ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 5 เภสัชพาณิชย์ยักษ์ใหญ่ (2)
ท่ามกลางรัตติกาลแสงไฟสว่างนวลงามตา ภายในตึกสูงใหญ่ยังมีไฟอีกหลายดวงยังคงเปิดสว่างอยู่ แสงไฟนีออนส่องประกายระยับขึ้นมา กบตัวหนึ่งนั่งนิ่งอยู่ในมุมมืดจนดูราวกับรูปปั้นหินสลักจริงๆ ร่างใหญ่มหึมาอยู่ท่ามกลางแสงไฟนีออน แผ่กลิ่นอายมีเสน่ห์ชวนพิศวง
นี่คือภาพที่ปรากฏขึ้นบนสายตาของสวีหยางอี้
ทว่าในสายตาของคนอื่นๆ บนดาดฟ้าของที่นี่กลับไม่มีอะไรอยู่ทั้งนั้น
“คุณผู้ชายคะ…คุณคือ…” พนักงานแผนกต้อนรับเห็นสวีหยางอี้เดินเข้ามา ก็ไม่ขัดขวางแม้แต่น้อย เพราะเครื่องแบบตำรวจเป็นบัตรผ่านทางชั้นดีอยู่แล้ว สวีหยางอี้ชูบัตรเจ้าพนักงานในมือขึ้น “ในบริษัทของคุณมีผู้เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ผมต้องเข้าไปข้างในเดี๋ยวนี้”
“คดี…ฆาตกรรมต่อเนื่อง?” เสียงพนักงานแผนกต้อนรับพลันสูงขึ้นทันที ในเดือนนี้มีคนเสียชีวิตอย่างประหลาดติดต่อกันยี่สิบคนแล้ว ได้ยินว่าตอนนี้คาบเรียนเสริมภาคค่ำก็ถูกยกเลิกไปหมดแล้ว นี่มันเรื่องจริงหรือ นี่ตำรวจจริงหรือ แล้วมีผู้ต้องสงสัยอยู่ในตึกเราจริงหรือ!
สวีหยางอี้ไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่ จึงโยนเอกสารรับรองไปให้อีกฝ่ายบนโต๊ะแล้วตรงไปที่ลิฟต์ทันที
“ติ๊งต่อง…” ลิฟต์หยุดอยู่ที่ชั้นสิบห้าอย่างแม่นยำ เขามองไปภายในชั้นถึงได้พบว่าทั้งชั้นเป็นห้องประชุม
ห้องประชุมผู้ถือหุ้น ห้องประชุมย่อย ห้องสัมมนางานวิจัย…เขาใช้มือซ้ายคว้าอากาศเบาๆ แล้วยกขึ้นมาปล่อยตรงจมูกเพื่อดมกลิ่น จากนั้นก็ย่างเข้าไปในห้องประชุมผู้ถือหุ้นอย่างแม่นยำ
“สวัสดีตอนเย็น ต้องอภัยเป็นอย่างสูงที่มารบกวน” เขาเปิดประตูออก แล้วโค้งคำนับเล็กน้อยอย่างมีมารยาท “ถ้าไม่อยากตาย ออกมาเจอหน้าเจอตากันสักหน่อยได้ไหม”
ภายในห้องประชุมว่างเปล่ามืดสลัว หากก็ยังสามารถมองเห็นกิ่งไม้จำลองบนโต๊ะได้ เมื่อมองลอดผ่านไปก็ยังเห็นหน้าต่างขนาดใหญ่ยาวจรดพื้น ด้านนอกนั้นเป็นแสงไฟระยิบระยับราวกับดวงดาวทอประกายแวววับเต็มฟ้า แต่งแต้มค่ำคืนที่ไม่ปกตินี้ให้สว่างไสวขึ้นมา
ไม่มีใครขานรับ
“ไม่ต้องตื่นเต้นไปหรอก ฉันเข้าใจความกังวลของแกดี ฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะคุยแบบใจเย็นๆ” เขายิ้มบางๆ อย่างสุภาพ ก่อนจะคว้าเก้าอี้มายกขึ้นและวางลงบนพรมหนาๆ อย่างระมัดระวังและไม่ส่งเสียงเลยสักนิด เขาค่อยๆ นั่งลงและตบเครื่องแบบตำรวจ “ใช้ชีวิตยากลำบากอยู่ในสังคมมนุษย์มานานขนาดนี้ จนในที่สุดก็คว้าโอกาสร่วมงานกับธุรกิจชื่อดังไว้ได้สำเร็จ จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องใบหน้าปีศาจ ไม่เปลี่ยนไป ไม่เติบโต จนเพื่อนบ้านกับเพื่อนร่วมห้องเรียนต้องสงสัยว่าทำไมไม่กี่ปีก็ต้องย้ายที่อยู่ที และไม่ต้องกังวลว่ามื้อต่อไปจะกินอะไร ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเขตล่าเหยื่อที่แน่นอนเป็นของตัวเอง และยังได้โบนัสก้อนโตอีก ฉันเข้าใจทั้งหมดนั่นแหละ”
“แต่ว่า…ความอดทนของฉันก็มีขีดจำกัด แกดูสิ นี่เป็นการสอบจบของฉัน เราจะเข้าใจกันหน่อยได้ไหม…ฉันคนนี้น่ะนะ เป็นคนใจร้อน พอใจร้อนขึ้นมาก็จะอารมณ์ไม่ค่อยดี…” เขาหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดบุหรี่มวนหนึ่งด้วยท่าทางสบายใจ แล้วสูบเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง ผ่านไปสามวินาที เมื่อเห็นว่าห้องประชุมเงียบสงัดอย่างกับห้องดับจิต ราวกับเขากำลังพูดคนเดียว จึงได้ยิ้มออกมา “ใช้มารยาทก่อนค่อยใช้กำลัง และตอนนี้ฉันใช้มารยาทจบแล้ว”
ใบหน้าเขาประดับรอยยิ้มบางๆ อยู่เช่นเคย ในมือเขากำไฟแช็กไว้ ก่อนจะปรับเร่งไฟให้แรงสุด แล้ววางลงบนโต๊ะประชุมเบื้องหน้าตัวเอง
“พรึบ…” เปลวไฟสีส้มสว่างวาบไปทั้งห้อง และยังสาดแสงรำไรเข้าไปปกคลุมในมุมมืดมิด
ในวินาทีต่อมานั้นเอง ก็พลันเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น!
เขาไม่ได้ใช้ไฟแช็กที่ใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิง แต่ใช้ไฟแช็กธรรมดาๆ ชั่ววินาทีที่เข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลขเก้าพอดีนั้นเอง เปลวไฟจากไฟแช็กก็พลันสว่างวาบขึ้นสามครั้ง และทันใดนั้น…ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานดุจโลหิต! บนโต๊ะ…มีแสงสลัวขมุกขมัวอย่างประหลาด ภายใต้แสงสว่างสาดส่องนั้น ปรากฏเงาร่างของปีศาจตนหนึ่ง!
ไม่ใช่คน แต่เป็นเงาของกบยักษ์ตัวหนึ่ง!
ภายในความมืดมิดนั้นมีความสั่นไหว และในความสั่นไหวก็มีอาการสั่นเทา
ทันใดนั้นเปลวไฟก็พลันดับลง และโลกก็ถูกความมืดมิดเข้าครอบงำอีกครั้ง
วิสัยทัศน์ที่เปลี่ยนไปอย่างสุดขั้วอาจทำให้คนทั่วไปรู้สึกปรับตัวไม่ทันได้ ทว่า…ความรู้สึกปรับตัวไม่ทันเช่นนี้ไม่เหมาะกับเขาเลยสักนิด
อยู่ๆ ก็พลันมีแสงสว่างวาบขึ้นท่ามกลางความมืดมิด
ไม่ใช่แสงจากหลอดไฟ ไม่ใช่แสงสะท้อนจากใครทั้งนั้น และยิ่งกว่านั้นคือมันไม่ได้สว่างขึ้นตรงหน้าสวีหยางอี้ แต่เป็นเหนือศีรษะเขา!
มันเรียวเล็ก และมีสีแดงฉานดุจโลหิต มันคือ…
เนตรปีศาจที่สวีหยางอี้คุ้นเคยที่สุด!
วินาทีต่อมานั้นเอง เสียงสายลมประหลาดก็พัดลงมาจากทิศทางที่ไม่น่าเป็นไปได้
วิชาคมวายุสังหาร…ระยะห่างอยู่ที่ 0.65 เมตร ขนาดของแรง 70 กิโลกรัม ความเร็ว 70 เมตรต่อวินาทีโดยประมาณ สมองเขาราวกับเครื่องคิดเลขแสนแม่นยำ สามารถคิดคำนวณตัวเลขมากมายเป็นพรืดได้ภายในเสี้ยววินาที
นัยน์ตาทั้งคู่ของเขาไร้ซึ่งประกายใดๆ ทว่ากลับลึกลงไปอย่างที่สุด ราวกับอัญมณีคู่หนึ่งที่วาววับในยามรัตติกาล ดวงตาคู่นั้นยังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง มันกำลังไล่ล่าทุกความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแม้เพียงอณูเล็กน้อยที่สุดก็ตามที
ทางด้านซ้ายมือของเขาเกิดแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อย เป็นพลังที่ไร้รูปร่างแต่แฝงไปด้วยความรวดเร็วอย่างบ้าคลั่ง ผลักทลายอากาศ ผลักทลายแรงต้านทาน จนแทบจะพุ่งเข้ามาปะทะสัญชาตญาณเขาเข้าให้
ในตอนนั้นเอง สวีหยางอี้ก็เริ่มเคลื่อนไหว
ไร้เสียงลม ไร้เสียงฝีเท้า ราวกับเสือชีตาห์เหยียบย่างในป่าลึก ใช้เนื้อหนาๆ เหยียบลงบนลม ย่ำลงบนเมฆ ไร้ซึ่งเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ มีเพียงเสียงลมพัดแผ่วเบา หากไม่ฟังดีๆ ก็จะได้ยินเพียงเสียงลมพัดผ้าม่านเบาๆ เท่านั้น
สวีหยางอี้ใช้มือบีบคอคนคนหนึ่งสุดแรง ตอนอยู่ที่สำนักงานตำรวจเขาดูไม่ต่างกับคนไม่มีเรี่ยวแรง ทว่าตอนนี้เส้นเลือดที่มือเขาปูดขึ้นชัดเสียจนไม่ต้องสงสัยว่าออกแรงไปมากแค่ไหน
เพียงแต่ดวงตาแดงก่ำกับนัยน์ตาเรียวเล็กตั้งตรงสีทองคู่นั้น ไม่ใช่ของที่มนุษย์ปกติธรรมดาควรจะมี
สายตาของสวีหยางอี้เหลือบไปเห็นมือซ้ายของตัวเอง ก่อนจะเห็นว่าเครื่องแบบตำรวจถูกตัดขาดเป็นรูใหญ่ตั้งแต่หัวไหล่ลงมา แขนเสื้อครึ่งหนึ่งยังห้อยรุ่งริ่งอยู่ รอยขาดนั้นตรงเรียบเสมอกันราวกับถูกมีดตัดอย่างไรอย่างนั้น
เลือดสดๆ เต็มมือที่ไหลลงไปตามเครื่องแบบตำรวจที่ถูกตัดขาดไปแล้วหยดลงบนพื้นส่งเสียงติ๋งๆ ก่อนที่ไฟแช็กจะพลันสว่างวาบขึ้นมาท่ามกลางความมืด ชวนสะดุ้งสุดตัว
สามวินาทีผ่านไปก็ยังไม่ตอบ ลำคอของเด็กหนุ่มราวกับถูกคีมเหล็กบีบไว้ ไม่อาจตอบอะไรได้ จึงทำได้เพียงส่งเสียงถูกบีบรัดดังอั่กๆ ออกมา ขณะที่มือทั้งสองก็พยายามแกะมือของสวีหยางอี้ออกอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่มันก็ราวว่าเขากำลังจับลวดเหล็ก ไม่อาจสั่นคลอนได้เลยแม้แต่น้อย
สวีหยางอี้พ่นควันบุหรี่สีฟ้าครามออกมาแล้วคลี่ยิ้ม
เด็กหนุ่มหอบหายใจหากก็ไม่ตอบคำ สวีหยางอี้เคาะขี้บุหรี่
สวีหยางอี้เอนศีรษะพิงเก้าอี้ ก่อนจะยกมือขึ้นปรามอีกฝ่ายแล้วเอ่ยขึ้นต่อ ในน้ำเสียงนั้นไม่ได้เจือแววอารมณ์แปรปรวนเลยแม้แต่น้อย
เขาคลี่ยิ้มพลางมองอีกฝ่าย