ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 27 หนึ่งในใต้หล้า (1)
“รางวัลครั้งที่แล้วเป็นน้ำอมฤตรังสรรค์ ครั้งก่อนหน้าเป็นวัตถุเวทมนตร์ระดับสูง”
ในที่สุด สีหน้าของสวีหยางอี้ก็เริ่มจริงจังขึ้นมา
น้ำอมฤตรังสรรค์ มันไม่มีพลังอื่นใด เป็นแค่ของเหลวสีเขียวมรกตเลื่อมขุ่นดุจหมอกควันที่ใช้ฉีดเข้าเส้นเลือด… เกรงว่าคงไม่ออกฤทธิ์ต่อผู้ฝึกตนในขั้นจู้จีกับขั้นจินตันเท่าไรนัก… แต่สำหรับผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้นถึงระดับกลาง กลับมีฤทธิ์รุนแรงอย่างบ้าคลั่งเลยทีเดียว!
มันมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า… น้ำชะล้างวิญญาณ
ไม่มีพลังอื่นใด พลังของมันเพียงอย่างเดียวคือการชะล้างกายสังขารอันแสนธรรมดาให้ผู้ฝึกตน เป็นการ “ถอดร่างเกิดใหม่” ที่แท้จริง และเปลี่ยนเป็นคุณสมบัติของกายสังขารให้เหมาะสมกับการฝึกตน
วิวัฒนาการการฝึกตนตลอดจนปัจจุบันนี้ แสดงให้เห็นอย่างเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าพลังจิตคือพลังขับเคลื่อนต้นกำเนิด ร่างกายคือเครื่องจักร หากจะให้เปรียบเปรยก็คงเหมือนกับคอมพิวเตอร์ในปี2000ที่สามารถเล่นเกมออนไลน์ใหม่ล่าสุดได้กระมัง?
ไม่น่าใช่!
เขาเริ่มสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว แต่สาเหตุที่เขาสนใจไม่ใช่เพราะสามารถถอดร่างเกิดใหม่ หรือชำระสับเปลี่ยนกระดูก แต่เพื่อ…
ทะเลลมปราณของเขา
ทะเลลมปราณของเขาค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นอย่างไม่อาจสังเกตเห็นผ่านสายตาได้ เรื่องพรรค์นี้คงเกี่ยวข้องกับกล่องจิ๋วลึกลับนั่น เขาไม่อยากเล่าให้ใครฟัง แต่ถ้าน้ำอมฤตรังสรรค์แก้ไข้ปัญหานี้ได้จริงก็คงจะดีไม่น้อย!
ชั่วพริบตา เขาตัดสินใจได้แล้ว ตอนที่ได้ยินเรื่องการแข่งขันชิงอันดับในตอนแรกเขายังไม่สนใจ แต่ ณ ตอนนี้ เขากลับพร้อมทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดที่มี!
ในที่สุด ราชสีห์ก็ยอมปลดเปลื้องหนังแกะที่ห่อหุ้มร่างกายเพื่อหลอกตาออกมา
ต่อให้ไม่ใช่น้ำอมฤตรังสรรค์ รางวัลอื่นๆ ก็จะต้องเป็นสิ่งของในระดับเดียวกันเป็นแน่!
“ไม่มีใครไม่โหยหาทักษะวิชา…ใช่ไหมล่ะ? เป็นมือวางอันดับหนึ่งจากนครอวี๋หยางเหรอ?” ฉู่เจาหนานมองดูสีหน้าเขาพร้อมกล่าว
“คนเรามีหลายชนชั้นวรรณะ มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นถึงจะได้เป็นจินตันเจินเหริน[1]ได้!” ฉู่เจาหนานยืดตัวตรง มวลพลังทั่วทั้งร่างปะทุขึ้นราวภูเขาไฟระเบิด เขาพูดทวนซ้ำอีกหนึ่งรอบ “ฉันคือฉู่เจาหนาน ขอท้าต่อสู้ในนามมือวางอันดับหนึ่งของนครเทียนเฟิง!”
สวีหยางอี้มองเขาอย่างนิ่งเฉย ผ่านไปพักใหญ่จึงพยักหน้า “หวังว่านายจะยืนหยัดจนวินาทีสุดท้าย”
“ยอดเยี่ยม…” ฉู่เจาหนานหรี่ตาลงและใช้นิ้วหัวแม่มือทำท่าเฉือนคอตัวเองพร้อมกับเลียริมฝีปาก “ทำเอาฉันตื่นเต้นได้ไม่น้อย…”
เสียงพูดคุยของพวกเขาแผ่วเบาจนคนอื่นไม่ได้ยิน สวีหยางอี้ไม่ได้ถามฉู่เจาหยางว่าทำไมถึงรู้ข้อมูลที่โรงเรียนไม่ได้สอน แต่คำถามนี้ถามไปก็ไม่ได้คำตอบ
จั่วหลุนไม่ปล่อยให้พวกเขารอนาน หลังจากหายตื่นตระหนก เขาก็ควักนกกระเรียนกระดาษสีดำออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แตะแค่นิดเดียว นกกระเรียนกระดาษตัวนั้นก็กระพือปีกโบยบินออกไป
ไม่ถึงสองนาที นกกระเรียนกระดาษตัวเดิมก็บินกลับมา ขณะที่จั่วหลุนกำลังจะคว้ารับ ทันใดนั้นเขาก็เลิกคิ้วขึ้น พลันตกใจถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จากนั้นก็เอียงตัวมองนกกระเรียนกระดาษตัวนั้นอย่างไม่อยากเชื่อ
มันไม่ใช่สีดำอีกต่อไป
แต่กลับเป็น… สีแดง!
“นี่… นี่มัน…” เขาตกใจไม่ถึงหนึ่งวินาทีก็หันกลับไปมองอย่างตื่นเต้นจนน้ำเสียงพร่าแหบ “เหล่าน้องใหม่ทั้งหลาย จงฟังให้ดี โอกาสของพวกนายมาถึงแล้ว มีรุ่นพี่ขั้นจู้จีเข้าร่วมชม! นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้พวกนายพุ่งไปอยู่บนจุดสูงสุดได้อย่างรวดเร็วเชียวนะเว้ย!”
เนินอกของเขา ในช่วงวินาทีนี้กระเพื่อมขึ้นลงไม่ยอมหยุด ดวงตาเริ่มแดงเรื่อ เมื่อพูดจบก็อดกดเสียงต่ำสบถขึ้นไม่ได้ “แม่งเอ๊ย… โคตรโชคดีเลย… ตอนฉันเรียนจบไม่เห็นมีรุ่นพี่ขั้นจู้จีมาร่วมชม!”
รุ่นพี่ขั้นจู้จี!
ในช่วงวินาทีนี้ ไม่ใช่แค่พวกเขา สายตาที่เจือแววคลั่งไคล้ของทุกคนล้วนจับจ้องไปยังนกกระเรียนกระดาษสีแดงน่ารักตัวนั้น
สวีหยางอี้ตั้งสมาธิแน่วแน่ เขาระวังตัวเป็นยิ่งนัก ส่วนฉู่เจาหนานก็สงบเคร่งขรึมดั่งน้ำนิ่ง แต่กลับได้ยินเสียงลมหายใจดังแผ่ว นับว่าเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับผู้ฝึกตน!
เพียงแค่เพียงสี่คำนี้ก็ได้รับความคลั่งใคล้จากผู้คนอย่างล้นหลาม!
สร้างฐานร้อยปี หรือก็คือขั้นจู้จี สำหรับน้องใหม่ที่เพิ่งจบการศึกษาเหล่านี้ ขั้นจู้จีก็เหมือนกับตัวแทนของสมบัติอันประเมินค่าไม่ได้! ตำนานที่แม้กระทั่งอาวุธยุทโธปกรณ์เกือบทั้งหมดใช้ด้วยไม่ได้ผล! อายุขัยสองร้อยปีบริบูรณ์!
หรือพูดอีกอย่างก็คือ… สัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์!
คล้ายซุปเปอร์แมน! ไอรอนแมน!
แต่ไหนแต่ไรได้แต่อ่านเจอในหนังสือ ผู้อำนวยการโรงเรียนส่วนใหญ่ก็อยู่แค่ขั้นเลี่ยนชี่ ขั้นจู้จีเป็นทั้งคำคุ้นเคยและคำแปลกใหม่สำหรับพวกเขา นึกไม่ถึงว่าพิธีจบการศึกษาของพวกเขาจะมีผู้ฝึกตนขั้นจู้จีร่วมชมด้วย!
หากเข้าตาอีกฝ่าย…
หากได้เป็นศิษย์ของอีกฝ่าย…
ในช่วงเวลานี้ ไร้แว่วเสียงคนพูดคุย มีเพียงเสียงลมหายใจครืดคราด แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ของทุกคน
สวีหยางอี้กำหมัดขึ้นเงียบๆ การแข่งขันชิงอันดับ การร่วมชมของผู้ฝึกตนขั้นจู้จี… หรือพิธีจบการศึกษาที่ไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าเหล่านี้ นึกไม่ถึงว่าจะเก็บงำมาจนถึงช่วงเวลานี้!
“หากถูกรุ่นพี่ขั้นจู้จีรับเข้าเป็นศิษย์ พูดได้เลยว่าหนทางการฝึกตนบำเพ็ญเพียรของทุกคนเริ่มได้ครึ่งทางแล้ว จงรักษาโอกาสไว้ให้ดีๆ ล่ะเหล่าน้องใหม่” จั่วหลุนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก แล้วกวักมือเรียกนกกระเรียนกระดาษบินกลับมาเกาะที่ปลายนิ้ว จากนั้นข้อความหนึ่งประโยคก็แล่นเข้าห้วงสมองเขา
“หนึ่งคนต่อหนึ่งห้อง ให้พวกเขาแบ่งกันเอง”
ในเวลาเดียวกัน ภายในห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง มือเรียวยาวข้างหนึ่งที่สวมใส่แหวนทองคำขาวที่นิ้วชี้กำลังยกแก้วกาแฟออกจากปากและวางลงเบาๆ ดวงตาเล็กเฉี่ยวกำลังกวาดมองที่หน้าจออิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่เบื้องหน้า
บนหน้าจอแบ่งเป็นสิบช่อง มุมล่างขวาแต่ละช่องเป็นหมายเลขของพวกเขา ด้านซ้ายของแต่ละช่องมีตัวคนอยู่ช่องละหนึ่งคน ส่วนด้านหน้าหน้าจอมีคนนั่งอยู่ห้าหกคน และมีคนอีกสิบกว่าคนยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา
ตรงกลางห้อง มีชายวัยกลางคนในชุดสูทคอจีนนั่งอยู่หนึ่งคน ดวงตาเล็กตี่ ตัดผมสั้นไต่ระดับ รูปร่างไม่สูงไม่เตี้ย มือขวาสวมใส่แหวนทองคำขาวหนึ่งวง สีผิวขาวเผือดจนน่าตกใจประหนึ่งผีดูดเลือดยามกลางวัน
มือเรียวยาวสอดประสานอยู่ที่หน้าอก เขานั่งอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ทั่วทั้งห้องนี้ นอกจากเก้าอี้นวมตัวใหญ่ราวครึ่งเมตรของเขาแล้ว เก้าอี้ตัวอื่นๆ ล้วนแต่เล็กว่าหนึ่งเบอร์
ทางด้านซ้ายของเขามีชายหนุ่มวัยยี่สิบสามปีในชุดสูทเข้ารูปนั่งอยู่ ส่วนทางด้านขวามีผู้เฒ่าหน้าตายิ้มแย้มหนวดเคราขาวโพลนอีกคนหนึ่งนั่งอยู่
ทั่วทั้งห้องเงียบกริบไร้สรรพเสียง เหลือเพียงเสียงลมหายอันแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน และเสียงลูบแหวนบนนิ้วมือของชายหนุ่มที่กำลังหลับตาดังแผ่วขึ้นเป็นระยะ
ผู้เฒ่าทางด้านขวาคลี่ยิ้ม “อิ่งซา นายก็อายุปานนี้แล้ว ครั้งนี้มีคนที่พอจะเข้าตาบ้างไหม หรือให้คนแก่อย่างข้าเลือกก่อนดี?”
อิ่งซาไม่เอ่ยตอบ เขาลูบคลำแหวนอย่างอ้อยอิ่ง ผ่านไปพักใหญ่จึงเหลือบไปมองช่องของสวีหยางอี้ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “มี”
“นี่มันเจ้าหนูคนนั้นที่ฆ่าพวกบ้าคลั่งใช่ไหม?” หั่วหยุนมองตามสายตาเขาไปพลางคลี่ยิ้ม “ก็แค่พวกลูกเจี๊ยบตีกัน… แต่ว่าทำให้อิ่งซามือวางอันดับหนึ่งของสี่มณฑลทางตอนใต้สนใจได้ก็นับว่าเป็นบุญของเขาแล้ว”
“เพียงแต่…” เขาหยุดชะงักยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มหนึ่งจิบ “ฉันก็สนใจเขาเช่นกัน”
มุมปากของชายหนุ่มข้างๆ ยกขึ้น
สภาพอิ่งซาเหมือนท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ใบหน้าไร้ซึ่งสีหน้าแววตา เขายังไม่ทันเอ่ยปากพูด ชายหนุ่มกรอบแว่นทองในชุดสูทด้านหลังคนหนึ่งก็ก้าวขึ้นมาทันที เขาน้อมตัวคำนับแทบจะเก้าสิบองศา ก่อนคลี่ยิ้มเอ่ย “นายท่านหั่วหยุน ทางด้านนายท่านอิ่งซายังไม่มีลูกศิษย์แม้แต่คนเดียว…”
หั่วหยุนพยักหน้าอมยิ้ม ใบหน้าอวบอิ่มเผยรอยยิ้มอันสดใสขึ้นมา มือที่ยกแก้วกาแฟอยู่หยุดค้าง ก่อนยิ้มอย่างสบายอารมณ์ “แบบนี้นี่เอง… ฉันเข้าใจนะ ห้าปีมีพิธีจบการศึกษาแค่ครึ่งเดียว… พวกเรารอคอยพิธีจบการศึกษากันแต่ละครั้งกันอย่างยากลำบาก ก็คนมันขาดแคลน… เหอะๆ แต่ในที่สุดเจ้าท่อนไม้ก็รับศิษย์สักที…”
เสียงถอนหายใจเจือความละเหี่ยใจรำไร “ว่าแต่…”
“ใครอนุญาตให้แกพูด?” เขายิ้มพลางกวาดมองหน้าจอ ไม่แม้แต่เหลือบตามองชายหนุ่มคนนั้น นิ้วมือเคาะที่รองมือเป็นจังหวะ รอยยิ้มเผยขึ้นเด่นชัดกว่าเดิม “ใครอนุญาต? เจ้ามนุษย์”
“เพี๊ยะ!”
บังเกิดเสียงดังขึ้นในอากาศราวกับมีฝ่ามือไร้รูปทรงสองข้างปะทะกัน มวลอากาศรอบๆ อัดแน่นภายในเสี้ยววินาที!
“ครืด… ครืด…” เสียงปะทะหยุดลง สิ่งของที่อยู่รอบๆ ตัวพวกเขาสั่นงั่ก!
ไม่รู้ว่าอิ่งซาจ้องไปทางผู้เฒ่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ส่วนผู้เฒ่าก็กำลังยิ้มและจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน
นอกจากชายหนุ่มด้านซ้ายมือคนนั้น ทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างหวาดผวาจนหน้าซีด บรรยากาศอันไร้รูปทรงที่บีบคั้นหัวใจให้ชวนหยุดเต้นวนเวียนอยู่รอบๆ พวกเขาทั้งสอง
“ขอ ขออภัยด้วยครับ…” หลังจากเงียบสงัดไปประเดี๋ยวหนึ่ง ชายหนุ่มที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้ตัวสั่นเทาทั่วทั้งร่าง เหงื่อกาฬเต็มหน้า และคุกเข่าลงอย่างไม่รีรอ ตัวสั่นระริกประหนึ่งถูกจับใส่ตะกร้าเขย่า เขาพูดขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “นายท่าน! ได้โปรดให้อภัยด้วยครับ! ผมขอโทษ! ผมต้องขออภัยอย่างยิ่งครับ!”
“ไสหัวไป ไปถูกแส้ฟาดให้ครบสิบที ถ้ายังไม่ตายค่อยกลับมารับใช้ฉันใหม่” น้ำเสียงของอิ่งซาค่อนข้างแหบ จากนั้นก็จ้องมองผู้เฒ่าและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหลากอารมณ์ “นายบรรลุขั้นจู้จีระดับกลางแล้วเหรอ?”
“ฉันไม่ได้เป็นอัจฉริยะโดยกำเนิดเหมือนนาย ก็แค่อาศัยความพยายามเท่านั้น” หั่วหยุนหุบยิ้ม และโน้มตัวไปด้านหน้า สายตามองไปยังเลข 1 ที่อยู่มุมล่างซ้ายของช่องสวีหยางอี้กับฉู่เจาหนาน “ฉันเล็งสองคนนี้ไว้แล้ว ถ้าใครได้ที่หนึ่ง ฉันขอคนนั้นได้ไหม?”
อิ่งซาเลิกคิ้ว
“ถ้าไม่ผิดคาด ในมณฑลหนานทงแห่งนี้ เจ้าหนูแซ่สวีมีโอกาสชนะถึง 70%” หั่วหยุนพูดเสียงขรึม “ถึงปากฉันจะบอกว่าอยากได้สามคน แต่อันที่จริงขอแค่สองคนก็พอแล้ว แบบนี้ได้ไหม?”
อิ่งซาไม่เอ่ยปากพูด ผ่านไปไม่กี่วินาที จึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบนิ่ง “ใช่ว่าจะมีอัจฉริยะทุกปี นานทีสัตว์ประหลาดที่คล้ายกับเมี่ยรื่อร้อยปีจะโผล่มาสักครั้ง”
“ยังไงก็ต้องทดสอบเขาอยู่ดี” หั่วหยุนยิ้ม “งั้นฉันแบ่งเหมืองพลังงานขนาดเล็กของบริษัทเหมืองแร่ที่นครจ้าวเสวี่ยให้นายเป็นไง?
นิ่งเงียบราวสามนาที อิ่งซาจึงเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “ก็ได้”
“เหอะ…” ในเวลานี้ วัยรุ่นข้างๆ ที่เงียบขรึมมาโดยตลอดก็หลุดขำออกมา แต่อิ่งซากับหั่วหยุนกลับไม่มีทีท่าขัดคอแม้แต่น้อย
“ขอน้อมรับความกรุณา” หั่วหยุนคลี่ยิ้มประสานมือให้อิ่งซ่า ก่อนจะหันไปอมยิ้มให้วัยรุ่นข้างๆ “คุณฟาง ฝากคำทักทายไปท่านผู้ว่าการมณฑลแซ่จางด้วย ว่าแต่คุณขำเรื่องอะไร?”
ฟางถานเซิงจิบกาแฟอย่างเอ้อระเหย “ผมจะกล้าขำรุ่นพี่ทั้งสองได้ยังไง เพียงแต่ที่พี่หั่วหยุนบอกเมื่อครู่ว่าเจ้าสวี… สวีหยางอี้มีโอกาสได้ที่หนึ่งถึง 70% นั่น ผมกลับมองว่ามีไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ”
“ห้ะ?” ดวงตาหั่วหยุนแวววาวขึ้น “มีเรื่องภายในที่ฉันไม่รู้เหรอ?”
“ไม่ถือว่าเป็นเรื่องภายใน เพียงแต่เป็นเรื่องที่ผ่านมาเนินนาน ท่านอาจารย์เซียนทั้งสองมุ่งมั่นทุ่มเทแต่บำเพ็ญเพียร จึงไม่เข้าใจโลกของคนธรรมดาเท่าพวกเรา” ฟางถานเซิงยิ้มร่า มือข้างหนึ่งยกขึ้นเท้าคาง สายตาพลันมองไปที่ช่องอย่างหลากอารมณ์ ก่อนคลี่ยิ้มเอ่ย “ท่านอาจารย์เซียนทั้งสองยังจำเรื่องราวเมื่อสิบห้าปีที่แล้วได้หรือไม่? คำกล่าวปราศรัยแปลกๆ ของท่านผู้ว่าการมณฑลท่านหนึ่งในการประชุมของนครผานซานแห่งมณฑลหมิงสุ่ย ที่พูดเกี่ยวกับ ‘หนึ่งวันท่องหมื่นลี้’”
——————————————————————————–
[1] คำเรียกผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นจินตัน