ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 23 มุ่งหน้าไปสาขาย่อย (3)
ติงเซียงเพียงดีดนิ้ว เอกสารตั้งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาอยู่ในมือ เธอโบกมือง่ายๆ เพียงครั้งเดียว เอกสารพวกนั้นก็ลอยไปอยู่ในมือทุกคนโดยไม่เปิดโอกาสให้ใครได้ปฏิเสธ เธอยิ้มเอ่ย “นี่เป็นเอกสารแนะนำ CSIB อย่างละเอียด แต่ขอให้โปรดวางใจได้ เราเป็นข้าราชการพลเรือนของหวาซย่า ยังจำได้ไหมว่าหลายปีก่อนการสอบเข้ารับราชการดุเดือดแค่ไหน แต่คุณภาพของเรากับหน่วยงานพวกนั้นไม่เหมือนกันหรอกนะ ทั้งสวัสดิการ เงินประกันบำนาญ มันดีอย่างที่ทุกคนคิดไม่ถึงเชียวล่ะ ต่อให้ทุกคนจะหยุดอยู่แค่ขั้นเลี่ยนชี่ แต่เชื่อฉันเถอะว่า นักฝึกตนแปดในสิบคนก็หยุดก่อนจะไปถึงขั้นจู้จีกันทั้งนั้น อย่างฉันเป็นต้น แต่พวกเธอก็มีโอกาสเป็นคนสำคัญในด้านใดด้านหนึ่งเหมือนฉันได้เหมือนกัน”
แบบนี้เป็นพวกแชร์ลูกโซ่เสียล่ะมั้ง ใช่ไหม
ประโยคนี้วนเวียนอยู่ในใจทุกคนอยู่หลายตลบ แต่ไม่มีใครพูดออกมา
สวีหยางอี้ไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นพวกแชร์ลูกโซ่หรือไม่สักนิด เขาสนใจเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือ CSIB จะให้ผลประโยชน์กับเขาได้หรือไม่
ทันทีที่ได้เอกสารนั้นมา สิ่งที่เขาดูไม่ใช่การแนะนำองค์กร CSIB ที่ยาวถึงเจ็ดหน้ากระดาษ หรือรายชื่อนักฝึกตนที่มีชื่อเสียง หากแต่เป็นสิทธิประโยชน์ที่ CSIB มอบให้ต่างหาก
บนหน้าที่แปดแถวแรกตัวอักษรขนาดใหญ่เรียงกันแถวหนึ่ง ‘มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยชิงหวา…’ และรายชื่อมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงสิบอันดับแห่งหวาซย่า ได้ร่วมมือกันก่อตั้งคลาสเรียนที่ใหญ่ที่สุด หัวข้อใหม่ล่าสุดแห่งวงการการฝึกตน อย่างการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิต และการวิเคราะห์จุดอ่อนการฝึกตนของเผ่าปีศาจตามทฤษฎีดาร์วิน
“ฮู้ว…” สวีหยางอี้พ่นลมหายใจเบาๆ พลางกำหมัดแน่น
นี่ต่างหากสิ่งที่เขาต้องการ!
ดูไปแล้วเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกันสินะ
แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น! ไม่ใช่เลยสักนิด!
เขารู้ดีว่าปีศาจทุกตนมีก้อนผลึกที่ได้รับสืบทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล พวกมันมีร่างปีศาจของตัวเอง และร่างปีศาจนี้…ก็เป็นสิ่งมีชีวิต!
และในเมื่อเป็นสิ่งมีชีวิตก็ย่อมต้องมีจุดอ่อน
ทว่าสิ่งมีชีวิตก็ยังจำแนกย่อยออกเป็นอีกหลายลำดับชั้น ทั้งอาณาจักร ไฟลัม ชั้น อันดับ วงศ์ สปีชีส์ ซึ่งในแต่ละสปีชีส์ก็ยังมีสปีชีส์ย่อยลงไปอีก พืชก็ยังมีการกลายพันธุ์ แต่ละชนิดก็ยังมีอันดับย่อย ชั้นย่อยหลากหลายมากมาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นที่ที่พวกปีศาจถือกำเนิดขึ้นมา
ท่ามกลางวิวัฒนาการโลกกว่าหลายพันล้านปี ปีศาจทุกตนหรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์และอยู่มานานกว่านี้ ก็ยังอยู่บนโลกใบนี้ด้วยการทำตามแบบอย่าง ทว่าทิศทางของเขาชัดเจนมาโดยตลอด และเขาก็ไม่เคยสับสนแม้สักครั้ง
นั่นก็คือ…นักล่าปีศาจตัวจริง
หากไม่ลงมือก็ยังพอว่า หากครั้นได้ลงแล้ว รุนแรงถึงชีวิต
เขาดูต่อไปเรื่อยๆ
เห็นได้ชัดว่าทาง CSIB มีความสัมพันธ์อันดีกับแหล่งทรัพยากรของทางมหาวิทยาลัย นักชีววิทยาและนักพันธุศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศของหวาซย่า ซึ่งถือเป็นไพ่ตายที่ดีที่สุดของ CSIB ข้อมูลที่เผยแพร่ในหน้านี้บ่งบอกว่าพวกเขาได้พยายามอย่างเต็มความสามารถแล้ว อย่างเช่นในหัวข้อที่สอง : วิวัฒนาการของปีศาจ สัญชาตญาณการรับรู้อาณาเขต การเปรียบเทียบเขตล่าเหยื่อของปีศาจกับสิ่งมีชีวิตทั่วไปตามธรรมชาติ รวมถึงการอนุมานเส้นทางในอนาคต
หัวข้อที่สาม : ศาสตราจารย์เฉาเหลียงเหว่ย อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญประจำภาควิชาชีววิทยา คณะสังคมวิทยานานาชาติ มหาวิทยาลัยหวาชิง ได้ให้คำนิยามว่าสังคมของปีศาจและมนุษย์มีความสัมพันธ์ในเชิงเสริมสร้าง แก่งแย่ง และขับไล่ซึ่งกันและกัน
หัวข้อที่สี่ : ภายใต้สังคมข่าวสารที่นับวันยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้นทุกที เราจะสามารถค้นพบปีศาจที่แฝงตัวอยู่ในสังคมมนุษย์จากเถาเป่า คิวคิว และวีแชทได้อย่างไร จะสามารถแยกได้อย่างไรว่าพวกมันเป็นพวกสังหารเพื่อไต่อันดับหรือไม่
“น่าสนใจดีนี่…” สายตาของสวีหยางอี้เป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย เขายินดีจะฟังว่าติงเซียงจะพูดอย่างไรต่อไป
อย่างน้อยที่สุด อีกฝ่ายโปรยเหยื่อล่อความสนใจเขาได้จริงๆ
แต่ระหว่างที่พวกนักศึกษายังคงปรึกษากันอยู่นั้นเสียงของติงเซียงก็ไม่ได้ดังขึ้นมาอีก ทว่าขณะที่สายตาของสวีหยางอี้ละขึ้นจากเอกสารนั้นเอง มือขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะมือหนึ่งก็เอื้อมมาช้อนคางเขา
“เป็นยังไงบ้าง น่าสนใจใช่ไหมล่ะ” ใบหน้าติงเซียงขยับเข้ามาใกล้จนเขาเห็นใบหน้าเธอขยายใหญ่ขึ้น ริมฝีปากอวบอิ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้จนเหลืออีกแค่เซนเดียวก็จะงับติ่งหูเขาได้อยู่แล้ว เขาถึงขนาดจินตนาการได้ทีเดียวว่าเรียวลิ้นช่างฉอเลาะเหนือใบหูเขากำลังบิดม้วนเหมือนกับดอกติงเซียงไม่มีผิด
สายตาทุกคู่กวาดมองมาเงียบๆ พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมติงเซียงคนนี้ถึงได้ดูสนใจคนที่เพิ่งขึ้นมาล่าสุดเป็นพิเศษนัก
พวกมือวางอันดับหนึ่งมีน้อยเกินไปหรือไง ลำพังมณฑลหนานทงก็มียี่สิบเมืองเข้าไปแล้ว ก็เท่ากับมีอันดับหนึ่งยี่สิบคน! ข้างๆ เธอก็มีนั่งอยู่คนหนึ่ง ทำไมถึงต้องทำเหมือนว่าจะต้องเป็นสวีหยางอี้คนเดียวเท่านั้นด้วย
“ถ้าสนใจล่ะก็…” ติงเซียงใช้ไหล่หอมกรุ่นดันเขาอีกครั้ง ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งม้วนปอยผมเล่น ในน้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นเจือแววเกียจคร้านชวนลุ่มหลง “ไม่พิจารณาหน่วยงานเราสักหน่อยเหรอ นักศึกษาอันดับหนึ่งแห่งเมืองอวี๋หยางสวีหยางอี้ พี่สาวรอเธออยู่ที่ CSIB นะ~”
“นี่ถือว่าแหกกฎการรับเข้าเชียวนะ…เธอไม่คิดจะ…” ติงเซียงเม้มริมฝีปากแล้วดีดนิ้วขึ้น กระดาษแผ่นหนึ่งก็ค่อยๆ ลอยมาติดอยู่ตรง…
กลางหน้าอกเธอ!
เอกสารแผ่นนั้นแนบติดอยู่กับร่องอกลึกของติงเซียง เธอกะพริบตาแล้วกระซิบที่ข้างหูเขาเบาๆ “ไม่คิดจะให้คำตอบพี่สาวหน่อยเหรอ”
“นี่เป็นสัญญาที่เตรียมไว้ให้สำหรับมือวางอันดับหนึ่งโดยเฉพาะเลยนะ ไม่เหมือนกับของคนอื่นๆ ข้างบนนั้นมีเบอร์โทรศัพท์ของพี่สาวด้วยนะ~”
“เอ๋ ฉันก็ว่าทำไมจั่วหลุนถึงได้อยากดื่มชากับฉันนักหนา บอกว่าเป็นชาใหม่ที่เพิ่งเก็บมาจากเขาเอ๋อเหมยซะด้วย…” ยังไม่ทันสิ้นเสียง เสียงหัวเราะเย็นๆ ก็ดังมาจากหน้าประตู ทว่าพอสิ้นเสียงหัวเราะก็เปลี่ยนเป็นเสียงผรุสวาททันที “นังผู้หญิงจอมมารยา ไสหัวไปให้พ้นเลยนะ พวกเรา ‘อวี้หลินเว่ย’ ยังไม่ทันได้รับสมัครคน ถึงคิวพวกเธอตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ!”
ทุกคนต่างตะลึงงัน สวีหยางอี้จึงใช้โอกาสนี้สลัดออกจากเงื้อมมือของติงเซียง แล้วมองเหตุการณ์ทั้งหมดเงียบๆ
ไม่ๆๆ…ให้พวกเราจัดระเบียบความคิดให้ดีกันเสียก่อนว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่
ยังไม่ทันเรียนจบก็มาแจกใบปลิว…หนำซ้ำยังไม่ได้แจกแค่คนเดียว แต่เป็นสองคนงั้นหรือ
CSIB ไม่ได้เป็นองค์กรระดับประเทศหรอกหรือ หรือว่ายังมีหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้อีก
“จะพูดก็ไม่พูดให้มันชัดๆ คิดจะไล่ต้อนให้คนอื่นไปตกหลุมพรางหรือไง” ผู้มาใหม่เป็นหญิงสาวผมสั้น ดูไปแล้วคล้ายผู้ชาย ทั้งน้ำเสียงก็ยังค่อนข้างหนัก รูปหน้าทรงสี่เหลี่ยม อายุราวสามสิบ เธอเองก็ใส่ชุดลายพรางเช่นกัน “เฮอะ ติงเซียง คิดจะหลอกเจ้าพวกไก่อ่อนพวกนี้ ไม่อายบ้างหรือไง”
เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของเธอ นักศึกษาที่วาดฝันถึงเสียงระฆังเงินที่ได้ยินเมื่อครู่ ก็พลันรีบจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองแล้วนั่งหลังตรงทันที
ทว่าระฆังเงินกลับกลายเป็นเสียงกระป๋องไม้เร็วเหลือเกิน ทำเอาคนตั้งรับแทบไม่ทัน
ติงเซียงแค่นเสียงเย็นๆ “ไก่อ่อนงั้นเหรอ นักศึกษาทุกคนฟังสิ อวี้หลินเว่ยมองพวกเธอแบบนี้! เราเห็นพวกเธอเป็นเพื่อนร่วมงานนะ แต่หล่อนกลับคิดจะเอาเปรียบเธอ!”
“ฉันขี้เกียจจะพูดกับเธอ” ฝีปากของหญิงสาวของผมสั้นดูจะไม่เท่าไรนัก เธอหันมามองทุกคน “สวัสดีนักศึกษาทุกคน ฉันแนะนำตัวเองสักหน่อยแล้วกัน ฉันคือ C-ฝูหรง”
“ผู้หญิงใช้ชื่อดอกไม้มาตั้งเป็นชื่อทั้งนั้น อวี้หลินเว่ยของเราไม่ใช่พวกหน่วยงานรัฐที่สักแต่พูดดีหรอกนะ ทุกคนเคยคิดถึงปัญหาข้อหนึ่งไหมว่า หลังจากที่พวกเธอเข้าไปในหน่วยงานระดับประเทศแล้ว รายงานปัญหาต่อเบื้องบนแล้ว พวกเขาต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะอนุมัติ”
“อย่างเช่นว่าพวกเธอค้นพบแหล่งแร่หินวิญญาณสายหนึ่ง…เฮ้ อย่ามองฉันแบบนี้สิ เรื่องปาฏิหาริย์นี่แค่สมมติเท่านั้น แหล่งแร่หินวิญญาณบนโลกนี้มีไม่มาก ฉันก็แค่เปรียบเทียบเท่านั้นแหละ” ฝูหรงมองตานักศึกษาคนหนึ่ง “แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนพบเข้าเหมือนกัน ทำยังไงดีล่ะ รายงานหน่วยงานรัฐบาลเหรอ หึๆ…รอไปเถอะ รอไปสักเดือนหนึ่งแล้วดูสิว่าจะอนุมัติลงมาหรือเปล่า ถึงตอนนั้นกว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้กันพอดี!”
“แต่พวกเราอวี้หลินเว่ยไม่เหมือนกัน! เราไม่ได้อ้อมค้อมขนาดนั้น เราเป็นครอบครัวที่อยู่กันเป็นสมาคมใหญ่ หัวหน้าสมาคมก็ยังเป็นอัจริยะขั้นจินตันของหวาซย่าที่อยู่บนจุดสูงสุดของโลก! ถ้าเธอต้องการ ได้ ก็ไปเอามาสิ! เธอไปยึดครองมาได้แล้วค่อยรายงานทางสมาคม พวกเธอลองคิดดูเองแล้วกันว่า ถ้าเธอเข้าไปใน CSIB แล้วไม่รอการอนุมติจากเบื้องบน แต่ทำไปโดยพลการ เบื้องบนเป็นถึงเซียนขั้นจินตันกันทั้งสี่คน ถ้าพวกเขาเอาเรื่องขึ้นมาพวกเธอมีใครรับผิดชอบไหวบ้าง”
“หึๆ…ก็แค่พวกทหารรับจ้าง พวกนักสืบเอกชนพาร์ทไทม์ ทำไมต้องพูดซะยิ่งใหญ่ขนาดนั้นด้วย” ติงเซียงเองก็ขี้เกียจจะเสแสร้งแล้วเหมือนกัน จึงทิ่มแทงอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ “เงินเดือนกับสวัสดิการ เทคโนโลยีการวิจัยของพวกเขาเทียบกับหน่วยเราไม่ได้สักนิด! ได้รับภารกิจมาแล้วก็ยังต้องทำให้สำเร็จ ทำสำเร็จแล้วถึงจะได้โบนัส! แต่ถ้าไม่สำเร็จล่ะ หึๆ…โทษทีเถอะนะ…ต่อให้สำเร็จ ทุกคนกล้ารับประกันไหมล่ะว่าหลังจากทำภารกิจสำเร็จแล้วจะไร้รอยขีดข่วนทุกครั้งไป หน่วยงานที่กระทั่งระบบจัดการกับการได้รับบาดเจ็บจากการทำงานก็ยังไม่มี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่มีเงินประกันบำนาญ! ไม่มีประกันสุขภาพให้! ไร้มาตรฐานที่สุด! เป็นพวกหน่วยงานเถื่อนแสนอัตคัดดีๆ นี่เอง!”
“แต่แม้กระทั่งภารกิจขั้นต่ำสุดของเราก็ยังมีราคาถึงห้าล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป!”
“ฮ่าๆๆ ตลกชะมัดเลย ก็แค่พวกวางแผงขายของตามตลาดข้างทาง มาทำเป็นอวดรวย” ติงเซียงหัวเราะจนตัวงอ “ทุกคนเคยคิดบ้างไหมหินวิญญาณมาจากไหน เคยคิดบ้างไหมว่าของวิเศษหายากพวกนั้นได้มาได้ยังไง ฉันจะบอกทุกคนให้ ที่ CSIB มีหน่วยจัดการพิเศษ เรียกว่าหน่วยสำรวจทางธรณีวิทยา ถ้าทุกคนแน่ใจว่ามีที่ไหนเป็นแหล่งของวิเศษที่มีของวิเศษหายากอยู่ ก็จ้างพวกเขาไปขุดสำรวจได้ และแน่นอนว่าของที่ได้มาก็ถือเป็นสมบัติของตัวเอง หึๆ…พูดให้ไม่น่าฟังหน่อยก็คือ เราคลุกคลีกับของพวกนี้มาแปดชั่วโคตรแล้ว”
เธอชะงักไปก่อนจะมองฝูหรงคล้ายกำลังยั่วยุ “รู้จักโมจินเซี่ยวเว่ย[1]หรือเปล่าล่ะ พวกเขาต่างก็ทำงานให้ CSIB ทั้งนั้นแหละ”
“ฉันขี้เกียจจะพูดกับเธอแล้ว!” ฝูหรงตวาดตัดบทแล้วมองทุกคนด้วยสายตาลึกล้ำ จากนั้นก็ดีดนิ้วขึ้นเช่นเดียวกัน เอกสารตั้งหนึ่งพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะลอยไปอยู่ในมือทุกคน “อวี้หลินเว่ยกับ CSIB ล้วนเป็นหนึ่งในองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในหวาซย่า เรามีประวัติความเป็นมายาวนานไม่ต่างกัน เบอร์โทรสายด่วนของเราคือ 01086752341 เรายินดีให้นักศึกษาทุกคนโทรไปสอบถามเพิ่มเติม…”
ฝูหรงว่าว่าพลางค้นหาเอกสารสองปึกที่หนายิ่งกว่าออกมาจากกองเอกสารนั้น ติงเซียงพลันตาเป็นประกายขึ้นมา ก่อนจะควักสัญญาฉบับนั้นออกมาจากกลางหน้าอกดังฟรึ่บ และขณะที่ฝูหรงกำลังยัดเอกสารให้สวีหยางอี้อย่างหยาบคายนั้นเอง ติงเซียงก็เข้ามาปัดมันทิ้งกระเด็น
สัญญาของ CSIB วางอยู่ตรงหน้าสวีหยางอี้
“หาเรื่องหรือไง” ฝูหรงตบโต๊ะฉาดแล้วมองอย่างเดือดดาล
“จะลองไหมล่ะ” ติงเซียงหัวเราะเย็นๆ พลางยืนขึ้นโดยไม่มีทีท่าจะยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย
พลังกดดันวิญญาณสองขุมที่แข็งแกร่งพอๆ กัน สูสีกันจนไม่อาจแยกได้ว่าใครเหนือกว่า กำลังปะทะกันอยู่บนเครื่องบินราวกับเครื่องโม่หินที่เสียดสีบดขยี้กันเอง
“ทำไม คนอื่นอยากจะแย่งก็แย่งไปเถอะ แต่อันดับหนึ่งสองคนนี้ก็จะแย่งด้วยหรือไง แม่Xทั้งบริการทุกอย่างขนาดนี้แล้ว แค่หล่อนเข้ามาเสียบก็จะแย่งไปได้เลยเหรอ ฉันยังนั่งข้างเขาอยู่นี่นะยะ!”
สวีหยางอี้หยิบเอกสารขึ้นมากวาดสายตาดูเงียบๆ หากก็ไม่ได้มีเวลาดูละเอียดนัก
“หึๆ อันดับหนึ่งมีใครไม่อยากได้ ถึงจะยังไม่ได้ผ่านการสอบจบการศึกษาก็เถอะ แต่การแนะนำจากสาขาย่อยกับผลการเรียนต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายหลักในการฝึกอบรม! เธอพูดเรื่องพวกนี้กับฉันให้น้อยๆ หน่อยเถอะ สองคนนี้ เราอวี้หลินเว่ยจองแล้ว!”
“ฮ่าๆ…หล่อนบอกว่าอยากได้ก็จะได้งั้นเหรอ เงื่อนไขของ CSIB เราน้อยหน้าพวกหล่อนอวี้หลินเว่ยซะเมื่อไร พวกเรามาเลือกเฟ้นคนครั้งไหนบ้างไม่ใจป้ำ”
“แค่อาศัยระบบราชการเต่าคลานของเธอน่ะเหรอ”
“ฮ่าๆๆ…แล้วจะให้อาศัยหน่วยงานเถื่อนใต้ดินของพวกหล่อนหรือไง ฉันถามหล่อนหน่อย พวกหล่อนให้โอกาสคนอื่นออกไปเรียนต่อต่างประเทศได้หรือไง ให้เหรียญรางวัลระดับประเทศได้เหรอ ให้เงินเดือนกับสวัสดิการระดับมณฑลได้ไหมล่ะ! พวกนักดนตรีบ้านๆ จะมาบรรเลงเพลงชั้นสูงได้ยังไง[2]!”
ระฆังเงินกับกระป๋องไม้เริ่มปะทะกันอย่างดุเดือด คนอื่นๆ ก็ต่างไม่ส่งเสียงอีก ท่าทางของหญิงสาวทั้งสองคนทั้งรังเกียจและดูแคลนอีกฝ่ายเหลือทน ใบหน้าของพวกเธอแทบจะแนบติดกันเสียให้ได้
“สุดท้ายก็ต้องรายงานรหัสทำงาน 9310 เรื่องที่เขาสังหารปีศาจบ้าคลั่งอยู่ดีไม่ใช่หรือไง…” ฝูหรงหัวเราะเย็นๆ ออกมาในที่สุด เธอกดเสียงต่ำลงไม่ให้คนอื่นได้ยิน “สิบปีมาแล้ว…สิบเอ็ดปีก่อน มีปีศาจกลายพันธุ์เขมือบกินไม่เลือกปรากฏตัวที่เมืองรุ่นเจียง หลังจากที่มีนักศึกษาเข้ารับการทดสอบตายไปด้วยสภาพศพไม่ครบส่วนก็ไม่มีเรื่องการทดสอบด้วยปีศาจกลายพันธุ์เกิดขึ้นอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสังหาร มันเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี เธอคงรู้ดีอยู่แก่ใจยิ่งกว่าฉันซะอีก”
“แล้วไง” ตอนนี้แค่จะกระชากโฉมหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่ายพวกเธอก็ยังเกียจคร้าน ติงเซียงขี้เกียจจะเสแสร้งเต็มที เธอเตะราวจับด้านข้างดังตึงอย่างหัวเสีย จนราวจับที่ทำจากเหล็กงอไปในทันที
ติงเซียงมองฝูหรงด้วยสายตาเย็นเยียบ “ยัยอัปลักษณ์ แม่จะเตือนให้ คนแซ่ฉู่นั่นพื้นเพไม่ธรรมดาเชียวนะ แม่ไม่เอาแล้วยกให้เธอ แต่คนแซ่สวีนี่ สาขาย่อยของ CSIB ประจำมณฑลหนานทงเจาะจงชื่อมาแล้วว่าต้องเอาให้ได้! เธอกล้าแย่งก็ลองดู!”
“แม่กลัวพวกแก CSIB หรือไงล่ะ ทำอย่างกับขู่เด็กเพิ่งหัดเดิน คิดจะมาขู่ฉันเหรอ” ฝูหรงถลึงตาใส่แล้วตอกกลับอย่างเกลียดชัง “แซ่ฉู่นั่นให้เธอ! แต่แซ่สวีนี่พวกเราสมาคมย่อยมณฑลหนานทงของอวี้หลินเว่ยก็เจาะจงชื่อมาแล้วว่าจะเอาเหมือนกัน!”
——————————————————————————–
[1] โมจินเซี่ยวเว่ย (摸金校尉) เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางในสมัยสามก๊กที่โจโฉแต่งตั้งขึ้น มีหน้าที่ขุดสุสานเพื่อขุดเอาทองในหลุมออกมา
[2] พวกนักดนตรีบ้านๆ ไม่มีทางบรรเลงเพลงชั้นสูงได้ (下里巴人永远做不了阳春白雪) หมายถึง คนที่มีความสามารถธรรมดา ไม่อาจทำงานหรือศิลปะชั้นสูงได้