ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 29 บรรลุระดับกลาง (1)
เมื่อเข้ามาในห้อง การตกแต่งภายในก็ไม่ได้ต่างจากโลกภายนอกนัก มีเตียงหินทรงโบราณหนึ่งตัว โต๊ะทรงเก่าแก่หนึ่งตัว เก้าอี้หินอ่อนหนึ่งตัว ส่วนด้านข้างเป็นห้องอาบน้ำสร้างจากหินหนึ่งห้อง
หากตัวเขาสวมชุดคลุมโบราณ และออกไปยืนบนสังเวียนหนึ่งในใต้หล้าอันใหญ่โตโอ่อ่านั่น มันคงเป็นเหมือนภาพความฝัน
ครั้นวางสัมภาระลง เขาก็บิดตัวไปมาเคล้าเสียงข้อต่อดังกรอบแกรบ จากนั้นก็ขึ้นนั่งบนเตียงหินทันที ไร้ซึ่งแววเกียจคร้านแม้แต่น้อย
ขณะที่เขาขึ้นนั่งบนเตียงหิน มวลพลังปราณโหมกระเพื่อมดุจสายน้ำหลากก็ค่อยๆ เคลือบคลุมผิวหนังของเขา ความรู้สึกอุ่นนวลแสนสบายแทรกซึมเข้าตามผิวหนังอันหยาบกร้านจนเขาส่งเสียงเคลิบเคลิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เขาหลับตาทั้งสองข้างลงและเกือบจะทำในสิ่งที่เคยทำจนเป็นนิสัยมาสิบกว่าปี คือโคจรพลังภายในขึ้นและเข้าฌานสู่โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรอันน่าพิศวง แต่ว่าเมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาเพียงชั่ววูบ เขาก็ระงับตัวเองเอาไว้ได้
“ค่ายกลหลอมปราณ…” แววตาของเขาเจือแววตื่นเต้น ของพรรค์นี้ไม่มีในโรงเรียนของเทียนเต้าสาขาย่อยหรอกมันเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนในขั้นเลี่ยนชี่หลายคนแสวงหา เพราะการบำเพ็ญเพียรภายในค่ายกลหลอมปราณรวดเร็วกว่านอกค่ายกลหนึ่งเท่าตัว!
แล้วทำไมพลังปราณตามธรรมชาติถึงเหือดแห้งหายไปล่ะ?
พลังปราณธรรมชาตินับเป็นสิ่งที่อธิบายยากยิ่งนัก คงเปรียบได้เหมือนชั้นบรรยากาศ อย่างน้อยในวิชาขนบธรรมเนียมของการฝึกตนในปัจจุบันได้อธิบายไว้แบบนี้ มันเป็นพลังงานที่เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ไม่กำจัด แต่เนื่องจากเทคโนโลยีของมวลมนุษย์ที่ก้าวหน้าขึ้น การรุกล้ำพื้นที่กินวงกว้างขึ้น ปัญหาอุตสาหกรรมแผ่ขยายมากขึ้น ทำให้พลังปราณลดลงอย่างรวดเร็วจนไม่อาจควบคุมได้
รุ่นพี่จำนวนมากพยายามคิดหาวิธีหลากหลาย ครั้นสมัยราชวงศ์ชิง พลังปราณได้อ่อนกำลังลงถึงระดับหนึ่ง เมื่อเข้าสู่ยุครวมประเทศ พลังปราณก็เหลือเพียงชั้นบางๆ เท่านั้น เป็นเหตุให้จำกัดขอบเขตการบำเพ็ญเพียรฝึกตนของผู้ฝึกตน!
ด้วยเหตุนี้ ตู้มหาสมบัติถึงได้มีฐานะร่ำรวยเพียงนี้ เมื่อ “ร่างกาย” ไม่สามารถวิวัฒนาการเองได้ “สิ่งของนอกกาย” จึงกลายเป็นทางเลือกเดียวของผู้ฝึกตน
ค่ายกลหลอมปราณก็เป็นหนึ่งในนั้น และของที่ใช้เป็นที่แพร่หลายก็คือยันต์เวทย์ที่แสนธรรมดา แต่ต่อให้ธรรมดาแค่ไหนก็ไม่ใช่สิ่งที่โรงเรียนระดับมณฑลจะใช้ได้
เขาหยั่งสัมผัสอยู่สักพัก เป็นเหมือนในหนังสือกล่าวไว้ ค่ายกลหลอมปราณระดับต่ำ พลังปราณเหมือนดั่งน้ำพุ ค่ายกลหลอมปราณระดับกลาง พลังปราณเหมือนดั่งน้ำตก ค่ายกลหลอมปราณระดับสูง พลังปราณเหมือนดั่งแม่น้ำ ค่ายกลหลอมปราณระดับสุดยอด… ยังไม่เคยได้ยิน
ความสบายที่เกิดจากพลังปราณรอบตัวก็เหมือนกับหมู่ปลาในน้ำ ประหนึ่งตัวเองแช่อยู่ในบ่อน้ำพุพลังปราณ เขารู้ดีว่านี่เป็นเพียงผลของค่ายกลหลอมปราณระดับต่ำเท่านั้น
พอเขาลองลุกออกจากเตียง ก็ปราศจากความรู้สึกเช่นนี้แล้ว ดูเหมือนค่ายกลหลอมปราณระดับต่ำนี้จะถูกติดตั้งไว้แค่บนเตียงหินเท่านั้น
เขานั่งขัดสมาธิลงบนเตียง มือสองข้างประสานไว้ด้านหน้าจุดตันเถียน แต่ยังไม่เริ่มบำเพ็ญเพียร แค่รับรู้ถึงแรงกระเพื่อมของพลังปราณ จากนั้นจึงค่อยๆ จมดิ่งสู่สภาวะลุ่มลึก
มณฑลหนานทง ทั้งสิบสามคนหมายแย่งชิงอำนาจของราชาราชสีห์ เพื่อที่จะขึ้นเป็นผู้ฝึกตนขั้นจินตัน
เขาไม่รู้ว่าฝีมือคนอื่นเป็นอย่างไร แต่ดูจากฉู่เจาหนานแล้ว อย่างน้อยก็พอจะรู้ว่าคนๆ นี้แข็งแกร่งยิ่งนัก!
หากคนอื่นแข็งแกร่งเหมือนฉู่เจาหนาน เช่นนั้น นี่คงเป็นการต่อสู้อันดุเดือดและทรหดเป็นที่สุด!
อันดับหนึ่งทั้งสิบสามคน มีเพียงคนเดียวที่จะยิ้มอย่างภาคภูมิและได้อยู่บนจุดสูงสุด! เขาคนนั้นจะกลายเป็นอันดับหนึ่งของมณฑลหนานทงที่อยู่ภายใต้การดูแลของผู้ฝึกตนขั้นจู้จี!
สิ่งที่ตัวเขาเองต้องการก็คือการไร้ข้อผิดพลาด
เมื่อลืมตาขึ้นมา ในดวงตาเขาลุ่มลึกนิ่งสงบ การร่วมชมของผู้ฝึกตนขั้นจู้จี ตำแหน่งผู้ฝึกตนขั้นจินตัน และอนาคตของตัวเอง ทั้งหมดมันอยู่ ณ ที่นี่ หากการแก้แค้นเพื่อพ่อแม่ยังไม่ถูกชำระ เขาไม่มีทางลืมเลือนความแค้นได้เพียงเศษเสี้ยว!
ลมปราณนิ่งสงบ เขาเปิดรูขุมขนทั่วร่างกายและค่อยๆ ดูดซับพลังปราณด้านนอก
นี่เป็นการฝึกตนครั้งแรกหลังจากเขาฆ่าปีศาจได้ แต่พอเพิ่งจะเริ่มฝึกตน เขาก็รู้สึกไม่เหมือนเดิมทันที!
กล่องพิศวงใบนั้น ทำให้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาเฉียบคมขึ้นเกือบเท่าตัว ซึ่งก่อนหน้านี้รับรู้ได้เพียงโสตสัมผัส กายสัมผัส และรูปสัมผัส แต่พอเริ่มฝึกตนอย่างจริงจัง เขาก็รู้สึกถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจน!
จากมุมมองโลกภายนอก เสี้ยววินาทีนั้น อากาศรอบตัวเขาเริ่มกระเพื่อมคล้ายคลื่นน้ำ อากาศเหมือนจะสั่นไหวเล็กน้อย! แต่นี่เป็นเพียงมุมมองจากสายตาคนธรรมดา หากเป็นผู้ฝึกตนที่ใช้วิชาเนตรมองดู ก็คงจะเห็นริ้วกระแสลมปราณสีขาวนวลปานน้ำนมรายล้อมอยู่รอบตัวเขา และวินาทีที่เขาเข้าฌานฝึกตน ความเร็วของพลังปราณที่ไหลเวียนอยู่พวกนั้นก็เพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหนึ่งทันที! ประหนึ่งรถยนต์ที่สับเปลี่ยนเกียร์อย่างกะทันหัน!
ก่อนหน้านี้ เขาไม่มีทางทำได้แน่นอน
“ซูด…” กระแลลมปราณสีขาวระลอกแรกแทรกซึมเข้าสู่รูขุมขนของเขา จากนั้นก็ถูกจิตของสวีหยางอี้พาโคจรทั่วร่างกายและไหลเข้าสู่ทะเลลมปราณอย่างรวดเร็ว
“ซูดๆๆ…” พลังปราณระลอกที่สอง… ระลอกที่สาม… และอีกหลายระลอกต่างพากันไหลทะลักเข้าสู่ร่างกายเขา รวดเร็วเสียยิ่งกว่าผู้ฝึกตนคนอื่นๆ มากนัก
สวีหยางอี้กำหนดสมาธิ จิตสงบดุจน้ำนิ่ง เขาในช่วงเวลานี้ ไร้ซึ่งตัวตน ร่างกายโปร่งแสงเหลือเพียงเส้นพลังปราณไหลเวียน หลอมรวมเข้ากับจักรวาลประหนึ่งเขากำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ขาวดำอันนิ่งสงบ
จิตวิญญาณของเขาเผชิญหน้ากับความมืดไร้ขีดจำกัด ไม่ใช่ความกดดัน ทว่าสุขสบายและเงียบงัน ไร้ซึ่งความหงุดหงิดกวนใจ มีเพียงความสงบดุจน้ำนิ่งเท่านั้น
ท่ามกลางความมืดภายในห้วงจิตของเขา มีริ้วกระแสพลังปราณสีขาวนวลลอยมาจากความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดและไหลสู่ทะเลลมปราณ
ในเวลาเดียวกัน อวัยวะรับรู้ความรู้สึกทุกส่วนทั่วร่างกายล้วนเลือนหายออกห่างจากเขาไปทุกที สิ่งที่เข้ามีแทนที่คือความสุขสบายเหมือนแช่ร่างกายในบ่อน้ำพุร้อน
ไม่ต้องหายใจ เพราะรูขุมขนทั่วร่างกายกำลังหายใจอยู่ ความรู้สึกแบบนี้ เคลิบเคลิ้มเหมือนเสพสารเสพติด แต่ไม่หลุดโลก เสียวซาบซ่านเหมือนตอนร่วมเพศ แต่ไม่ใช่การปลดปล่อยเพียงชั่วขณะ มันเป็นความรู้สึกอันสุดยอดที่กินเวลานานและเกิดขึ้นทั่วร่างกาย
สวีหยางอี้นั่งนิ่งเหมือนรูปปั้นหิน รูปปั้นที่แฝงด้วยมนต์ขลัง ช่วงแรกๆ ยังมีเสียสมาธิเล็กน้อย แต่หลังจากพลังปราณไหลเข้าสู่ร่างกายแล้ว ร่างกายเขาก็เข้าสู่สภาวะดื่มด่ำโดยสมบูรณ์
ดังนั้นถึงได้พูดกันว่าบำเพ็ญเพียรจนลืมวันเวลา พอลืมตาที หรือหลับตาทีก็อาจกินเวลาหลายปีหลังจากนั้น
นี่เป็นความอภิรมย์ที่คนธรรมดาเข้าไม่ถึง เป็นความปรอดโปร่งโล่งสบายที่เหมือนกับทั้งจักรวาลสถิตอยู่ในใจ หลังจากผู้ฝึกตนบำเพ็ญเพียร สิ่งของนอกกายจะเริ่มเย้ายวนใจได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกสบายเหมือนปลาได้น้ำแบบนี้นำมาซึ่งพละกำลังที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
เวลานี้ เขาเพิ่งเข้าใจข้อดีของการพัฒนาพลังจิตของตัวเอง ภายใต้พลังของค่ายกลหลอมปราณ เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกอันเต็มปริ่มของทะเลลมปราณที่ส่งผ่านมา
จากมุมมองของโลกภายนอก คิ้วของเขาขยับเล็กน้อย เขาไม่เพียงไม่หยุดฝึกกลางคัน แต่กลับเพิ่มแรงดูดซับพลังปราณอย่างถึงที่สุด!
เขารู้ดีว่าอันที่จริงขั้นเลี่ยนชี่ก็แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาเป็นสิบเท่า แต่ถ้าจะให้เขาปลีกวิเวกไปฝึกตนอย่างสันโดษก็คงทำไม่ได้ ส่วนเรื่องการเหาะเหินก็เป็นทักษะของขั้นจู้จี วัตถุเวทมนตร์ก็ยังใช้ไม่ได้ เนื่องจากปริมาณพลังปราณอันน่าสงสารของเขาไม่เพียงพอต่อการดูดซับของวัตถุเวทมนตร์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงของวิเศษในขั้นจินตัน
ทะเลลมปราณของเขา เมื่อมองจากดวงจิต เห็นเป็นรูปทรงชัดเจน เหมือนบ่อน้ำเล็กๆ อย่าบอกว่าเป็นทะเลเลย บอกว่าเป็นทะเลสาบเล็กๆ ก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจนัก ทะเลลมปราณเป็นเพียงชื่อเรียกเท่านั้น
การที่เขาเป็นอันดับหนึ่งของนครอวี๋หยางได้ ก็นับว่าเป็นสุดยอดของสาขาย่อยนครอวี๋หยางแล้ว บ่อน้ำน้อยๆ แห่งนี้ เกิดจากการที่เขาเริ่มดูดซับพลังปราณเข้ากายตั้งแต่ตอนอายุสิบสามปี จนถึงตอนนี้อายุเขาก็ปาไปสิบแปดปีเต็มแล้ว เขาเห็นมันตั้งแต่เป็นเศษเสี้ยวพลังปราณจนเติมเต็มเป็นบ่อน้ำ!
เมื่อเติมจนเต็มเปี่ยม… ก็ถึงเวลาบรรลุขั้นเลี่ยนชี่ระดับกลาง!
การบรรลุระดับหลังจากนี้จะยิ่งยากขึ้น แปดปีต่อการเลื่อนขั้นหนึ่งระดับ ความเร็วในการบรรลุเป็นอย่างไรเขาไม่เคยคำนวณมาก่อน และตอนนี้ก็ไม่มีกระจิตกระใจไปคำนวณด้วย เขาเพียงแต่ทุ่มเทสมาธิเพ็งมองทะเลลมปราณที่สั่นกระเพื่อม เส้นริ้วพลังปราณแต่ละเส้นสายทยอยไหลลงสู่ทะเลลมปราณจนดูเหมือนใกล้จะเต็ม แต่เขารู้ดีว่า…
ยังต้องการอีกนิด!
ขาดเพียงระลอกสุดท้าย… ที่ต้องใช้เวลาสะสมอย่างน้อยสามเดือน แต่ช่วงเวลานี้ เนื่องจากประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เฉียบคมขึ้น ผนวกกับค่ายกลหลอมปราณ ทำให้พลังปราณไหลเข้าสู่ทะเลลมปราณของเขาอย่างบ้าคลั่ง เขามีลางสังหรณ์ว่า… วันที่เขาบรรลุขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้นอย่างสมบูรณ์อยู่ไม่ไกลแล้ว
เวลาแต่ละนาทีคล้อยผ่าน เขาที่กำลังฝึกตนอยู่ไม่ได้นึกถึงเรื่องเวลาเลย ทว่าโลกภายนอกตอนนี้กลับตกดึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
บนถนนอันโล่งกว้าง ปรากฏรถตำรวจสิบกว่าคันแล่นประกบรถหรูสี่คันตรงกลางราวกับคอยคุ้มกัน มันเคลื่อนที่อยู่บนท้องถนนอันเงียบเชียบ
รถหรูสี่คันตรงกลาง เห็นได้ชัดว่าผ่านการดัดแปลงโดยช่างฝีมือ กระจกกันกระสุนหนา 1.5 เซนติเมตร เห็นเพียงเงาสะท้อนของตัวเองเท่านั้น แม้แต่กระจกหน้ารถก็เป็นแบบเดียวกัน ล้อรถเป็นยางชนิดพิเศษ ไม่ใช่ยางที่ปืนสั้นทั่วไปยิงทะลุ ฐานรถก็ถูกดัดแปลงมาเป็นพิเศษ การระเบิดเพียงเล็กน้อยไม่สามารถคว่ำรถได้แน่นอน
“รายงานหมายเลขเจ็ด ไม่มีสถานการณ์ใดพิเศษ” “รายงานหมายเลขยี่สิบ กวาดล้างบริเวณรอบๆ เรียบร้อยแล้ว” “รายงานหมายเลขสาม ทุกอย่างเป็นปกติ”
ภายในรถตำรวจ บทสนทนามีการสื่อสารไม่หยุด แทบจะทุกๆ ห้าวินาทีเลยก็ว่าได้ หากท้องถนนยามราตรีมีผู้คน เมื่อมองทะลุกระจกเข้าไป จะพบว่าตำรวจด้านในล้วนแต่เป็นผู้กำกับระดับสูงทั้งสิ้น! แม้กระทั่งรถคันที่อยู่หน้าสุด เบาะข้างคนขับก็มีผู้บังคับการระดับสามสามดาวนั่งอยู่หนึ่งคน!
ภายนอกรถหรูทั้งสี่คันเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ขับห่างกันประมาณสิบเมตรกว่าเป็นขบวนด้านหน้าสองคันด้านหลังสองคัน หากตอนนี้มีคนหมายโจมตี คงไม่รู้ว่าเป้าหมายโจมตีของพวกเขาอยู่คันไหนเป็นแน่
ขบวนในลักษณะนี้ แสดงให้เห็นถึงสถานะของคนที่อยู่บนรถ
“ท่านรองผู้ว่าการครับ” ภายในรถหนึ่งคันด้านหน้า คนขับรถพูดขึ้นเสียงแผ่ว “วันพรุ่งนี้ท่านมีประชุมที่จังหวัดจิงตูนะครับ”
เบาะที่นั่งด้านหลังมีผู้เฒ่าจมูกทรงตะขอ ผมขาวโพลนทั้งหัว สวมใส่ชุดสูททั้งตัวนั่งอยู่ตรงกลาง ดวงตาสองข้างที่อยู่บนใบหน้าเรียวยาวลุ่มลึกเหมือนบ่อน้ำไร้ก้นกำลังมองทัศนียภาพยามราตีที่เคลื่อนไหวฉับไวด้านนอกหน้าต่างอยู่ เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งจนจับอารมณ์ไม่ออก “เลื่อนออกไป”
“ภายในห้าวันนี้ ฉันไม่รับภารกิจใดทั้งนั้น ไม่ว่าจะมาจากใครก็ตาม”
ข้างๆ เขามีวัยรุ่นสองคนกำลังหลับตาทำสมาธิอยู่ ที่น่าแปลกก็คือพวกเขาไม่ได้ใส่ชุดสูท แต่ใส่ชุดคลุมยาวแบบโบราณ
แม้เป็นยามราตรี ทว่าท่ามกลางความมืด ในบางช่วงบางระยะมีดวงตาสีแดงหรือไม่ก็สีทองบางคู่กวาดมองไปทั่วรถอย่างระแวดระวัง แต่วินาทีถัดมาก็หลับปรือลงประหนึ่งถูกเข็มทิ่มแทง
ลมปราณของผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับสมบูรณ์ทั้งสองคนนี้!
ประหนึ่งกระบี่แหลมคมยามรัตติการ ช่างเสียดตาอะไรแบบนี้!