ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 24 แชร์ลูกโซ่
ไม่รู้ว่าฉู่เจาหนานหลับตาพักผ่อนตั้งแต่เมื่อไร ไม่มีใครสนใจเขา และไม่มีใครมองเห็นเขาด้วย ตอนนี้มือของเขามีเส้นเลือดปูดนูนขึ้นมาเต็มไปหมด กระทั่งมุมปากก็ยังสั่นระริกบางๆ
อันดับหนึ่งเหมือนกัน ทำไมมันถึงได้แตกต่างกันมากขนาดนี้!
ถีบเมื่อครู่นี้ก็ทำให้เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ ทว่าถึงเขายอมรับอีกฝ่ายแต่ก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสิบนาทีต่อมา อันดับหนึ่งอย่างเขาจะกลายเป็นสิ่งที่ช่วยขับให้อีกฝ่ายโดดเด่นขึ้นมาเสียได้!
ถึงจะเรียกกันปาวๆ ว่าอันดับหนึ่งทั้งสองคน แต่ความสำคัญที่ไม่เท่าเทียมกันนี้ ต่อให้ไม่พูดออกมามันก็เห็นได้ชัดๆ อยู่แล้ว
เขาเหมือนของแถมไม่มีผิด!
“รุ่นพี่ทั้งสองครับ” เสียงๆ หนึ่งดังโพล่งขึ้น สวีหยางอี้พลิกเอกสารพลางเอ่ยเรียบๆ “ผมยังเรียนไม่จบครับ”
“ยังไม่จบก็ไม่สำคัญหรอก ในหนังก็ยังเคยพูดเอาไว้เลยว่า ศตวรรษที่ 21 แล้ว ความสามารถต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด” ติงเซียงดึงมือใหญ่ของสวีหยางอี้กับฉู่เจาหนานขึ้นมา “ไม่ทราบว่านักศึกษาฉู่เจาหนานกับนักศึกษาสวีหยางอี้จะยอมเห็นแก่หน้าพี่ติงเซียงสักหน่อยไหม CSIB ไม่มีทางยอมให้พวกเธอลำบากแน่”
ฉู่เจาหนานสะบัดมือเธอออกเงียบๆ หากติงเซียงก็เพียงยิ้มบางๆ แต่ไม่ได้ใส่ใจนัก
สวีหยางอี้เองก็สะบัดมือเธอออกเช่นกัน ทว่าติงเซียงกลับไม่ละความพยายาม ดึงดันจะจับมือเขาไว้ให้ได้
“อวี้หลินเว่ยก็ไม่มีทางปล่อยให้พวกเธอลำบากเหมือนกัน!” ความแตกต่างของเสียงระฆังเงินกับเสียงกระป๋องไม้อยู่ที่ท่วงทำนองกับความดังที่ไม่เหมือนกัน เสียงฝูหรงยังคงดังขึ้นไม่หยุด “ถ้าเธอเซ็นสัญญาตอนนี้ เราจะมอบคอร์สเรียนศาสตร์วิชาล่วงหน้าให้เลย”
“ซู้ด…” เสียงสูดปากจากคนอื่นๆ ดังแว่วมา ทุกคนต่างมีไฟริษยาลามเลียอยู่บนใบหน้า
มีเพียงฉู่เจาหนานที่กล้ามเนื้อบนใบหน้าเกร็งกระตุกอยู่ครู่หนึ่ง
คอร์สเรียนศาสตร์วิชา…ใจป้ำสุดๆ ไปเลย!
ใครก็เคยได้ยินกันทั้งนั้นว่าต้องลำบากยากเข็ญแค่ไหนกว่าจะได้เรียนศาสตร์วิชา ต้องผ่านการทดสอบ ต้องมีทรัพยากรเพียงพอ ถึงคิดจะแลกมาได้ แต่ตอนนี้เจ้าอันดับหนึ่งคนนี้ยังไม่ทันสอบก็มีคนรับปากว่าจะมอบอนาคตให้แล้ว
“แปะๆๆ…” ชั่วขณะนั้นเอง เสียงปรบมือก็พลันดังขึ้น ชายใส่สูทสวมรองเท้าหนัง ใส่แว่นตากรอบบางสีทองคนหนึ่งเดินเข้ามาหาสวีหยางอี้ด้วยฝีเท้าไม่เร็วไม่ช้า ก่อนจะโค้งคำนับอย่างสุภาพ เขาราวกับมีเวทย์มนต์ที่ชวนให้คนสงบลงได้อ่างไรอย่างนั้น “ฉันมาช้าไปหรือเปล่า ครึกครื้นกันขนาดนี้เชียวเหรอ”
“สวัสดีนักศึกษาทุกคน ทุกคนจะเรียกฉันว่า C – ทูจิ้วก็ได้ ทูจิ้วจากตู้มหาสมบัติ”
ตู้มหาสมบัติ…
ชื่อนี้พลันทำให้สีหน้าของทุกคนหลากอารมณ์ขึ้นมา กระทั่งสวีหยางอี้เองก็ยังอดเหลือบไปมองอีกฝ่ายแวบหนึ่งไม่ได้
ชื่อนี้…เป็นชื่อที่รักมากเท่าไรก็ยิ่งเกลียดมากเท่านั้นจริงๆ ตู้มหาสมบัติเป็นตลาดและแพลทฟอร์มซื้อขายที่ใหญ่ที่สุดในวงการฝึกตน และแน่นอนว่าสินค้าก็ย่อมราคาแพงที่สุดเช่นกัน!
มีเพียงนักศึกษาเทียนเต้าที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตแบบจำกัดเท่านั้น ที่ต้องอุทิศเบี้ยเลี้ยงส่วนใหญ่ในทุกๆ เดือนให้กับตู้มหาสมบัติ
“เมื่อกี้นักศึกษาคนนี้พูดได้ดีทีเดียว” ทูจิ้วทำราวมองไม่เห็น ก่อนหันไปยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้าให้สวีหยางอี้ “เธอยังเรียนไม่จบ แต่ทำไมถึงได้มีคนมาแย่งเธอดุเดือดกันขนาดนี้”
“ตอนนี้นักศึกษาทุกคนยังไม่ได้ออกจากฐานฝึกของสำนักย่อย แต่ทุกคนก็คงรับรู้ข่าวสารทางอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างดี เรารู้กันดีว่าทุกปีก่อนที่สถานศึกษามีชื่อทั้งหลายจะจบการศึกษา ก็มักจะมีบริษัทยักษ์ใหญ่เข้ามาประกาศรับสมัครงาน และจะรับแค่คนที่มีความสามารถโดดเด่นจริงๆ เท่านั้น…ซึ่งตอนนี้ทุกคนอาจจะคิดว่าการฝึกตนของตัวเองยังอยู่ในระดับต่ำมาก แต่ว่า…” เขาถอนหายใจด้วยท่าทางเรียบเรื่อยสบายๆ “จำนวนตัวเลขของนักฝึกตนมันต่ำยิ่งกว่านั้นเสียอีก”
“นักฝึกตนในหวาซย่ามีประมาณห้าล้านคน แต่ห้าปีจบการศึกษาครั้งหนึ่งก็แค่หลักพัน” เขาระบายยิ้ม “พูดให้ไม่น่าฟังหน่อยก็คือ คนจำนวนน้อยขนาดนี้เอามาอุดซี่ฟันยังไม่พอเลย”
“การสอบจบการศึกษาไม่ได้ยาก จะสอบผ่านก็ไม่ได้ยากเหมือนกัน แต่ความพิเศษมันอยู่ที่ว่า ขอเพียงได้เข้ามาในวงการนี้ได้ ก็ถือเป็นนักฝึกตนทั้งนั้น และตราบเท่าที่เธอเป็นนักฝึกตน อวี้หลินเว่ย CSIB และตู้มหาสมบัติ จะไม่มีวันทอดทิ้งนักฝึกตนจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อยนี้เด็ดขาด ฉันจะบอกความจริงกับพวกเธอไว้ที่ ณ ที่นี้…”
เขากระแอมเบาๆ ก่อนจะหุบยิ้มลง พลังกดดันวิญญาณที่แข็งแกร่งพอกันพลันปะทุขึ้นมาบนเครื่องบิน
เลี่ยนชี่ขั้นปลาย!
สวีหยางอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขายังเรียนไม่จบก็มีเลี่ยนชี่ขั้นปลายมารับเขาไปทำงานถึงที่ถึงสามคนเชียวหรือ…
ในโลกของการฝึกตน คนแบบนี้ถือว่าสามารถคุมคนในเขตเมืองที่ยังไม่พัฒนาได้ อย่างเช่นหากส่งพวกเขาไปอยู่เมืองซานสุ่ย ที่นั่นก็คงสงบสุข ไม่มีคลื่นลมมรสุมอะไรพัดโหมขึ้นมาได้แน่
เขาเผยยิ้ม แม้เขาจะรู้ดีว่าในยุคเสื่อมถอยนี้ขาดแคลนพลังวิเศษ ทำให้นักฝึกตนมีจำนวนน้อยลงจนน่าใจหาย แต่ก็คิดไม่ถึงว่ามันจะน้อยถึงขนาดนี้!
“ในห้าร้อยคนนี้มีประมาณแค่ห้าหกคนเท่านั้นที่มีหวังจะได้เลื่อนขั้นสู่ขั้นจู้จี และในห้าหกคนนั้นก็อาจไม่มีเซียนขั้นจินตันโผล่มาเลยสักคนก็ได้” ชายคนนั้นมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก “แต่ทุกๆ โครงสร้าง ไม่ใช่แค่หวาซย่าแต่เป็นทั่วทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ญี่ปุ่น ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น…ประกอบด้วยนักฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ 80% ขั้นจู้จี 18% และขั้นจินตัน 1% องค์กรยักษ์ใหญ่ของหวาซย่าทั้งสามองค์กรล้วนมีประวัติความเป็นมายาวนาน ย่อมไม่มีทางละเลยสถานการณ์ของนักฝึกตนแน่”
“เราต่างก็มีข้อดี แต่ก็ต้องแล้วแต่ความต้องการของทุกคนด้วย” เขากวาดสายตาไปมองติงเซียงกับฝูหรง “มาตรการส่งเสริมการขายแบบนี้ ทุกคนไม่รู้สึกว่ามันไร้ราคาไปหน่อยเหรอ”
“ฉันเคยส่งอีเมลไปทุกวัน วันละหนึ่งฉบับ แต่สำนักย่อยไม่เคยตอบกลับสักครั้ง” ติงเซียงม้วนปอยผมพร้อมกับเอ่ยอย่างเจ็บแค้น
ทุกคนเข้าใจแล้ว และต่างก็มองสวีหยางอี้กับฉู่เจาหนานด้วยสายตาซับซ้อนมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาที่มองสวีหยางอี้ มันแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยาที่ไร้ซุ่มเสียง
นี่คือสิ่งที่ทุกคนต่างกำลังพนันกันอยู่
เงื่อนไขในตอนนี้ดูจะยังไม่ใช่เงื่อนไขสูงสุด และหากทายถูก นั่นก็หมายว่าพวกเขาใช้สัญญาราคาถูกมาผูกมัดคนหนุ่มที่มีอนาคตสองคนเอาไว้ โดยเฉพาะสองคนที่เป็นอันดับหนึ่งจากสำนักย่อย พนันได้ว่าความน่าจะเป็นที่อีกฝ่ายจะประสบความสำเร็จนั้นย่อมไม่ใช่น้อยๆ แน่!
“แม่เจ้า…” ในที่สุดก็มีนักศึกษาคนหนึ่งอดยิ้มเฝื่อนออกมาไม่ได้ “ความจริงมันน่าขนลุกจริงๆ…”
“นี่ก็คือความจริง” ทูจิ้วยิ้มบางๆ “พวกเธอจะต้องเดินต่อไปบนเส้นทางของโลกความเป็นจริง ในการฝึกตนนั้นความแข็งแกร่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด พวกมนุษย์น่ะอ่อนแออย่างกับมด…แต่ช่างเถอะ เดี๋ยวต่อไปพวกเธอก็จะรู้เอง”
ทูจิ้วเอ่ยขึ้นต่อ “ขอแค่พวกเธอมีความสามารถมากพอ ผู้มีอิทธิพลชั้นสูงไม่มีทางมองไม่เห็น และยิ่งไม่อาจตัดใจจะไม่อบรมสั่งสอนพวกเธอได้ พวกผู้มีอิทธิพลส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเป็นเซียนขั้นจินตันเสมอนั้นแหละ และระหว่างประเทศก็มีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันซุกซ่อนอยู่ ถ้าในบรรดาพวกเธอมีใครบรรลุถึงขั้นจู้จี หรือแม้ระทั่งขั้นจินตันได้ล่ะก็ อย่าว่าขอลมได้ลมขอฝนได้ฝนเลย ฉันกล้ารับประกันว่า ความปรารถของเธอ 90% จะเป็นจริงอย่างไร้เงื่อนไขเลยทีเดียว ฉันฝึกตนมาจนตอนนี้ก็ 62 ปีแล้ว เห็นเรื่องพวกนี้มานักต่อนักแล้ว”
“ความแข็งแกร่ง…ความแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะเป็นเหตุผลให้เธอมีสิทธิ์มีเสียงออกความเห็นอะไรได้ เป็นเหตุผลให้คนกล้ามาลงทุนกับเธอ แต่ไม่ใช่…” แว่นตาของเขาสะท้อนประกายเย็นเยียบวูบหนึ่ง “เหตุผลที่ทำให้เธอคุกเข่าเชื่อฟังคำสั่ง”
หกสิบสองปีงั้นหรือ
คนไม่น้อยพากันมองทูจิ้วอย่างตกตะลึง เพราะเขาดูเหมือนคนอายุไม่เกินสามสิบด้วยซ้ำ
“หลังจากฝึกตนแล้ว คิดจะกลับไปเป็นหนุ่มเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว…” ทูจิ้วกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นสายตากินเลือดกินเนื้อของติงเซียงเสียก่อน ครั้นส่งเสียงกระแอมครั้งหนึ่งแล้วกำลังจะพูดต่อ ฝูหรงก็เอ่ยด้วยเสียงเย็นๆ ขึ้นมา “จะโฆษณาก็โฆษณาไปเถอะ แม่ไม่ได้ห้ามให้แกโฆษณาหรอก แต่แกจะมาพูดพล่ามทำบ้าอะไรที่นี่กัน”
สวีหยางอี้ไม่ได้พูดอะไร ทว่าเขาเห็นด้วยกับคำกล่าวของทูจิ้วเป็นอย่างยิ่ง
ศัตรูของเขา…จนตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ระดับไหนแล้ว แต่เขาก็ต้องแข็งแกร่งอย่างแท้จริงเหมือนกัน!
เขาไม่มีวันยอมให้ตัวเองต้องพึ่งองค์กรช่วยเหลือเท่านั้นถึงจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้
“เอาล่ะ ฉันพูดจบแล้ว นี่เป็นเอกสารรับสมัครงานของตู้มหาสมบัติเรา และฉันขอถือโอกาสนี้เตือนทุกคนสักหน่อยแล้วกัน สิบปีเทียนเต้าจะรับนักศึกษาครั้งหนึ่ง และห้าปีถึงจะเรียนจบสักครั้ง การจบการศึกษาแต่ละครั้งล้วนเป็นพิธีใหญ่โตระดับมณฑล ในวงการฝึกตน ถึงตอนนั้นจะไม่ได้มีแค่พวกเราที่ไป แต่ยังมีผู้อาวุโสขั้นจู้จี ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผู้ช่วยและเลขาของเซียนขั้นจินตันมาคัดเลือกคนล่วงหน้าด้วย พอถึงตอนนั้นฉันหวังว่าเราจะได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจจากทุกคนนะ”
ติงเซียงถอนหายใจ ก่อนที่ไฟโทสะจะปะทุขึ้นมาในใจ
เวรเอ๊ย! นี่มันเวรอะไรวะเนี่ย!
องค์กรทรงอิทธิพลทั้งสามแห่งล้วนตั้งหน้าตั้งตารอการจบการศึกษาของเทียนเต้าอยู่ ทุกที่ล้วนขาดแคลนคนและต้องการคนเข้าไปทำงาน พวกที่ยังเรียนไม่จบไม่รู้หรอกว่าเราขาดแคลนนักฝึกตนที่โดดเด่นขนาดไหน มีองค์กรไหนบ้างไม่รอวันจบการศึกษาอย่างใจจดใจจ่อ!
ผลก็คือ เจ้ารหัสทำงาน 9310 กลับมาเปิดโปงเกมนี้เสียได้
สิบปีมาแล้ว ที่เกิดสถานการณ์พิเศษคือมีนักฝึกตนใหม่ลงมือสังหารในการทดสอบจบการศึกษา เธอยังไม่ได้นอนก็รีบถ่อมาที่นี่ทันที แต่ผลเป็นยังไงกันล่ะ!
เธอมองคนของอวี้หลินเว่ยกับตู้มหาสมบัติอย่างเจ็บแค้น พลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันหากก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ตอนนี้ ความหวังที่ว่าจะอาศัยช่วงที่สวีหยางอี้ยังไม่ทันได้สัมผัสกับโลกภายนอกจริงๆ จัดการเขาให้อยู่หมัดนั้นหายวับไปกับตาแล้ว ตอนนี้คงทำได้แค่รอรับสมัครในสถานที่จริงเท่านั้น แต่ถึงตอนนั้นคู่แข่งคงไม่ได้มีแค่พวกองค์กรเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงเท่านั้น แต่ยังมีพวกผู้ช่วยพิเศษของเซียนขั้นจินตัน เลขาส่วนตัว ลูกศิษย์ลูกหาที่ปั้นมากับมือพวกนั้นอีก ที่มาของพวกเขาก็เป็นชื่อการค้าของพวกเขาเองนั่นแหละ
“แม่Xเอ้ย…” เธอเดินไปยังห้องโดยสารด้านหน้าโดยไม่พูดอะไรสักคำพร้อมความเดือดดาลสุดขีดที่ไร้ทางระบาย
ทูจิ้วยิ้มแล้วเดินผ่านไปเช่นกัน ทว่าขณะกำลังจะเดินจากไปนั้นเอง ก็พลันคิดอะไรชึ้นมาได้ จึงวางมือบนประตูห้องโดยสาร แล้วหันมายิ้มเอ่ย “ถือโอกาสพูดอะไรสักหน่อยแล้วกันนะ”
“พวกเราตู้มหาสมบัติเป็นองค์กรที่เจรจาซื้อขายได้สำเร็จมากที่สุด และมียอดขายสูงสุดในเครืออาลีบาบา[1]จะเทียบกับพวกไลฟ์สดขายทาร์ตหมูหยองพวกนั้นไม่ได้หรอกนะ เราเชี่ยวชาญด้านการบำเพ็ญเพียรแบบนอกรีต อย่างเช่นพวก หลอมยาวิเศษ ประดิษฐ์อาวุธ ทำเครื่องราง อะไรพวกนั้น หรืออาจพูดได้ว่าอาวุธทุกชิ้นในวงการฝึกตนล้วนมีตราประทับของตู้มหาสมบัติอยู่ ต่อให้ไม่ใช่อาวุธทั้งชิ้น แต่ในอะไหล่ก็ต้องมีแน่ อย่างปืนเบเร็ตต้า[2]92F ที่เอวของนักศึกษาคนนี้ไง”
เขาเหลือบไปมองฉู่เจาหนานที่กำลังหลุบตาลงไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ที่เอวของอีกฝ่ายมีปืนที่ใส่ไว้ในปลอกวางอยู่กระบอกหนึ่งพอดี ซึ่งมองเผินๆ แล้วก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่กลับเห็นอักขระลึกลับมากมายบนด้ามจับที่โผล่พ้นปลอกออกมาเพียงเล็กน้อยนั้น
เท้าติงเซียงพลันหยุดชะงักกึก ฝูหรงเองก็หยุดฝีเท้าลงเช่นกัน
“ถ้านักศึกษาคนใดมีพรสวรรค์ด้านหลอมยาวิเศษ ประดิษฐ์อาวุธ ทำเครื่องราง…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ติงเซียงกับฝูหรงก็ทนไม่ไหวตะโกนออกมาเสียก่อน “เรายินดีรับนักศึกษาคนนี้เข้าทำงานในองค์กรของเราด้วยราคาสูงกว่าห้าเท่า!”
“สิบเท่า” รอยยิ้มของทูจิ้วเป็นประกายราวสายลมยามวสันต์ฤดู น้ำเสียงเขาซึมลึกเข้าสู่หัวใจคนเหมือนกับไอเย็น “ราคาสูงกว่าสิบเท่า ค่าตอบแทนสูงกว่านักศึกษาธรรมดาๆ สิบเท่าตัว ตู้มหาสมบัติกำลังมองหาคนมีพรสวรรค์ในด้านนี้เข้าร่วมองค์กรของเรา”
เขามองสวีหยางอี้กับฉู่เจาหนานด้วยสายตาลึกล้ำ “ถ้าบังเอิญ…สองคนนี้เป็นอันดับหนึ่งพอดีล่ะก็ เรายินดีให้ราคา…”
“ยี่สิบเท่า!” เสียงติงเซียงเล็กแหลมขึ้นมาไม่น้อย
“สามสิบเท่า” ทูจิ้วยิ้มพลางชูนิ้วขึ้นอีกสองนิ้ว
ติงเซียงกับฝูหรงอ้าปากค้าง ก่อนจะใช้สติแล้วหยุดการทุ่มเงินแข่งกับตู้มหาสมบัติอย่างโง่เง่า ทั้งที่ในใจนั้นแทบอยากจะเตะคนที่เข้ามาทำให้เรื่องวุ่นวายกว่าเดิมนี้ให้ตายไปในครั้งเดียวเสียจริงๆ
“น้อยมากเหรอ” ฉู่เจาหนานผู้มีท่าทางคล้ายไม่สะทกสะท้านกับสิ่งเร้าใดๆ เอ่ยปากขึ้นในที่สุด
“ไม่ใช่แค่น้อย….” ติงเซียงยิ้มเฝื่อนๆ เล็กน้อย “ตู้มหาสมบัติของเขามีสักกี่คนกัน ถึงร้อยคนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ซ้ำยังไม่มีนักฝึกตนขั้นจินตันสักคน แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นองค์กรที่ร่ำรวยและสมบูรณ์แบบที่สุดในสามองค์กรยักษ์ใหญ่…ไม่มีใครอยากล่วงเกินนักหลอมยา นักประดิษฐ์อาวุธ หรือนักค่ายกลคาถาหรอก…ฉันกล้ารับประกันว่าถ้าทุกคนมีพรสวรรค์ ต่อให้เธอสอบไม่ผ่าน ค่าตอบแทนของเธอก็ไม่ด้อยไปกว่ามือวางอันดับหนึ่งแน่!”
“ผิดแล้ว นักประดิษฐ์อาวุธและนักค่ายกลคาถาในปัจจุบันได้รับสืบทอดองค์ความรู้มาแต่โบราณ ส่วนพวกนักหลอมยาวิเศษน่ะหายสาบสูญไปตั้งนานแล้ว” ทูจิ้วถอนหายใจแล้วเอ่ย “ประวัติศาสตร์ที่ยาวนานได้กลบฝังสิ่งต่างๆ ไปมากมายเหลือเกิน นักหลอมยาในปัจจุบันนี้ก็เป็นแค่ชื่อที่ตั้งขึ้นมาให้สวยหรูเท่านั้น ที่จริงแล้วก็เป็นแค่นักปรุงยา…เพราะต่อให้เป็นปรมาจารย์นักปรุงยาก็ไม่มีทางกลั่นยาอายุวัฒนะออกมาได้ เพราะประสิทธิภาพของยาจะถูกบั่นทอนไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงทำได้อิงตามวิธีหลอมยาอายุวัฒนะ แล้วปรุงยามาบรรจุใส่เข็มฉีดยาเท่านั้น”
สวีหยางอี้ไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับถามขึ้นด้วยความสงสัย “พรสวรรค์คืออะไร”
“มันเป็นอะไรที่…ลึกลับชวนพิศวง” ฝูหรงไตร่ตรองก่อนจะตอบคำถามนี้ของเขา “ของบางอย่าง วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าจะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายจริงๆ ล่ะก็ ในสมองของคนเรามีเส้นประสาทประมาณหนึ่งหมื่นล้านเส้น แต่พวกคนที่มีพรสวรรค์ในตัว เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วจะมีถึงสองหมื่นล้านเส้น หรืออาจถึงขนาดสามหมื่นล้านเส้นเลยทีเดียว ทำให้อ่อนไหวกับทุกสิ่งทุกอย่างในโลกภายนอกเป็นพิเศษ และเพราะอย่างนั้นถึงสามารถจับประเด็นทุกหลักความรู้ขั้นลึกซึ้ง ทุกสิ่งที่ได้รับการบันทึกไว้ และขอบเขตพลังที่ใช้ในการฝึกตนได้ คนแบบนี้น่ะ…”
“ตึก…” ใจของสวีหยางอี้สั่นขึ้นมาเล็กน้อย
หลังออกจากโรงพยาบาล เขาก็เริ่มชินกับประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เฉียบคมขึ้นแล้ว มันเหมือนกับโลกที่มีคนดึงผ้าโปร่งบางออกไปชั้นหนึ่ง
ถึงจุดทะเลลมปราณจะมีลูกระเบิดเวลาซ่อนอยู่ แต่ชีวิตก็ยังต้องเดินต่อไป
“ประสาทสัมผัสทั้งห้าจะเฉียบคมขึ้นหรือเปล่า” เขาข่มความสั่นสะท้านในใจแล้วถามเรียบๆ
——————————————————————————–
[1] อาลีบาบากรุ๊ปโฮลดิง จำกัด เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจหลายประเภทรวมกันทั้งอีคอมเมิร์ซ ค้าปลีก อินเทอร์เน็ต เอไอและเทคโนโลยีข้ามชาติของจีน
[2] เบเร็ตต้า (Fabbrica d’Armi Pietro Beretta) เป็นบริษัทผลิตอาวุธปืนของอิตาลีที่ดำเนินกิจการในหลายประเทศ