ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 26 สาขาย่อย
สวีหยางอี้ไม่ได้พูดอะไร ทว่าหลายคนกลับตาเป็นประกายขึ้นมา คล้ายอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ยังเก็บกลั้นมันเอาไว้
ไม่มีใครปัญญาอ่อนขนาดนั้นหรอก ถ้ากุญแจนำไปสู่โลกความเป็นจริงมันง่ายดายถึงขนาดนั้น เกรงว่าพวกเขาคงจะปลีกวิเวกไปอยู่คนเดียวเสียเดี๋ยวนี้แล้ว และเรื่องนี้เทียนเต้าไม่มีทางจะไม่รู้
“หลิวเหล่า” จั่วหลุนโค้งคำนับ “เด็กใหม่มาแล้วครับ”
หลิวเหล่าคล้ายว่าไม่ได้ยิน ยังคังโคลงศีรษะตามจังหวะงิ้วต่อไป
“หลิวเหล่า” จั่วหลุนเอ่ยด้วยเสียงดังขึ้นอีกนิด “เด็กใหม่มาแล้วครับ!”
“อ๋า? มาถึงแล้วเหรอ อ๋อ ดีๆๆ… พวกคนหนุ่มนี่นะ…” หลิวเหล่าดูคล้ายตกใจ เขาโบกพัดใบปาล์มในมือเร็วขึ้นอีกหลายครั้ง แล้วปรือตาขุ่นมัวคู่นั้นขึ้น ริมฝีปากบิดเบี้ยวเผยให้เห็นฟันที่ยังเหลือไม่มากนัก “จะเปิดประตูใช่ไหม ได้สิ ได้ ฉันจะไปเปิดให้เดี๋ยวนี้…”
เลี่ยนชี่ขั้นต้น…
พอเขาตื่น สวีหยางอี้ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เลี่ยนชี่ขั้นต้นเหมือนกันกับเขา
แต่เป็นได้แค่คนเปิดประตูของที่นี่!
ในศาลาเล็กๆ หลังนี้…มีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่
“น่าสน…” นิ้วมือที่ล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขาถูกันไปมา อย่างน้อยตอนนี้สาขาย่อยนี้ก็ทำให้เขาสนใจขึ้นมาได้
อายุอานามของเหล่าหลิวดูจะมากจริงๆ นั่นแหละ เมื่อเขาเปิดประตูด้วยท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ออกมาแล้ว สวีหยางอี้ก็ถึงได้มองดีๆ…
และได้เห็นว่าในนั้นเป็นเพียงความว่างเปล่า
“ไปเถอะๆ” หลิวเหล่ารอให้ทุกคนเข้าไปจนหมดถึงได้ปิดประตู แล้วนำป้ายคนนอกห้ามเข้ากลับมาแขวนไว้ด้านนอกตามเดิม จากนั้นก็หยิบพัดใบปาล์มขึ้นมาโบกอย่างเอ้อระเหย
หลังจากทุกคนเข้าไปข้างในกันหมดแล้ว สวีหยางอี้ก็สัมผัสได้ว่า
มันทั้งคับแคบเอามากๆ…และยังสัมผัสไม่ได้ถึงค่ายกลคาถาเลยสักนิด
“หรือจะเป็นเทคนิคขั้นสูง” เขามองไปรอบด้านด้วยความระแวงสงสัย แต่จะโทษที่เขาระแวงก็ไม่ได้ ค่ายกลคาถาเหนือชั้นกว่านี้ก็ยังต้องมีอุปกรณ์ขั้นพื้นฐานของมัน เหมือนกับตอนที่เขาสังหารปีศาจคราวแรกๆ เมาปาเอ้อก็ได้วางค่ายกลคาถาเอาไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว ต่อให้จะเป็นกระดาษสีเหลืองแค่แผ่นเดียว ก็อาจใช้เป็นแบบร่างสำหรับวางค่ายกลก็เป็นได้ ทว่าภายในห้องที่แน่นขึ้นมาถนัดตานี้กลับไม่มีอะไรแม้แต่อย่างเดียว
ยังไม่ทันที่ความคิดเขาจะได้สิ้นสุดลง วินาทีต่อมา จุดศูนย์ถ่วงในร่างกายทุกคนก็พลันดิ่งวูบลงไปเบื้องล่างทันที!
“ว้า…” เขามองโพรงสูงแทบเสียดทะลุแสงจันทร์ด้านบนนั้นอย่างพูดอะไรไม่ออก
ทำไมถึงได้ลืมของจำพวกลิฟต์ไปได้นะ…
ลิฟต์ทิ้งตัวลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ศาลาหลังนี้เป็นสถานที่สำหรับขึ้นและลงลิฟต์ แต่สาขาย่อยของเทียนเต้าที่แท้จริงนั้น…
อยู่ใต้สวนสาธารณะประชาชนนี่ต่างหาก!
ภายใต้เมืองนี้ ท่ามกลางรางรถไฟใต้ดินและรากไม้ที่คดเคี้ยวไปมามีเงาทะมึนขนาดใหญ่เงาหนึ่งอยู่ ทั้งรางรถไฟใต้ดินและท่อระบายน้ำ ล้วนแต่ถูกสร้างให้หลีกอ้อมเงานั้นไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างเมือง และที่นี่…ก็คือสาขาย่อยของสำนักเทียนเต้า!
“ฟิ้ว…” ลิฟต์ดิ่งวูบลงไปเบื้องล่างอย่างสุดแรง ข้างล่างนั้นลึกจนแทบมองไม่เห็นก้นบึ้ง สวีหยางอี้คิดคำนวณอยู่ในใจเงียบๆ ว่าอย่างน้อยตอนนี้พวกเขาน่าจะอยู่ลึกลงไปจากพื้นดินสามสิบกว่าเมตรเห็นจะได้
“ติ๊ด…ติ๊ด…” ทันใดนั้นก็พลันมีสีหนึ่งปรากฏแก่สายตาของพวกเขา ต่อมาก็เป็นสีที่สอง สีที่สาม…และอีกนับสีไม่ถ้วน
มันเหมือนกับห่วงหลากสีที่ครอบลิฟต์ทรงสี่เหลี่ยมเอาไว้ ชวนให้คนรู้สึกถึงเรื่องราวในนิยายเชิงวิทยาศาสตร์อย่างไรอย่างนั้น ทว่าเขายังไม่ทันได้ชื่นชม ลิฟต์ก็หยุดลงในวินาทีต่อมานั้นเอง
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่เทียนเต้าสาขาย่อยประจำมณฑลหนานทง” เสียงหุ่นยนต์สาวดังขึ้น “ยินดีต้อนรับเข้าสู่…โลกแห่งความจริงแท้”
“ฟรึ่บ!” เพียงสิ้นเสียงประตูลิฟต์ก็พลันเปิดออก ทุกคนต่างตะลึงงันอยู่กับที่
สวีหยางอี้อ้าปากค้างไปเล็กน้อย นัยน์ตาเป็นประกาย เขาคิดไม่ถึงเลยว่าสาขาย่อยของเทียนเต้าจะเป็นอย่างนี้ไปได้!
ห้องขนาดกว้างขวางอย่างที่สุดห้องนี้ เกือบจะกินพื้นที่เท่าสวนสาธารณะประชาชนด้านบนเลยด้วยซ้ำ!
ด้านบนไม่มีฝ้าเพดาน แต่เป็นสิ่งที่เหมือนกับแผงวงจรไฟฟ้าขนาดใหญ่! สายไฟแต่ละเส้นถูกเดินไว้ตามแนวร่องมาบรรจบกันบนเพดานที่เหมือนกับแผงวงจรไฟฟ้าขนาดยักษ์ใหญ่!
เพียงไม่นาน แสงไฟสีแดงสีเขียวก็ไหลผ่านสายไฟโปร่งแสงมารวมกันที่จุดศูนย์กลาง ราวกับแม่น้ำหลายสายไหลมาบรรจบรวมกันเป็นสายเดียว และที่จุดศูนย์กลางนั้นก็คือ…
เครื่องจักรใบหน้าคนที่มีขนาดหลายสิบเมตร!
กลุ่มแสงไฟแสดงแหล่งข้อมูลเปลี่ยนเป็นสีฟ้าแล้วกระจายแสงออกไปตามสายไฟเส้นอื่นๆ มันเป็นเครื่องจักรหน้าคนอย่างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว ทั้งหน้าผาก ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่ ปากที่เผยออ้าออกเล็กน้อย ดูราวกับหุ่นกระบอกไม้ที่นำมาประกอบเข้าด้วยกัน แสงไฟที่แสดงถึงแหล่งข้อมูลข่าวสารจำนวนนับไม่ถ้วนต่างรวมกันอยู่บนใบหน้าคนนั้นเอง
พื้นเป็นพื้นที่ทำจากกระจกนิรภัย แต่ด้านล่างนั้นไม่มีอะไรอยู่ เป็นเพียงความมืดมิดเท่านั้น ทำให้เวลาเดินเหมือนกำลังเดินอยู่บนอวกาศ
บนพื้นมีคอมพิวเตอร์นับร้อยเครื่อง กับตู้เก็บเอกสารอีกหลายร้อยตู้
ภายในห้องโอ่โถงขนาดกว่า 1.5 เฮกตาร์[1]นี้ มีคนกำลังทำงานยุ่งจนหัวหมุนอยู่นับสามร้อยกว่าชีวิต ขนาดเขายืนอยู่ที่หน้าประตูก็ยังได้ยินเสียงคนจอแจจากในนี้ ภายในห้องถูกตกแต่งราวกับเป็นสวนขนาดย่อม โดยใช้กำแพงกั้นแบ่งพื้นที่ออกเป็นห้าโซนใหญ่ๆ เหมือนกับเขาวงกตของเทพฟอน[2]ไม่มีผิด
“ความเคลื่อนไหวของปีศาจในเมืองอวี๋หยางช่วงสิบปีมานี้” หญิงสาวอายุราว 27-28 ปี ในชุดเสื้อคลุมแบบจีนสีขาว เดินผ่านหน้าพวกเขาไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลมพัดผ่าน เธอไม่ได้ปรายตามองพวกเขาแม้แต่น้อย ใบหน้าสวยหยาดเยิ้มฉายแววหงุดหงิดถึงขีดสุด เธอดันแว่นตากรอบสีไวน์แดงขึ้นแล้วเดินไปพลางเอ่ย “ศาสตราจารย์ฟางจากสำนักงานใหญ่ต้องการ แล้วก็บอกไอ้ปีศาจที่ยื่นคำร้องจากอำเภอผิงอันตนนั้นด้วยว่า สาขาย่อยไม่ใช่ศาลฎีกานักฝึกตนมณฑลหนานทง! ให้มันไสหัวไปให้พ้น!”
คนนี้เป็นเลี่ยนชี่ขั้นกลาง
“ครับ เข้าใจแล้วครับ!” ชายหนุ่มผู้ไม่มีกลิ่นอายของนักฝึกตนแม้แต่น้อยหลายคนนั้นเดินตามหลังเธอไป กำลังจดบันทึกไปพลางสอบถาม “ทำไมถึงไล่มันไปล่ะครับ มันยื่นคำร้องมาตั้งห้าครั้งแล้ว”
“ต้องให้ฉันสอนอีกหรือไง!” น้ำเสียงหญิงสาวแม้จะดังขึ้น ทว่าเธอยังคงก้าวฉับๆ ไม่หยุดไปจนถึงหน้าลิฟต์ “มันบอกว่านักศึกษาเทียนเต้าเอาของวิเศษประจำตระกูลของมันไปงั้นเหรอ ผายลมชัดๆ! อีกอย่างหนึ่งนะ เอาไปก็เอาไปแล้ว! ปีศาจตัวเล็กๆ เพิ่งแปลงร่างเป็นถ่อมาโหวกเหวกโวยวายถึงที่นี่ มันอยากออกรายการโฟกัส[3]หรือไง”
“บอกมันด้วย! ถ้ามันอยากฟ้องก็ให้มันไปฟ้องกับศาลนักฝึกตนโน่น! ถ้ามันยังโผล่หัวมาที่นี่อีกก็อย่าหวังจะได้กลับไป!”
“หัวหน้าแผนกหลิว เงินกู้ที่คุณจะอนุมัติให้แผนกเรามาทำวิจัยนั่นล่ะ” ที่อีกด้านหนึ่ง ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมแบบจีนสีขาวกลุ่มหนึ่งกำลังยืนล้อมชายสูงอายุคนหนึ่งอยู่ และกำลังโจมตีเขาด้วยคำพูดและปากกา “สามเดือนแล้วนะ! จนตอนนี้หัวข้อวิจัยเกี่ยวกับ “ความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในปัจจุบันของปีศาจในกลุ่มอาร์โทรพอด[4]” ก็ยังไม่ขยับเลย! คุณให้คำตอบเราสักอย่างสิ!”
เลี่ยนชี่ขั้นต้นห้าคน!
“นั่นน่ะสิ คุณไม่โผล่มาที่สาขาย่อยเดือนกว่าแล้วนะ ไหนๆ วันนี้ก็มาแล้ว ดีร้ายยังไงก็พูดอะไรสักอย่างสิ!” “ถ้าวันนี้ไม่อนุมัติ เราก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น” “พูดได้ดีนี่ พูดได้ดี CSIB ก็จะมาดึงฉันไปตั้งสี่ครั้งแล้ว แต่ฉันก็ไม่ยอมไป! แกคิดว่าฉันไม่มีที่ไปจริงๆ เหรอ”
ในขณะที่อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นจุดที่คนเยอะที่สุด ชายคนหนึ่งกำลังพรมนิ้วอยู่บนแป้นพิมพ์ แต่แล้วอยู่ๆ ก็ผุดลุกขึ้นมาตะโกนเสียงดัง “คดีภูติน้ำเมืองเกาชวนเมื่อสามเดือนก่อนใครเป็นคนรับทำ ยังอยู่ไหม เบื้องบนจะปิดคดีวันนี้ ใครรับผิดชอบคดีรีบส่งมาด่วน!”
“แล้วเรื่องคดีเซียนจิ้งจอกในเขตปกครองนั่นล่ะ ใช่จูหงเสวี่ยหรือเปล่า ถ้าใช่ไม่ต้องส่งมาหน่วยนี้นะ หน่วยนี้รับไม่ไหวหรอก!” “ปีศาจเฒ่าทางใต้เมืองเฟิงอี้ไปร่วมตัดริบบิ้นเปิดบริษัทฉางลู่พิกเจอร์ที่มันเป็นเจ้าของงั้นเหรอ ตอนบ่ายหน่วยสามไปดูกับฉันหน่อย…ทำไมน่ะเหรอ ก็ถ้าฉันถูกกินจะได้ช่วยเก็บศพฉันน่ะสิ” “ไอ้แมงมุมทางเหนือมันเบื่ออาหารอีกแล้วเหรอ! งั้นทำไมมันไม่ไปตายซะล่ะ! เดือนหนึ่งเบื่ออาหารตั้งสี่ห้าครั้ง! เป็นอย่างนี้มาตลอดร้อยกว่าปี คิดจะกลายสภาพเป็นหนอนผีเสื้อหรือไง! ”
หมายศาลที่ถูกพับเป็นนกกระดาษปลิวว่อนไปมาอยู่กับพื้นราวผีเสื้อบนพื้นที่กว่า 1.5 เฮกตาร์ หากเพียงไม่นานก็เห็นลำแสงสายหนึ่งพาดผ่านลงมา มันเป็นเอกสารตั้งหนึ่งที่แขวนอยู่บนด้ามกระบี่ หรืออาจจะเป็นกระบี่บินอะไรสักอย่าง และในขณะเดียวกัน ก็เห็นปีศาจที่ยังไม่กลายร่างได้รับการฝึกฝน อย่างแมวดำลายเสือดาวสองตัว ลิงมีเขาสามตา กำลังรินน้ำชาให้หน่วยย่อยอยู่ ช่างเป็นภาพที่ไม่ได้พบเห็นได้บ่อยนัก
บนโลกภายนอกนั้นพบนักฝึกตนได้น้อยยิ่งกว่าน้อย หากที่นี่ไม่ว่าจะมองไปทางนั้นก็ล้วนแต่เจอนักฝึกตนทั้งนั้น! อย่างต่ำก็หนึ่งร้อยคนขึ้นไป ส่วนมนุษย์ธรรมดาที่เหลือ ล้วนแล้วแต่เป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของพวกเขา
ห้องที่พวกเขาอยู่แบ่งออกเป็นห้าโซนใหญ่ๆ ดูคล้ายว่าจะสับสนวุ่นวาย ทว่าพอสวีหยางอี้พินิจดูดีๆ อยู่ร่วมนาทีแล้วถึงได้พบว่า แท้จริงแล้วพวกเขาอยู่กันเป็นระเบียบมากทีเดียว
คนอื่นๆ ต่างพากันมองสาขาย่อยที่แสนจะกระตือรือร้นนี้อย่างตกตะลึง สาขาย่อย…เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ
ไม่ใช่ศาลาเอาไว้นั่งเล่นหลบแดดร้อน ไม่มีทิวทัศน์แดนเซียนอย่างภูเขาสูง สายธารน้ำไหล สัตว์เทพมงคล หรือนกกระเรียนขาวบินโฉบเฉี่ยวไปมาหรอกหรือ
แต่มันคือ…ภาพชีวิตประจำวันของหน่วยงานรัฐที่แสนจะมีชีวิตชีวา… ทำเอาทุกคนต่างหัวเราะเยาะไม่ออก เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เจอเรื่องน่าขันเต็มไปหมด
ช่างเหมือนกับเห็นภาพเดจาวูของชายชุดดำ[5]เสียจริงๆ!
แต่สวีหยางอี้กลับไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ความคิดเขาออกจะต่างออกไป เขาคิดว่า…นี่ต่างหากสิ่งที่สาขาย่อยที่แท้จริงควรจะมี
ปัจจุบันนี้ไม่ใช่ยุคฝึกตนแบบโบราณแล้ว เขาตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้มานับครั้งไม่ถ้วน นี่มันยุค 2016 แล้ว เป็นยุคของมนุษยธรรม! ยุคอารยธรรม! ของโบราณมันไม่เหมาะกับโลกปัจจุบันนี้อีกต่อไปแล้ว โลกกำลังก้าวไปข้างหน้า พวกของคร่ำครึก็คงต้องถูกทำลายล้างไปเหมือนกับไดโนเสาร์
นี่ต่างหาก…ถึงจะเป็นการฝึกตนในเมืองใหญ่!
นี่ต่างหากถึงจะเป็นลักษณะการฝึกตนที่พัฒนาแล้วที่ในยุคปัจจุบันควรจะมี!
เขากำลังมองเครื่องจักรหน้าคนห้าส่วนเหนือศีรษะ
“แปลกใจเหรอ” เสียงๆ หนึ่งพลันดังขึ้นที่ข้างหู ฉู่เจาหนานยืนอยู่ข้างเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วพยักเพยิดไปที่เพดาน
สวีหยางอี้มองไปทางใบหน้าคนขนาดยักษ์บนเพดานนั้น ซึ่งตอบได้ยากว่ามัน “มีชีวิต” หรือไม่มีกันแน่ เพราะเครื่องหน้าทั้งห้าของมันกำลังเคลื่อนไหวเบาๆ แต่ที่แน่ๆ ก็คือมันเครื่องจักรที่ประดิษฐ์จากเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างแน่นอน
“ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์” ฉู่เจาหนานเห็นเขาไม่ได้พูดอะไรจึงกล่าวขึ้นต่อ “มันไม่ใช่คอมพิวเตอร์ขั้นสุดยอดที่เหนือชั้นกว่ามันสมองมนุษย์ที่ประเทศใหญ่ๆ มีกัน อย่างที่ญี่ปุ่นมีเยี่ยนกุยไหล หรือหวาซย่าที่มีอิ๋นเหออยู่หลายเครื่องหรอกนะ แต่ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ของจริงมันอยู่ที่โลกฝึกตนนี่มาตลอดต่างหาก”
“เพราะอย่างนั้น ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ทรงประสิทธิภาพสูงสุดของหวาซย่าถึงได้เรียกว่าเทียนเต้ายังไงล่ะ” สวีหยางอี้มองใบหน้าคนยักษ์ใหญ่บนเพดานด้วยสายตาครุ่นคิด “มันก็เป็นซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ด้วยงั้นเหรอ แล้วเอาไว้ที่นี่?”
“แต่นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของมันเท่านั้น” ฉู่เจาหนานเหลือบมองใบหน้าเหมือนมนุษย์นั้นอย่างไม่ใส่ใจนักพลางเอ่ยเรียบๆ “มันเป็นแค่หุ่นยนต์ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นสุดยอดอาวุธที่ทำลายล้างได้ทั้งมณฑล ทางที่ดีนายภาวนาอย่าให้มันตามฆ่านายก็แล้วกัน เพราะถ้าถึงตอนนั้น นายคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
“อีกอย่าง ฉันคิดว่าสิ่งที่นายต้องจับตามองไม่ใช่ที่นี่” เขาเลียริมฝีปากแล้วก้าวไปยืนตรงหน้าสวีหยางอี้ ท่าทางราวกับวัวกระทิงตัวผู้เห็นสีแดงไม่มีผิด รองเท้าคอมแบทคู่นั้นหยุดชะงักลง ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก “ข้างล่างนี่เป็นอัฒจันทร์ใหญ่ที่ใช้จัดพิธีจบการศึกษา”
สวีหยางอี้ดึงสายตากลับมามองฉู่เจาหนาน ท่าทางคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “แล้วไง”
“ฉันขอท้านาย” ฉู่เจาหนานจ้องดวงตาคู่นั้นของเขา “โดยเอาชื่อเสียงอันดับหนึ่งเมืองเทียนเฟิงเป็นเดิมพัน”
สวีหยางอี้มองเขาอยู่พักใหญ่ ถึงได้คลี่ยิ้มออกมา “เหตุผลอะไร”
“ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้น” ฉู่เจาหนานยิ้มเย็น “แต่ถ้าต้องมีจริงๆ เทียนเต้าจบการศึกษาทุกรุ่น ทั้งประเทศจะมาร่วมแข่งขันเพื่อจัดอันดับ เรียกว่าการแข่งขันชิงอันดับ เพราะฉะนั้น…”
เขากัดฟันขาวสะอาดแล้วเอ่ย “นอกจากฉันแล้วก็ไม่มีใครรู้หรอกว่านักศึกษาที่เรียนจบทุกรุ่นจะมีเซียนขั้นจินตันท่านหนึ่งมามอบรางวัลให้ เป็นรางวัลจากสุดยอดนักฝึกตนจินตันเจินเหรินระดับโลก!
——————————————————————————–
[1] เฮกตาร์ คือ หน่วยมาตราวัดพื้นที่ที่มีขนาดพื้นที่เท่ากับ 10,000 ตารางเมตร
[2] เขาวงกตของเทพฟอน มาจากในภาพยนตร์สเปนเรื่อง Pan’s Labyrinth หรือชื่อในภาษาไทยว่า “อัศจรรย์แดนฝัน มหัศจรรย์เขาวงกต”
[3] รายการโฟกัส (焦点访谈) คือรายการโทรทัศน์ ที่ออกอากาศทางช่อง CCTV ของจีน
[4] อาร์โทรพอด (Arthropod) คือ ไฟลัมหนึ่งของสัตว์ โดยสัตว์ในกลุ่มไฟลัมนี้ เรียกว่า “สัตว์ขาข้อ” มีลักษณะเป็นข้อปล้อง มีรยางค์ต่อกันเป็นข้อๆ อาทิ กุ้ง กั้ง ปู แมลง เป็นต้น
[5] ชายชุดดำ หรือ Men in Black เป็นภาพยนตร์อเมริกันที่ว่าด้วยเรื่องราวของชายชุดดำทำหน้าที่ในการตามจับกุม ขจัดมนุษย์ต่างดาวที่เป็นภัย ไปพร้อมกับการพยายามปกปิดร่องรอยการมาเยือนของเหล่ามนุษย์ต่างดาว