ่งน้ำ กระทั่งหายใจและปล่อยให้หัวใจเต้นก็ยังลำบากเหมือนกับตกลงไปในหลุมสุญญากาศ
เลี่ยนชี่ขั้นปลายงั้นเหรอ!
เสียงรองเท้าหนังทหารดังกริ๊กๆๆ อยู่ที่หน้าประตูราวกับกำลังเสียงดีดเปียโนตามโน้ตดนตรี จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออกเบาๆ
“สวัสดีเพื่อนนักศึกษาทุกคน ตำแหน่งของฉันไม่สำคัญหรอก ถ้าทุกคนโชคดีได้เข้ามาในเทียนเต้าแล้วก็จะได้รับฉายาเป็นของตัวเอง พวกเธอจะเรียกฉันว่า ‘C-ติงเซียง’ ก็ได้ ด้านหน้านั่นเป็นระดับในเทียนเต้าของฉัน ส่วนด้านหลังเป็นฉายา แต่ในขณะเดียวกันฉันก็ต้องจำใจบอกกับทุกคนว่า ระดับ C เป็นระดับที่ต่ำที่สุด”
เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยมากคนหนึ่งทีเดียว
ดวงตาของเธอไม่ได้เป็นดวงตาตามแบบฉบับหญิงสาวตาโต ทว่าเธอมีดวงตาสองชั้นเรียวยาวดุจนกการเวก ยามลืมตาขึ้นทั้งงดงามจับตาและดุดันไปในเวลาเดียวกัน หรืออาจพูดได้ว่าเป็นดวงตาสารพัดอารมณ์ความรู้สึก ในดวงตาเรียวเล็กใต้เรือนคิ้วงามนั้นเย้ายวนดุจพระจันทร์เสี้ยว ไม่ปรากฏไอสังหารเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าเรียวยาวประดับไว้ด้วยรอยยิ้มเจิดจ้าเปล่งประกาย ลักยิ้มสองข้างที่มองเห็นได้ไม่ชัดเจนนักช่วยขับให้เธอดูเป็นมิตรและน่าสนิทชิดเชื้อมากเป็นพิเศษ
จมูกโด่งได้รูปกับริมฝีปากแดงอวบอิ่มราวว่าจะมีน้ำหยดลงมาเสียให้ได้ บวกกับเสื้อกั๊กลายพรางที่เปิดเผยให้เห็นอย่างไม่คิดถือสา ยิ่งช่วยขับเน้นให้หน้าอกหน้าใจอันสมบูรณ์แบบของเธอดูโดดเด่นขึ้นกว่าเดิม…น่าจะคัพ D ถึง E โดยประมาณ
เอวบางอ้อนแอ้นจนแทบจะกำรอบด้วยฝ่ามือนั้น ยามขยับเคลื่อนย้ายไปมาอย่างไม่ตั้งใจยังแฝงไว้ด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหล กางเกงขายาวลายพรางพอมาอยู่บนร่างเธอแล้วกลับกลายเป็นอีกสไตล์หนึ่งที่แตกต่างออกไป ทั้งผมยาวเป็นลอนคลื่นตกระลงมาลาดไหล่กับรอยสักรูปดอกติงเซียง[1]บนหัวไหล่แสนดุดันนั้น ถึงกับทำเอาเหล่าคนหนุ่มเลือดร้อนที่ไม่ได้เจอหญิงสาวมานานหลายปีหายใจหอบกระชั้นขึ้นมาจนเห็นได้ชัด
และตอนนี้ หญิงสาวหน้าตาสะสวยคนนี้ก็กำลังแนะนำตัวเองด้วยท่าทีสนิทสนมตั้งแต่แรกพบ
“ก่อนอื่น ฉันขออวยพรล่วงหน้าให้ทุกคนสอบเรียนจบได้อย่างราบรื่นสมบูรณ์ ในฐานะเจ้าพนักงานพิเศษของ ‘สำนักงานสอบสวนพิเศษใหญ่แห่งกองทัพหวาเซี่ย’ ‘ChinaSpecialInvestigationBureau’ หรือเรียกสั้นๆ ว่า CSIB แห่งมณฑลหนานทง ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับทุกคน” เธอพลันหันมายิ้มหน้าบานแล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างกายสวีหยางอี้ ก่อนจะใช้ไหล่กรุ่นกลิ่นหอมนั้นชนเขาเล็กน้อย “รูปหล่อ ขอนั่งนี่ได้ไหม”
สวีหยางอี้ไม่ได้ตอบ เพราะติงเซียงนั่งลงก่อนที่เขาจะได้พยักหน้าเสียอีก ทั้งยังเอาร่างกายส่วนบนที่อ่อนนุ่มและหอมกรุ่นมาพิงอยู่บนร่างเขาโดยไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อยอีกด้วย
“เหลืออีกประมาณครึ่งชั่วโมงจะถึงเมืองเฟิงอี้” ติงเซียงยิ้มเอ่ย “ก่อนจะถึงตอนนั้น ฉันมีคำถามอยากจะถามทุกคนสักหน่อย ขอให้ทุกคนตอบฉันมาตามความสัตย์จริงด้วย”
เธอลุกพรวดขึ้นพลางใช้มือหนึ่งลูบคางตัวเอง นัยน์ตาใสเป็นประกายคู่นั้นเจือแววระลอกคลื่น “มีเวลาไม่มาก พี่สาวเองก็ไม่ชอบคนอ้อมค้อมน่ะนะ คำถามของฉันก็คือ พวกเธอมีเงินไหม”
เพียงประโยคนั้นประโยคเดียวก็ทำเอาใบหน้าของทุกคนในที่นั้นชะงักค้างแข็งไปตามๆ กัน
เบี้ยเลี้ยงจากเทียนเต้าสมควรตายนั่นก็มีแค่หนึ่งพันหยวนเท่านั้น! เงินหนึ่งพันที่น่าสงสาร! ยังต้องมาถูกผู้หญิงคนหนึ่งขอไปต่อหน้าทุกคนอีก!
“ไม่ใช่เงินเป็นแสนเป็นล้านหรอก” ติงเซียงกะพริบตาที่แสนขี้เล่นคู่นั้น ทว่าทุกคนกลับไม่ได้รู้สึกว่ามันดูขี้เล่นแต่อย่างใด “เพื่อนนักศึกษาทุกคนรู้บ้างไหมว่ากระสุนปลุกเสกจากตู้มหาสมบัตินัดหนึ่งก็ห้าหมื่นหยวนเข้าไปแล้ว อัตราแลกเปลี่ยนหินวิญญาณกับเงินตราในตลาดมืดอยู่ที่สองหมื่นต่อหนึ่ง ซ้ำยังเป็นหินวิญญาณระดับล่างด้วย…หินวิญญาณระดับล่างหนึ่งร้อยก้อนแลกหินวิญญาณระดับกลางได้หนึ่งก้อน หินวิญญาณระดับกลางร้อยก้อนแลกระดับสูงได้หนึ่งก้อน”
เธอยกมือขึ้นเอาผมทัดหู ไม่ได้สนใจสายตาของนักศึกษาบางคนที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย หากยังคงยิ้มเอ่ยด้วยท่าทางสงบนิ่งดังเดิม “หลังจากเริ่มฝึกตนแล้ว เราก็จะพัฒนาไปสู่สิ่งที่เหนือกว่าสิ่งมีชีวิต พูดให้ชัดขึ้นอีกหน่อยก็คือ บนเครื่องบินลำนี้ไม่มีมนุษย์อยู่ มีแต่…ยอดมนุษย์”
“พวกยอดมนุษย์ในหนังฮอลลีวู้ดเมื่อเทียบกับเซียนในขั้นจินตันแล้วยังถือว่าอ่อนแอเกินไป คนอื่นแค่ใช้ช่วงเวลาสั้นๆ ก็สามารถผดุงความสงบสุขของเมืองเล็กๆ ได้แล้ว เหาะเหินเดินอากาศไล่ล่าหาดวงจันทร์ แทบไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ แต่ทุกคนรู้ไหมว่า การที่จะบำเพ็ญเพียรไปถึงขึ้นจินตันได้ เซียนขั้นจินตันคนหนึ่งต้องจ่ายค่าตอบแทนเท่าไร” เธอใช้มือม้วนปอยผมแล้วระบายยิ้มบางๆ “ศาสตราจารย์อวี๋ที่สอนวิชาสถิติการฝึกตนเคยคำนวณเอาไว้…”
เธอหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเน้นย้ำอย่างชัดถ้อยชัดคำ “33.78 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ”
“เหวอ…” “โห…”
ตัวเลขมหาศาลจนน่าสะพรึงทำเอาทุกคนในที่นั้นต่างสะท้านเฮือกด้วยความตกใจ แม้แต่สวีหยางอี้เองก็ยังเลิกคิ้วขึ้นให้กับตัวเลขที่ฟังดูน่าตกใจพวกนั้นด้วยเหมือนกัน
“แล้วทุกคนรู้ค่า GDP ในแต่ละปีของหวาซย่าหรือเปล่า” ติงเซียงควักโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะดึงแก้มหอมกรุ่มของตัวเองแล้วจิ้มลงไปเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยกับทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “68.92 แสนล้าน…หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ หากต้องการบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นเซียนขั้นจินตันแล้วล่ะก็ ต้องใช้เงินอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของหวาซย่า หรือจะบอกว่าเกือบเจ็ดร้อยล้านคนต้องร่วมกันหาเลี้ยงนายคนเดียว นายถึงจะพอมีหวังสำเร็จเป็นเซียนขั้นจินตันขึ้นมาบ้างเล็กน้อย”
“เพราะฉะนั้น เซียนขั้นจินตันถึงจะเรียกว่ายอดคน”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
คำพูดพวกนี้ของติงเซียงมุ่งแฝงความนัยเรื่องหลักฝึกตนสี่ประการที่สามารถเห็นได้ชัดเจนที่สุด และการเปรียบเทียบกับสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนนี้เอง ก็ทำให้ความรู้สึกของนักศึกษาที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม และกำลังเตรียมตัวมุ่งหน้าไปยังสาขาย่อยเพื่อเข้าร่วมพิธีจบการศึกษาพลันหนักอึ้งขึ้นมาชั่วขณะ
“ฉันไม่ได้ขาดเงิน” ฉู่เจาหนานหลับตาลง ไม่คิดจะไว้หน้าสาวสวยพริ้งอย่างติงเซียงเลยแม้แต่น้อย สวีหยางอี้ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วหยักยกริมฝีปากขึ้น
น่าสนใจดีนี่
คาดว่าติงเซียงเองก็ไม่คิดว่าจะเจอไม้นี้เช่นนี้ รอยยิ้มเธอพลันชะงักค้างไปอย่างเห็นได้ชัด ทว่าในวินาทีต่อมาก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
“แต่ขอแค่เข้ามาอยู่ใน CSIB ของพวกเราได้ เรื่องพวกนี้ล้วนไม่ใช่ปัญหา!” ติงเซียงผุดลุกขึ้น รอยยิ้มนั้นเปล่งประกายงดงามจับตา “CSIB เป็นหน่วยงานที่มีประวัติยาวนานของหวาซย่า ไม่ได้ขึ้นกับทั้งสี่เหล่าทัพ ไม่ได้ขึ้นกับกรมตำรวจ หน่วยตำรวจติดอาวุธ และยิ่งกว่านั้นยังเป็นอิสระจากรัฐบาลอีกด้วย ในแต่ละเดือนเรามีเงินสวัสดิการมอบให้สามหมื่นห้าพันดอลลาร์สหรัฐ นี่สำหรับเลี่ยนชี่ขั้นต้นเท่านั้นนะ สำหรับนักฝึกตนที่เพิ่งเข้ามาในเทียนเต้า พอบรรลุถึงขั้นจู้จี เงินจำนวนนี้จะถูกปรับให้สูงขึ้นถึงหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐ! ส่วนขั้นจินตัน…ฮึๆ ถ้าทุกคนโชคดีเข้าสู่ขั้นจินตันที่ตอนนี้ในหวาซย่ามีจำนวนแค่สิบคนได้ล่ะก็นะ อย่าว่าแต่สิบล้านเลย ร้อยล้าน ต่อให้เป็นสักกี่ร้อยล้าน หรือพันกว่าล้านดอลลาร์ ก็ใช่ว่าจะต่อรองไม่ได้”
——————————————————————————– [1] ดอกติงเซียง คือ ดอกไลแลค