ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 28 หนึ่งในใต้หล้า (2)
“เคยได้ยินมาบ้าง” อิ่งซาตอบกลับ
“อันที่จริงก็ผ่านมานานแล้ว” ฟางถานเซิงจุดบุหรี่ อิ่งซาขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ปริปากพูด “คดีที่เผ่าปีศาจเกือบสิบเผ่าบุกทำร้ายข้าราชการระดับสูงของมณฑลที่เป็นเรื่องอึกทึกครึกโครมในปีนั้น… เป็นเหตุให้ภรรยาของผู้ว่าการมณฑลตายจาก ผู้ว่าการมณฑลโกรธแค้นเป็นที่สุด เขาจึงสู้รบฆ่าฟันกับพวกเผ่าปีศาจชั่วช้าด้วยตัวเอง จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ผู้คนเห็นความเหี้ยมโหดไร้ปรานีของผู้ว่าการมณฑลคนนั้น เอ๊ะ ไม่สิ ตอนนี้เป็นรองผู้ว่าการแล้ว ลืมสนิทเลย…”
เขายิ้มพลางชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว “พวกเขามีครอบครัว”
เขาปัดชุดสูทเข้ารูปเล็กน้อยก่อนพูดขึ้นต่อ “ผู้ว่าการมณฑลท่านนี้มีหลานชายหนึ่งคน ซึ่งวันต่อมาเขาถูกส่งเข้าไปที่เทียนเต้า ผมจำได้อย่างชัดเจน… ว่าเป็นที่นครเทียนเฟิง”
คิ้วของหั่วหยุนเลิกขึ้น แววตาของอิ่งซาพลันเริ่มคล้อยตามเล็กน้อย
“สลับหน้าจอไปช่องหมายเลขสี่” ฟางถานเซิงออกคำสั่งโดยไม่ขออนุญาตจากใคร วินาทีต่อมา ช่องของฉู่เจาหนานก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ โดยเผยให้เห็นด้านข้างลำตัวของเขา เป็นมุมที่ก่อนหน้านี้มองไม่เห็น และเมื่อขยายภาพใหญ่ขึ้นก็เผยให้เห็นสิ่งของที่อยู่ในมือและเหน็บอยู่ที่เอวของเขา
“นี่มัน…” เพียงชั่วพริบตา อิ่งซาอดพูดเสียงแผ่วขึ้นมาไม่ได้ ตัวเขาผุดลุกขึ้นมาเป็นคนแรก
หั่วหยุนยืดตัวตรงขึ้นเช่นกัน ดวงตาส่องประกาย พลันเงียบขรึมไม่พูดจา
“ถึงแม้ผมจะไม่สามารถดูดซับพลังได้ เพราะเป็นแค่คนธรรมดา แต่ด้วยตำแหน่งข้าราชการระดับสูงของคุณพ่อผม ทำให้ผมคุ้นเคยกับของพวกนี้เป็นอย่างดี” ฟางถานเซิงคลี่ยิ้มเอ่ย “ปืนสั้นบาเร็ตต้า 92-F… ผมขอพูดต่อหน้ารุ่นพี่ทั้งสองเลยแล้วกัน การประลองจัดอันดับครั้งนี้ นอกจากฉู่เจาหนานเพื่อนของผมแล้ว ไม่มีใครคว้าที่หนึ่งได้ทั้งนั้น และคงไม่สามารถโจมตีเขาได้ถึงสามครั้ง”
“ส่วนเขา…” เขาเหลือบตามองช่องของสวีหยางอี้ “โจมตีสิบทีก็แพ้แล้ว อีกทั้งยังแพ้อย่างน่าอนาถ เพราะพวกเขาทั้งสองไม่ใช่ผู้ฝึกตนระดับเดียวกันตั้งแต่แรก”
“ส่วนผม…” เขาคลี่ยิ้ม “ก็อยู่ที่นี่เพื่อมาดูเพื่อนที่โตมาด้วยกัน ไม่งั้น คุณหนูแห่งมณฑลเป่ยหยวนอย่างผมจะถ่อมาไกลถึงที่นี่ทำไม?”
“รองผู้ว่าการคนนั้นก็แซ่ฉู่เหมือนกัน” เขาเปิดประเด็นขึ้น ก่อนยิ้มกระหยิ่มไม่พูดจา
บรรยากาศในตอนนี้ค่อนข้างเงียบสงัด
“ไม่ นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก” หลังจากนั้นไม่กี่วินาที อิ่งซาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “มือขวาของคุณฉู่หยาบกร้านกว่ามือซ้ายมาก ตรงกลางนิ้วชี้มีรอยแผลเป็นเต็มไปหมด ถ้าฉันมองไม่ผิด…”
“ฉันมองผิดไปแล้ว…” หั่วหยุนยกแก้วกาแฟขึ้นจิบหนึ่งคำ ความคาดหวังในดวงตาเลือนหายทันที “ดูจากหน้าจอก็พอจะรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังของอีกฝ่ายได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นระดับตบะหรือคุณสมบัติร่างกายของเจ้าหนูแซ่สวีก็สูงกว่าคุณฉู่เป็นเท่าตัว ตอนแรกฉันคิดว่าเขาจะได้ที่หนึ่งซะอีก คิดไม่ถึงเลยว่า…”
สายตาของเขาเหลือบไปมองที่ฉู่เจาหนานพร้อมพูดขึ้นหนักแน่น “เขาจะได้รับการฝึกศาสตร์ต่อสู้ด้วยปืนมา”
“ปืนสั้นบาเร็ตต้า 92-Fอย่างน้อยคงมีกระสุนระเบิดวิญญาณสามนัดที่มีราคาเกินห้าหมื่น หากถูกยิงเข้าจะไม่สามารถโคจรพลังได้ภายในครึ่งชั่วโมง เหอะๆ รองผู้ว่าการฉู่ช่างใจปล้ำจริงๆที่สอนศาสตร์วิชามูลค่าเป็นพันล้านให้หลานชายตัวเองในโรงเรียน ทีนี้เจ้าหนูแซ่สวีคงแพ้ราบคาบ”
แต่… สงครามยังไม่จบ อย่างเพิ่งนับศพทหาร!
ยังไม่ทันเริ่ม พวกเขาก็ด่วนสรุปกันแล้ว สำหรับพวกเขา การต่อสู้ของผู้ฝึกตนที่ใช้ลมปราณครั้งนี้แทบไม่ต้องดูก็รู้ผลแพ้ชนะแล้ว ต่อให้จะประเมินจากหน้าจอ แต่ความคลาดเคลื่อนก็ไม่น่าเกิน 1%
วิชาเรียนของเทียนเต้าก็ง่ายเหมือนวิชาเลขระดับประถม แม้จะไม่รู้ว่าฉู่เจาหนานฝึกศาสตร์การต่อสู้ด้วยปืนมาจากสำนักไหน จะเป็นสำนักถาน สำนักจู หรือสำนักฉี แต่เทียบระดับความยากกับวิชาเลขแล้ว ทักษะของเขาคงอยู่ประมาณ ม.3 หรือไม่ก็ ม.4
ศาสตร์วิชาในระดับสูงไม่ง่ายเหมือนอ่านแบบเรียน ระดับวิชายิ่งสูง การควบคุมสมดุลระหว่างพลังจิตกับร่างกายก็ยิ่งต่างจากศาสตร์วิชาระดับต้นอย่างสิ้นเชิง ในทำนองเดียวกัน ระดับวิชายิ่งสูง การสับเปลี่ยนกระบวนท่าก็ยิ่งยาก ราคาค่าเรียนก็ยิ่งแพง นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมนักศึกษาฝึกงานถึงตกใจเมื่อได้ยินอวี้หลินเว่ยบอกว่าจะมอบคอร์สเรียนให้ตอนอยู่บนเครื่องบิน
ผู้ฝึกตนที่เรียนแค่ศาสตร์วิชาระดับประถม ระดับตบะยังไม่สูง คุณสมบัติร่างกายยังไม่พร้อม ประสบการณ์ยังไม่มี แล้วจะเป็นคู่มือกับคนที่เรียนศาสตร์วิชาระดับมัธยมต้นได้อย่างไร?
สุดท้ายก็ต้องถูกบดขยี้อย่างสมบูรณ์ และพ่ายแพ้ไป
“งั้นพวกเราตกลงตามนี้ รางวัลคือการรับเข้าเป็นศิษย์ หากไม่มีอะไรผิดคาด อันดับหนึ่งของมณฑลหนานทงคงตกเป็นของเขา” หั่วหยุนกวาดสายตามองหน้าจอ “เจ้าหนูแซ่สวีก็ไม่เลว แต่น่าเสียดาย… ถ้าไม่มีคุณฉู่ เขาคงเป็นมือวางอันดับหนึ่ง การบรรลุเป็นจินตันเจินเหริน ผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่หนึ่งคนต้องเพียรพยายามต่อสู้ถึงสามสิบสี่สิบปี”
“จะว่าไป เขาฆ่าพวกบ้าคลั่งด้วยตัวคนเดียว” อิ่งซาพูดขึ้นไม่ช้าไม่เร็ว “เจ้าหนูแซ่ฉีแห่งนครฉาวหยาง หวางจัวแห่งนครอั้นลู่ จ้าวอีหมิงแห่งนครผิงเฟิง… พวกนั้นได้ที่หนึ่งมาในระดับความยากธรรมดา”
“สำหรับขั้นเลี่ยนชี่ ก็ถือว่าเป็นที่ภาคภูมิใจของพวกเขาแล้วล่ะ แต่ว่า… ก็ได้แค่นี้เท่านั้น” หั่วหยุนถอนหายใจ “เหอะๆ… ทำไมฟ้าต้องส่งยอดฝีมือทั้งสองมาเกิดพร้อมกันด้วย”
อิ่งซานิ่งเงียบไปสักพัก จนในที่สุดก็พยักหน้าเอ่ย “เหมืองพลังงานขนาดเล็กแหล่งเดียวไม่พอ”
“งั้นเพิ่มน้ำแห่งชีวิตให้อีกหนึ่งขวด” นาทีนี้หั่วหยุนไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขามองช่องของฉู่เจาหนานด้วยแววตาเป็นประกายพร้อมพูดขึ้นอย่างหนักแน่น “หนึ่งขวดสามารถย่นเวลาการฝึกตนได้สามปี ให้ฉันเดิมพันแบบนี้มันไม่ง่ายเลย”
บรรยากาศเงียบลงอีกครั้ง ผ่านไปหนึ่งนาที อิ่งซาก็พยักหน้า “ได้”
ไม่มีใครสนใจสวีหยางอี้อีก ตั้งแต่ฟางถานเซิงพูดถึงฉู่เจาหนาน และแสดงจุดยืนของตัวเองออกมา สวีหยางอี้ก็ไม่มีความสำคัญกับพวกเขาอีกต่อไป
สำหรับผู้ฝึกตนขั้นจู้จี… อันดับสองก็ไม่ต่างอะไรจากอันดับสิบ
มีเพียงอันดับหนึ่ง หรือที่หนึ่งของมณฑลใหญ่เท่านั้น ที่มีค่ามากพอจะให้พวกเขาสนใจรับเข้าเป็นศิษย์! และมีค่ามากพอให้พวกเขาทุ่มทรัพยากรที่มีไปกับการขัดเกลาฝึกฝน! มีค่าพอที่จะได้รับการถ่ายทอดวิทยาการองค์ความรู้!
ในเมื่อมีนักปราชญ์ที่เก่งกว่า แล้วนักปราชญ์ธรรมดาจะยังมีประโยชน์อะไร?
สวีหยางอี้ไม่รู้เรื่องทั้งหมดของที่นี่ ตอนนี้เขาเดินตามจั่วหยุนอยู่ในโถงทางเดินโล่งกว้างสว่างโพลง
ทางเดินลาดเอียงลงไป ช่วงแรกยังพอมีพัดลมระบายอากาศสองสามตัว มีผู้คนสองสามคน แต่หลังจากผ่านไปหลายนาที ก็เห็นเป็นเพียงพื้นที่อ้างว้างราวกับเป็นทางเดินไม่มีที่สิ้นสุด เสียงฝีเท้าจากรองเท้าคอมแบทร่วมสิบคู่ดังสะท้อนเข้ามาในโสต
ในที่สุดก็สิ้นสุดทางเดิน และเมื่อเขาเดินออกไปก็ถึงกับตกตะลึง
สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าเขา… ก็คือสนามประลองขนาดมหึมา!
เป็นสนามประลองที่สร้างจากหินบริสุทธิ์ คนที่เคยอ่านการ์ตูนดราก้อนบอลจะต้องรู้สึกแบบเดียวกันนี้เมื่อมาอยู่ที่นี่ เพราะที่นี่เหมือนสนามประลองในเรื่องไม่มีผิด!
สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนก็คือก้อนหินทุกก้อนบนอัฒจันทร์แถวแรกล้วนสลักยันต์ลายฉวัดสีฟ้าครามเรียงเป็นแนว ทั้งหมดประกอบขึ้นเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมรอบสังเวียน เพดานเหนือศีรษะขึ้นไปมีตัวอักษรขนาดใหญ่หลายร้อยเมตร ดูดึงดูดสายตาเป็นยิ่งนัก!
หนึ่งในใต้หล้า!
ที่นี่แตกต่างจากบรรยากาศอันโหวกเหวกวุ่นวายของสาขาย่อยด้านบนอย่างสิ้นเชิง ก้อนหินทุกก้อนแผ่ซ่านความเก่าแก่คร่ำคร่าออกมา หินจำนวนไม่น้อยมีคราบตะไคร่เกาะกรังบนหน้าหิน ประหนึ่งเป็นโลกสองขั้วที่มีทางเดินพิศวงเชื่อมต่ออดีตและปัจจุบัน ด้านบนเป็นโลกแห่งเทคโนโลยี ด้านล่างเป็นโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร!
ไม่มีการตกแต่งหรูหราฟุ่มเฟือย มีเพียงหินก้อนสมส่วนเท่ากันราวไม้บรรทัดวัดเรียงกันเป็นแนว และสังเวียนขนาดกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ลองจินตนาการดู หากมีการประลองที่นี่ แล้วมีผู้คนนั่งเต็มอัฒจันทร์ เมื่อโหมพลังโจมตีขึ้นอย่างรุนแรงเพียงหนึ่งนัด เสียงตะโกนโห่ร้องของผู้จะกึ่งก้องแค่ไหน!
โล่ง กว้าง ใหญ่จนน่าครั่นคร้าม
“น่าสะพรึงใช่หรือไม่?” ถึงแม้จั่วหลุนจะมาที่นี่แล้วหลายครั้ง แต่ ณ เวลานี้ก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งความยิ่งใหญ่ของสังเวียนเช่นกัน น้ำเสียงอันแหบพร่าของเขาเจือแววตื่นเต้นเร้าใจ “ครั้นสถาปนาประเทศช่วงบุกเบิก สวรรค์แห่งยุคสมัยใหม่ก่อกำเนิด เทือกเขาแห่งหนานทงไร้นาม มีเพียงท่านจินตันเจินเหรินนามว่าฝูอวิ๋น มือดุจดาบแหลม แขนดุจดาบคม สิบนิ้วกรีดกรายงามสง่า เพียชั่วข้ามคืน เขาไร้นามกลายเป็นก้อนหินหลายล้านก้อน ยาวหนึ่งเมตร กว้างครึ่งเมตร หินหลายล้านก้อน ไร้คนขนย้าย หากแต่ปล่อยล่องลอยผ่านสายธารา จนกระทั่งถึงเมืองเฟิงอี้ ก่อร่างสร้างฐานกลายเป็นสนามประลอง ‘หนึ่งในใต้หล้า’”
น้ำเสียงของเขาเหมือนบทเพลงคล้ายบทกลอน ผนวกกับสังเวียนอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ ชวนให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาในโลกแห่งจินตนาการ
เขาราวกับตกอยู่ในภวังค์แห่งเกรียติยศของเจินเหริน ผ่านไปพักใหญ่จึงผ่อนหายใจยาวๆ “ทุกสนามประลองในฮวาเซี่ยทั้งยี่สิบสี่แห่งล้วนสร้างมาจากน้ำมือของจินตันเจินเหริน และสนามประลองหนึ่งในใต้หล้านี้ แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ติดสิบอันดับแรก แต่ก็ติดหนึ่งในสิบห้าอันดับแน่นอน”
ดูเหมือนอารมณ์ของเขาจะส่งไปถึงทุกคน เพราะทุกคนต่างจ้องมองสนามประลองหนึ่งในใต้หล้าแห่งนี้ด้วยแววตาเป็นประกาย
สวีหยางอี้เม้มปาก ลองจินตนาการถึงผู้เฒ่าเซียนในชุดคลุมยาว หรือชุดจีนโบราณ ไม่ก็ชุดสูทคอจีนที่ปล่อยพลังใส่เขาทั้งลูกจนแตกเป็นเสี่ยง จากนั้นก้อนหินหลายล้านก้อนที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ร่วงลงสู่แม่น้ำ และถูกพัดพาโดยแม่น้ำเชี่ยวกรากยาวพันลี้ จากเหนือสู่ตะวันตก จนกลายเป็นสนามประลองหนึ่งในใต้หล้าอันยิ่งใหญ่มโหฬารแห่งนี้!
ต้องระห่ำแค่ไหน?
ต้องทรงพลังแค่ไหน?
ต้องอธิบายอย่างไร?
หลอมรวมกายใจเข้ากับธรรมชาติ ไม่ตกเป็นเหยื่อกิเลสตัณหาทางโลก แสวงหาและเคารพในจิตใจและเจตจำนงของตัวเอง
“ชีวิตมีแค่นี้… ยังต้องการอะไรอีก?”
เขากำหมัดแน่น บัดนี้ ไฟแห่งความปรารถนาในพลังอำนาจลุกโชติอย่างไม่เคยมีมาก่อน!
หลายนาทีผ่านไป จั่วหลุนก็ตั้งสติกลับมา มือซ้ายปัดขึ้นเบาๆ นกกระเรียนกระดาษสีแดงตัวนั้นแยกร่างเป็นสิบตัว ครั้นเมื่อเขาเดินลอยชายกรายแขน ก้อนหินทั้งสิบก้อนของผนังอัฒจันทร์ที่ปิดสนิทก็ค่อยๆ เคลื่อนตัว เผยเป็นประตูมืดสนิททั้งสิบกว่าช่อง
จากนั้น นกกระเรียนกระดาษทั้งสิบตัวก็บินเข้าไปอยู่ในกระเป๋าของผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบ จั่วหลุนยิ้มเอ่ย “นี่เป็นบัตรผ่านประตูของพวกนาย อย่าทำหายล่ะ”
“ภายในห้าวันนี้ ทำตัวตามอัธยาศัย แต่เมื่อครบห้าวัน พิธีจบการศึกษาจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ว่าที่ผู้สำเร็จการศึกษาแห่งมณฑลหนานทงทั้งสิบคนต้องมาถึงที่นี่อย่างครบครัน”
พูดจบเขาก็จากไปอย่างไม่เหลียวหลัง
ดวงตาสวีหยางอี้คุวาวรำไร เขาเหลือบมองฉู่เจาหนานอย่างไรซุ่มเสียง
จั่วหลุนไม่ได้พูดเกี่ยวการแข่งขันชิงอันดับแต่อย่างใด
เรื่องสำคัญแบบนี้แต่อีกฝ่ายกลับยอมไม่พูด เขาไม่รู้สึกแปลกใจ ทั้งยังคิดว่าสมเหตุสมผล
สำหรับผู้ฝึกตน ใครบ้างที่ไม่ต่อสู้กับโชคชะตา? ใครบ้างที่ไม่ฝ่าฝืนชะตาลิขิต? ผู้ฝึกตนที่ปล่อยตัวเอง ภายภาคหน้าคงยากที่จะประสบความสำเร็จ ถึงแม้เขาไม่เคยพบกับรุ่นพี่ขั้นจู้จี แต่พอจะเดาได้ว่าทุกคนล้วนแต่ฝีมือโดดเด่นล้ำเลิศ เพียรพยายามและเจตจำนงแน่วแน่ การที่จะบรรลุเป็นจินตันเจินเหรินได้ ไม่ใช่แค่อาศัยความพยายาม แต่ยังต้องอาศัยโอกาสและโชคชะตาด้วย
ทั้งสิบกว่าคนนี้ล้วนแต่เหมาะสมกับการเป็น “ยอดฝีมือแห่งยุคสมัย” อันทรงเกียรติทั้งนั้น!
ดังนั้น เขาจึงได้ข้อสันนิษฐานอันสมเหตุสมผลมาหนึ่งข้อ ซึ่งก็คือ ทั้งหมดนี้เป็นการประเมิน
“มีคนกำลังจับตาดูอยู่เหรอ…” เขาหรี่ตากวาดมองสนามประลองขนาดใหญ่ที่มองไม่ทั่วถึงแห่งนี้อย่างเงียบๆ
“เป็นใครกัน? CSIB? อวี้หลินเว่ย? คนจากตู้มหาสมบัติ?” เขาเดินล้วงกระเป๋ากางเกงไปตามที่นกกระเรียนกระดาษนำทาง “เพื่อคัดเลือกสุดยอดฝีมือที่แท้จริง ถึงกับต้องลงทุนขนาดนี้เลย”
“การแข่งขันชิงอันดับครั้งนี้สิ ถึงจะเป็นจุดสุดยอดของพิธีจบการศึกษาที่แท้จริง!”