ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 25 จูหงเสวี่ย
“ถูกต้อง…” ทูจิ้วมองเขาแวบหนึ่งแล้วยิ้มเอ่ย “ทำไมเหรอสวีหยางอี้ เธอ…”
“ผมก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง” สวีหยางอี้หลับตาลงพักผ่อน
เมื่อคนทั้งสามเดินจากไปแล้ว บนเครื่องบินจึงเข้าสู่ภวังค์เงียบงันอีกครั้ง
สี่สิบนาทีต่อมา เครื่องบินถึงได้ร่อนลงจอดอย่างมั่นคง พวกเขาต้องนั่งรถต่อไปอีกหนึ่งชั่วโมง กว่าจะได้ก้าวเข้าสู่เมืองเฟิงอี้แห่งมณฑลหนานทง เมืองยุทธศาสตร์สำคัญเก่าแก่อันโด่งดังในหน้าประวัติศาสตร์ของหวาซย่าในที่สุด
เมืองเฟิงอี้นับเป็นเมืองหลวงประจำมณฑลหนานทง เป็นศูนย์กลางที่รวบรวมทรัพยากรมนุษย์และแหล่งเงินทุนของมณฑลใหญ่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือเอาไว้ด้วยกัน แม้ว่าการพัฒนาและความเจริญในภาคตะวันตกจะไม่อาจเทียบกับภาคตะวันออกได้ ทว่าในยามนี้กลับเป็นเมืองที่งดงามสว่างไสวทีเดียว
แสงไฟนีออนบนอาคารสูงตระหง่านแต่ละดวงสาดแสงกรีดผ่านเส้นขอบฟ้า ป้ายโฆษณาที่มีดวงไฟหลากสีแต่งแต้มเมืองโบราณแห่งนี้ให้งดงามราววังสวรรค์ ท่ามกลางอากาศร้อนระอุจนถึงขีดสุด บรรดาหนุ่มสาวต่างพากันแต่งกายน่าดึงดูดด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น ซึ่งนั่นก็ได้กลายเป็นสิ่งที่ช่วยให้บรรยากาศยามค่ำคืนดูมีชีวิตชีวาที่สุด ยวดยานพาหนะที่พุ่งทะยานออกไปร่วมส่งเสียงบรรเลงราวเสียงดนตรีซิมโฟนี ขับกล่อมให้รัตติกาลนี้ไม่อาจหลับไหลลงได้
นักศึกษาทั้งสิบคน ไม่สิ อีกไม่นานพวกเขาก็จะไม่ใช่นักศึกษาอีกต่อไปแล้ว ทุกคนต่างพากันมองเมืองเฟิงอี้อันรุ่งเรืองฟุ้งเฟ้อด้วยสายตาเคลิ้มฝัน
เทียนเต้ามีระบบการจัดการแบบกองทัพ ตอนพวกเขาถูกพาตัวเข้าไปในเทียนเต้าต่างมีอายุไม่เกินสิบขวบกันทั้งนั้น ซึ่งในช่วงสิบกว่าปีแรกพวกเขาไม่ได้รับไม่อนุญาตให้ออกมาข้างนอก ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับรู้เรื่องทุกอย่างจากในโทรทัศน์เท่านั้น
พวกเขาต่างรู้ว่าทางภาคตะวันออกมีเมืองที่เรียกว่าเมืองปีศาจ เป็นศูนย์กลางการพัฒนาและแหล่งเงินทุน รู้ว่าทางภาคเหนือมีเมืองที่ชื่อว่าเมืองปักกิ่ง เป็นศูนย์กลางการปกครอง และเป็นที่ตั้งสาขาใหญ่ของสำนักเทียนเต้า…แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็แทบจะเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
สวีหยางอี้เองก็เช่นกัน เขาเกิดที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ซึ่งภาพของเมืองนั้นก็หายไปจากความทรงจำเขาตั้งนานแล้ว เหลือเพียงแค่เศษเสี้ยวที่ไม่อาจนำมาปะติดปะต่อกันได้ หลังจากเขาอายุแปดขวบก็ถูกพาตัวมาที่มณฑลใหญ่ ซึ่งทอดตัวยาวจากฝั่งตะวันออกมายังฝั่งตะวันตกอย่างมณฑลหนานทง ในตอนนี้เขาจึงเหมือนกับฟองน้ำที่ค่อยๆ ซึมซับเอาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและปรับตัวอย่างรวดเร็ว
ทั้งยอดมนุษย์และอมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ถูกมนุษย์อบรมบ่มเพาะขึ้นมา ต่างยืนอยู่ภายใต้เงามืดของเมืองเฟิงอี้อย่างไร้ซุ่มเสียง
ทว่าทันใดนั้นเอง ดวงตาของเขาก็พลันเกิดประกายวูบขึ้นมาสายหนึ่ง ร่างกายเขากระตุกเกร็งขึ้นมาทันทีตามสัญชาตญาณ
สายตา…
ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาเหนือกว่านักฝึกตนในระดับเดียวกันมากกว่าหนึ่งในสามเท่า เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อครู่นี้มีสายตาเย็นเยียบและคมกริบราวกับมีดปราดมองมาที่เขา!
ใบมีดคมกริบ เย็นเยียบ แหลมคม ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความไม่ใยดี ราวกับจอมพยัคฆ์กำลังจ้องมองเหยื่อของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น ไอสังหารฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ หากเจ้าตัวกลับไม่ได้แยแสเลยสักนิด
ความรู้สึกแบบนั้น…ทำเอาเขาชาวาบไปทั่วทั้งร่าง!
ความแข็งแกร่งนั้นถึงขั้นทะลุทะลวงไปถึงกระดูก…เขาเม้มริมฝีปากแล้วสูดลมหายใจเขาลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนจะก็หันขวับไปมองยังที่มาของเส้นสายตานั้น
หากในวินาทีต่อมา เขาก็ยังยืนอยู่ที่เดิมราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
พวกเขาอยู่ในสวนธารณะประชาชน ซึ่งถือว่าอยู่ในอาณาบริเวณของสถานที่ที่เรียกว่าศูนย์การค้าข่ายเต๋อ ท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่องศูนย์การค้ายามค่ำคืนลงมานี้ เหล่าสตรีสูงวัยต่างกำลังเต้นออกกำลังอยู่บนลานกว้าง ขณะเดียวกันก็มีชายหญิงหลายคู่ก็กำลังโบกไม้โบกมืออยู่ริมถนนด้วยสีหน้าร้อนรน และเบื้องหลังของพวกเขาก็คือรสิ่งปลูกสร้างสูงกว่าห้าสิบชั้นหลังหนึ่ง ที่เรียกว่า “ข่ายเต๋อทาวเวอร์”
กลุ่มคนธรรมดาซึ่งมีความสุขกับชีวิตปัจจุบันในอาณาบริเวณอาคารหลังใหญ่ที่งดงามจับตาหลังนี้ ไม่มีทางหนีพ้นสายตาของยมทูตที่อยู่เบื้องบนได้!
เพียงมันชำเลืองลงมามองมาแค่แวบหนึ่ง ก็ทำเอาบรรยากาศในที่นั้นแทบจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง!
ท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่องลงมานั้น มีจิ้งจอกขาวเก้าหางขนาดร้อยกว่าเมตรเต็มๆ อยู่บนยอดอาคารข่ายเต๋อทาวเวอร์ ดูราวกับเทพที่ลงมาเยือนลงมนุษย์ ดวงตาสีแดงฉานราวทับทิมส่องประกายคู่นั้นฉายแววหยอกล้อเจือไอสังหารจางๆ กำลังกวาดสายตาลงมามองคนเบื้องล่าง ดูคล้ายราชันย์เสด็จผ่านเหล่าขุนนาง
“ฟิ้ว…” สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านมาเบาๆ ขนสีขาวโพลนดุจหิมะของมันพัดกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นสีขาว กระทั่งแยกไม่ออกว่าเป็นแสงจันทร์หรือสีขนของมันกันแน่ หางสีเงินยวงทั้งเก้าของมันวางพาดเป็นสง่าอยู่บนอาคารข่ายเต๋ออันโอ่อ่า กรงเล็บจิ้งจอกคมกริบกำลังเท้าคางท่าทางเกียจคร้าน ดูราวกับบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์สีเงินบริสุทธิ์ก็ไม่ปาน
“ตึง…ตึง…” สายตาสวีหยางอี้สบเข้ากับจิ้งจอกยักษ์เป็นครั้งแรก ชั่ววินาทีนั้น เขาแทบจะรู้สึกได้ว่าโลหิตจากทั่วทั้งร่างกำลังพุ่งพล่านขึ้นมา ทำเอาเขาแทบอยากจะพุ่งออกไปอย่างคุมไม่อยู่!
แข็งแกร่ง…แข็งแกร่งชนิดที่ไม่อาจจินตนาการได้ทีเดียว! ท่าทางที่ราวกับเดินอย่างสงบราบเรียบบนผิวมหาสมุทรคลั่งพายุนั้น ทำเอาใจเขาอดเต้นระส่ำเสียงดังดุจรัวกลองอยู่ข้างหูขึ้นมาไม่ได้!
ลางสังหรณ์บอกเขาว่า หากเขาลงมือล่ะก็ เขาคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสามวินาทีแน่!
“เอ๋?” เดิมทีจิ้งจอกตัวนั้นเคลื่อนสายตาออกไปแล้ว ทว่ามันคล้ายกับสังเกตได้ถึงอะไรบางอย่างจึงวกสายตากลับมาอีกครั้ง และในที่ลับตาคนนั้นเอง ลำคอภายใต้ขนแพขนหนาสีเงินของมันก็ค่อยๆ ขยับขึ้นเบาๆ “น่าสนใจนี่…”
“นั่นมัน” จากสายตาของสวีหยางอี้ ปีศาจจิ้งจอกขยับแล้วกระดิกหางๆ หนึ่งขึ้นอย่างเกียจคร้าน มันลุกขึ้นยืนแล้วสะบัดหางมาทางสวีหยางอี้ด้วยท่าทีเฉื่อยชา ปากก็ส่งเสียงพึมพำฟังได้เพียงรางๆ
วินาทีต่อมานั้นเอง กริชวายุยาวสิบกว่าเมตรพร้อมกับแสงสีเงินเจิดจ้าก็ฟาดลงมาหาสวีหยางอี้อย่างรวดเร็วและบ้าคลั่ง! ทำเอาแม้แต่อากาศในที่นั้นก็ยังสั่นสะท้านไปด้วย
ชั่ววินาทีนั้นเอง หนังศีรษะสวีหยางอี้พลันชาวาบ!
เขาหลบไม่พ้น…
นี่เป็นการตอบสนองทางร่างกายครั้งแรกของเขา จากฝีมือการต่อสู้ที่เทียนเต้าอบรมสั่งสอนเขามานาน ทำให้เขารับรู้ถึงความอันตรายที่ซ่อนอยู่ในความเปราะบางของกริชวายุได้ในทันที!
มันเป็นการหยั่งเชิงคนละระดับกัน
ปีศาจขนาดร่างนับร้อยเมตร…สัตว์ประหลาดโบราณขั้นจู้จี!
“หยุดนะ!” ชั่วขณะเดียวกันนั้นเอง จั่วหลุนก็แผดเสียงคำรามต่ำออกมา หากก็ไม่กล้าพุ่งเข้าไป!
ม่านตาสวีหยางอี้พลันหรี่เล็กลง หากภายในชั่วอึดใจ กริชวายุก็พุ่งเข้ามาประชิดคอหอยเขาเสียแล้ว! เขาแทบจะเห็นศีรษะตัวเองหลุดกระเด็นไปกลางอากาศอย่างน่าอเนจอนาถแล้ว!
ทว่าชั่วพริบตาต่อมามันก็สลายไปเสียแล้ว
สายลมก็สลายหายไปจากลำคอสวีหยางอี้ ราวกับไม่เคยพาดตัดลงมามาก่อน
“ติ๋งๆ…” เหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากไหลหยดลงบนพื้นตามสัญชาตญาณของร่างกาย สวีหยางอี้เม้มริมฝีปาก ในตอนนั้นเอง เขาถึงรู้สึกถึงเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลซึมออกมาทั่วร่าง และถึงขนาดรู้สึกได้ถึงโลหิตร้อนระอุในร่างค่อยๆ ไหลกลับเข้าสู่เส้นเลือดช้าๆ
หัวใจเขาเต้นระส่ำอย่างบ้าคลั่ง ความรู้สึกที่อยู่บนเส้นกั้นระหว่างความเป็นความตายนั้น เขาเพิ่งได้สัมผัสมันจริงจังเป็นครั้งแรก
ชั่วเสี้ยววินาทีนั้น เขาก็รู้สึกได้อย่างลึกซึ้งว่าขั้นจู้จีกับขั้นเลี่ยนชี่แตกต่างกันแค่ไหน หากจะบอกว่ามันต่างกันราวฟ้ากับเหวก็คงไม่นับว่าเกินไปนัก!
ปีศาจจิ้งจอกเพียงยกมือขึ้นโบกเบาๆ ไม่แม้แต่จะสัมผัสนิ้วทั้งสองเข้าหากันด้วยซ้ำ ทว่าการควบคุมขนาดแรงและความแม่นยำในระดับนั้น ทำให้รู้ว่าระดับการรับรู้พลังของอีกฝ่ายจะต้องอยู่สูงกว่าขั้นต้นขึ้นไปแน่!
หากปีศาจตนนั้นต้องการล่ะก็ ไม่เกินสามวินาที ฝ่ายที่ต้องตายคงต้องเป็นเขาอย่างไม่ต้องสงสัย!
“แคว๊ก…” เสื้อผ้าท่อนบนที่เดิมทีใส่อยู่ดีๆ กลับขาดออกเป็นสองท่อน
เขาก้มหน้าลง หากไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่เป็นเพราะเขากำลังซ่อนความกระหายเลือดจนแทบบ้าในแววตาเอาไว้ต่างหาก
เขาไม่ใช่คนอารมณ์ดีมาแต่ไหนแต่ไร การยั่วยุ…หรือถึงขนาดเรียกได้ว่าเย้ยหยันของอีกฝ่ายเช่นนี้ ย่อมทำให้ความกระหายเลือดในใจเขาปะทุและลุกลามราวกับไม้เลื้อยในป่า
“ฟรึ่บ!” แทบจะในขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงยิงหน้าไม้แหวกอากาศออกไปก็พลันดังขึ้น กระทั่งผ่านไปห้าวินาที ถึงได้มีคนเห็นสัตว์ประหลาดชวนให้คนสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่างบนยอดอาคารข่ายเต๋อทาวเวอร์ตัวนั้นชัดๆ พลังกดดันวิญญาณทำให้อีกฝ่ายใช้อาวุธโจมตีออกไปทันอย่างแทบไม่ต้องคิด
“ป้าบ!” ลูกดอกเพิ่งจะถูกยิงออกไปก็ถูกจั่วหลุนจับเอาไว้เสียก่อน จั่วหลุนจ้องนักศึกษาเหงื่อแตกพลั่กคนนั้นตาเขม็ง ก่อนจะถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างเดือดดาลแล้วแผดคำรามเสียงต่ำ “ไอ้ไก่อ่อน! ดูตาม้าตาเรือซะบ้าง! ว่าที่นี่มันที่ไหน!”
“ที่นี่เมืองเฟิงอี้! เมืองหลวงประจำมณฑลใหญ่ภาคตะวันตกที่วันๆ หนึ่งขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์ไม่รู้กี่ครั้ง! แกคิดว่าที่นี่เป็นที่ไหน บ้านแกหรือไง คิดจะลงมือก็ลงมืองั้นเหรอ”
ในตอนนั้นเอง นักศึกษาคนนั้นถึงได้เพิ่งได้สติกลับมา เมื่อครู่นี้ไม่ใช่ว่าเขาอยากลงมือ แต่เป็นเพราะบรรยากาศแบบนั้น…บรรยากาศที่หากเขาไม่ลงมือก็คงต้องตายแบบนั้น…ทำให้เขาต้องลงมือไปตามสัญชาตญาณ มันเกินกว่าจะควบคุมได้!
ทว่าคนที่ไม่ขยับมีเพียงสองคน
สวีหยางอี้กับฉู่เจาหนาน
“แหกตาดูให้ดี! นี่มันสัตว์ประหลาดโบราณขั้นจู้จี! ตัวแกร้อยคนยังไม่สะเทือนมันแม้แต่ปลายเล็บด้วยซ้ำ!” จั่วหลุนเพียงยกมือขวาขึ้นโบกครั้งหนึ่งก็เกิดเสียงดัง “ตึก” จากนั้นลูกดอกจากหน้าไม้ก็ไม่ได้กร้ำกรายเข้าไปในถนนอีกแม้แต่ดอกเดียว เขาพาทุกคนเข้าเดินเข้าไปในสวนสาธารณะประชาชน ก่อนจะโค้งคำนับไปทางอาคารข่ายเต๋อทาวเวอร์จนสุดตัว “ผู้อาวุโส…ออกจะล้อเล่นเลยเถิดเกินไปหน่อยหรือเปล่า”
อีกฝ่ายไม่ได้สนใจเขา หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เขาไม่ได้มีค่าพอให้สนใจด้วยซ้ำ
จั่วหลุนไม่ได้มีสีหน้าละอายเลยแม้แต่น้อย เขาพยักหน้าแล้วยืดตัวขึ้นตรงพลางมองคนอื่นๆ แล้วเอ่ยเน้นย้ำชัดถ้อยชัดคำ “เด็กใหม่จำไว้ให้ดี ที่นี่คือเมืองหลวงประจำมณฑล เป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญประจำภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่ว่าปีศาจตนไหนอาศัยอยู่ที่นี่ หรือปีศาจตนไหนกล้าเผยร่างปีศาจต่อสาธารณะชน พวกมันต้องมีชีวิตมาไม่ต่ำกว่าสองร้อยปีขึ้นไปแน่ เพราะฉะนั้นอย่าได้คิดจะไปแหยมมันเด็ดขาด!”
เขายิ้มเย็นๆ แล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านักศึกษาคนนั้น ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น “รู้จักมันหรือเปล่า”
“แบล็คลิสต์ระดับ A ของเทียนเต้า ฉายาจูหงเสวี่ย ค่าหัว 7.235 พันล้าน อยู่ในขั้นจู้จีอย่างสมบูรณ์ มีชีวิตอยู่ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้เต้ากวางในราชวงศ์ชิงมาจนถึงปัจจุบัน ปีศาจอายุสองร้อยกว่าปี เมื่อตอนเหตุสังหารหมู่ในมณฑลเหอกู่ช่วงปลายราชวงศ์ชิง เหตุการณ์สังหารหมู่ระดับมณฑลสามเมือง คนตายเป็นเบือ เลือดนองแผ่นดิน เรื่องพวกนี้ไม่มีทางหาไม่เจอในหน้าประวัติศาสตร์! คนนับแสนต้องสังเวยชีวิตกลายเป็นเถ้ากระดูกเพราะเลือดปีศาจขั้นจู้จี้ของมัน! ขาดอีกแค่ก้าวเดียวมันก็จะเป็นปีศาจขั้นจินตันลำดับที่สิบเอ็ดของหวาซย่าแล้ว…อย่าบอกฉันนะว่าพวกแกไม่รู้ว่าจินตันหมายถึงอะไร ถ้าอยากตายล่ะก็…ลองยิงมันอีกสักดอกสิ”
เขาเข้าใกล้อีกฝ่ายพร้อมกับพรี่ตาลงอย่างดุดัน “แกคิดจริงๆ น่ะเหรอว่า…คำว่าสิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์เป็นคำที่เอาไว้เรียกเล่นๆ”
สวีหยางอี้ไม่ได้เอ่ยปาก หากเพียงจดจำชื่อนี้ไว้ให้ขึ้นใจ
การ “ล้อเล่น” ครั้งนี้ จะต้องมีวันที่เขาได้เอาคืนแน่
นักศึกษาคนนั้นหน้าถอดสีสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
สวีหยางอี้กวาดสายตาไปมองเรียบๆ ถึงได้พบว่าในอาณาบริเวณพื้นที่สี่เหลี่ยมในรัศมีร้อยเมตรไม่มีร่างปีศาจตนอื่นอยู่อีก
ปีศาจตนอื่นถูกมันยึดเขตล่าเหยื่อไปเป็นของตัวเองหมดแล้วงั้นหรือ… เขาหรี่ตามองให้ชัดๆ ถึงได้พบว่า ที่หัวมุมของเมืองยังมีเงาร่างดำทะมึนยักษ์ใหญ่อีกเงาหนึ่ง ทว่ามันอยู่ไกลเกินไป อีกทั้งในตอนกลางคืนอย่างนี้ก็มองเห็นอะไรได้ไม่ถนัดนัก ทว่า…ลมปราณของมันอ่อนกำลังกว่าจูหงเสวี่ยมาก แต่ก็ทำให้เขารู้สึกสั่นสะท้านได้เหมือนกัน
และก็ยังเป็นสัตว์ประหลาดโบราณขั้นจู้จีด้วยอีกเหมือนกัน
นี่คือสถานการณ์ในเมืองหลวงประจำมณฑลงั้นหรือ เขาเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางยืนพิงต้นไม้ต้นหนึ่งข้างสวนสาธารณะ
นัยน์ตาเขาค่อยๆ เปลี่ยนจากสีแดงกลายเป็นสีดำ ระลอกคลื่อนบนหางสีเงินทั้งเก้าที่ปรากฏอยู่ในสายตาเขาสลายหายไปแล้ว มันร้ายกาจกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก…
เป็นอย่างนั้นจริงๆ สินะ…ขอแค่แข็งแกร่ง ก็เหมือนมียันต์คุ้มภัย
“ไปกันเถอะ” จั่วหลุนพยักหน้าแล้วพาทุกคนเดินเข้าไปในสวนสาธารณะ
“ครูฝึกครับ” นักศึกษาคนหนึ่งมองไปรอบๆ แล้วขมวดคิ้วเอ่ย
“ก็ใช่น่ะสิ” จั่วหลุนมองเขาด้วยความสงสัย “ไม่งั้นนายคิดว่าไง”
มันไม่ใช่ตึกสูงๆ นี่หรอกหรือ หรือจะเป็นที่ที่แยกตัวออกไปอยู่อย่างสันโดษในพื้นที่ห่างไกล
“คิดอะไรของนายอยู่” จั่นหลุนเห็นสีหน้าเขาแล้วก็พลันหัวเราะขัน “ตามมาให้ดี เจ้าพวกอ่อนหัด วันนี้ฉันจะให้พวกนายได้เปิดหูเปิดตา!”
สวนสาธารณะยามค่ำคืนทั้งเงียบเหงาและเปล่าเปลี่ยว ทุกคนตามจั่วหลุนไปจนถึงศาลาที่มีป้ายแขวนไว้ด้านนอกว่า “คนนอกห้ามเข้า” ถึงได้หยุดฝีเท้าลง
เบื้องหน้าศาลาที่รองรับคนได้สูงสุดแค่ห้าสิบคน มีชายชราอายุหกสิบกว่าปีกำลังหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ข้างกายมีวิทยุเครื่องหนึ่งเปิดงิ้วเรื่องสามก๊กตอนสมรภูมิรบฉางป่านพัว[1]อยู่ เขาสวมเสื้อกั๊กสีขาวหลวมโพรกที่มีรูขาดแหว่งหลายรู กับกางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะ ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ด้านข้างยังมีแก้วเก็บความร้อนวางอยู่ด้วยอีกใบหนึ่ง ในมือถือพัดที่ทำจากใบปาล์มพัดไล่ยุงไปเรื่อยเปื่อย
นี่คือสาขาย่อยของเทียนเต้างั้นหรือ
——————————————————————————–
[1] สมรภูมิรบฉางป่านพัว คือหนึ่งในการรบครั้งสำคัญในเรื่องสามก๊กของโจโฉกับเล่าปี่ ซึ่งเล่าปี่สามารถหนีรอดกองทัพใหญ่ของโจโฉได้อย่างหวุดหวิด