ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 6 เภสัชพาณิชย์ยักษ์ใหญ่ (3)
“ก็ต้องตายน่ะสิ” เด็กหนุ่มยิ้มเย็น “หรือฉันควรจะเชื่อถือสมาชิกระดับล่างของเทียนเต้าที่มาหาฉันถึงที่งั้นเหรอ”
“ป้าบ!” ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี เขาก็กระเด็นไปด้านหลังเสียแล้ว!
เมื่อครู่นี้ หน้าท้องช่วงบนเขาราวกับถูกสันง้าวมังกรเขียวฟันเข้าทีหนึ่ง อีกฝ่ายไม่ทันรอให้เขาพูดจบก็ถีบเขากระเด็นไปแล้ว!
เด็กหนุ่มกล้าสาบานได้ว่าเขาได้ยินเสียงกระดูกซี่โครงหักด้วย!
“แก…” เขามองสวีหยางอี้อย่างแทบไม่อยากจะเชื่อ ตรงทรวงอกยุบลงไปหลุมใหญ่ ทั้งยังเห็นรอยเท้าได้จางๆ ด้วย! ความเจ็บจุกพุ่งทะลักขึ้นมาราวกระแสน้ำ เขากัดฟันกรอด น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเสียงแผดคำรามในชั่วเสี้ยววินาที “แก…มนุษย์ธรรมดาๆ พวกมดมอดอายุไม่ถึงร้อยปี! แกถึงกับกล้าขัดต่อสนธิสัญญาเสินหนงเจี้ย! ฉันเป็นถึงผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของนางเฉา! แกถึงกับ…”
“ตึง!” ทันใดนั้น สวีหยางอี้ก็ยิ้มบางๆ พร้อมยกขาข้างหนึ่งขึ้นฟาดที่ท้ายทอยอีกฝ่ายตามไปด้วย แล้วพลันกดเขาลงกับโต๊ะส่งเสียงดังสนั่น!
เรี่ยวแรงมหาศาลทำให้โต๊ะทั้งตัวสั่นสะเทือน เด็กหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเคียดแค้นถึงขีดสุด ทว่าเมื่อถูกขู่เอาชีวิตก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ไม่กล้าแม้แต่แตะต้องอีกฝ่ายอีก
“อ่านตามฉัน” ท่ามกลางความมืดมิด สวีหยางอี้กดไฟแช็กเล่นเบาๆ แสงไฟสว่างจ้าท่ามกลางความมืดมิดนั้นทำให้เห็นสีหน้าเขาได้ไม่ชัดนัก ทว่าน้ำเสียงราบเรียบกลับแฝงแววเย็นเยียบราวคมมีด “สร้างขอบเขตสังคมที่ดี สร้างกระแสนิยมสังคมปรองดอง”
“แม่Xเอ้ย!”
“ป้าบ!” “เอื้อก!”
สวีหยางอี้ออกแรงเหยียบลงบนช่วงบนของร่างเด็กหนุ่ม ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกหินก้อนมหึมากดทับเอาไว้จนหายใจไม่ออก!
และเพราะการออกแรงเมื่อครู่นี้ จึงทำให้โต๊ะไม้แตกร้าวเป็นรอยแยก กระทั่งถ้วยชาที่วางอยู่ก็ยังสั่นระริกไปด้วย!
เขาต้องตายแน่!
ความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปถึงสุดขั้วหัวใจจนเขาชาวาบไปทั้งร่าง
“ฉันอ่าน! ฉันอ่าน!” ความคิดความอ่านเขาราวกับถูกไฟฟ้าช็อต สมองไร้การตอบสนอง ร่างกายสูญเสียการควบคุม ได้แต่ร้องตะโกนออกมา “สร้าง…สร้างขอบเขตสังคมที่ดี สร้างกระแส…กระแสนิยม…สังคมปรองดอง!”
“ฉันชอบคนที่ให้ความร่วมมือ” สวีหยางอี้ดึงเท้าตัวเองกลับมา แล้วคลี่ยิ้ม “ดูสิ เพื่ออะไรกัน เหล้ามงคลไม่ดื่มจะดื่มเหล้าลงทัณฑ์[1]”
เด็กหนุ่มยืนขึ้นพลางกัดฟันกรอดแล้วนั่งลงบนที่นั่ง แม้แต่มือที่กุมถ้วยชาอยู่ก็ยังขาวซีด
คนคนนี้ตั้งแต่เข้ามาตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะมี “มารยาท” กับเขาสักนิด
หากจะกล่าวถึงเรื่องเวลาแล้วก็ไม่เกินสามวินาทีเท่านั้น มีใครบ้างที่มาออกล่าถึงที่ แต่ยังมาสนทนากับอีกฝ่ายอยู่ได้!
ในยามนี้ลางสังหรณ์ปีศาจของเขาบอกว่า อีกฝ่ายคิดจะฆ่าเขาจริงๆ…และกล้าจะฆ่าเขาจริงๆ!
สนธิสัญญาบ้าบออะไร! อีกฝ่ายไม่ได้สนใจมันเลยสักนิด! อย่าได้เห็นว่าสีหน้าเขาสงบนิ่งเหมือนน้ำในทะเลสาบเชียว หากฉีกหน้ากากภายนอกออกก็จะเห็นว่าหมอนี่มันปีศาจร้ายดีๆ นี่เอง
เขายังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกอีกฝ่ายถีบใส่กำแพงทั้งที่หน้ามันยังยิ้มอยู่ด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาชักจะเชื่อฉายายมทูตหน้ายิ้มนั่นแล้ว!
“แกมันบ้า…” เด็กหนุ่มกัดฟันกรอด เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอาฆาตพยาบาท อัปยศอดสู และเกลียดชังถึงที่สุด “ถึงกับลงมือกับเผ่าปีศาจตามอำเภอใจ ไม่สนใจสนธิสัญญาระหว่างมนุษย์กับปีศาจ…”
สวีหยางอี้กวาดสายตามองอีกฝ่ายเรียบๆ “ฉันถาม แกตอบ”
“อายุ?”
“สิบแปด…” เด็กหนุ่มมองสีหน้าสวีหยางอี้อยู่แวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย จึงรีบเอ่ยขึ้นต่อ “นั่นเป็นอายุในบัตรประชาชนฉัน! ฉันอายุ 33 !”
“หาที่เกาะอาศัยมากี่คนแล้ว”
“ห้าคน แต่ฉันสาบานได้ ฉันไม่เคยฆ่าคน!”
สวีหยางอี้ยิ้มก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น “ฉันก็ว่าน่าจะอย่างนั้น ความแม่นยำของกริชวายุที่แกเอามาจ่อคอฉันห่วยแตกมาก”
มือที่วางอยู่ข้างโต๊ะของเด็กหนุ่มถูกคว้าหมับไว้
“ทำไมต้องหาที่เกาะอาศัย”
“แกก็รู้อยู่แล้วยังต้องถามอีกหรือไง” เด็กหนุ่มเอ่ยแฝงแววอาฆาต “ปีศาจไม่อาจเจริญเติบโตขึ้นได้ ไม่มีวันแก่ แต่ก็มีอายุขัยเช่นเดียวกับมนุษย์ เริ่มเป็นปีศาจเมื่อไรก็หน้าตาเหมือนเดิมตั้งแต่ตอนนั้นไม่เปลี่ยน แกจะทนเพื่อนบ้านแกได้สักกี่น้ำ ถ้าไม่ว่าจะกี่ปีแกก็ไม่แกก็ไม่โตขึ้นเลย ถ้าไม่หาที่เกาะอาศัยจะให้เราเอาบัตรประชาชนมาจากไหนกัน”
เขาว่าจบก็มองสวีหยางอี้พลางยิ้มเย็น “นี่ไม่ใช่แผนการบ้าๆ ที่มนุษย์อย่างพวกแกคิดขึ้นหรือไง เข้าอินเทอร์เน็ตก็ต้องใช้บัตรประชาชน ใครแม่Xเป็นคนคิดขึ้นมา หางานก็ต้องใช้บัตรประชาชน เรียนหนังสือก็ต้องใช้บัตรประชาชน ขนาดไปเที่ยวยังต้องใช้บัตรประชาชน! เรื่องพวกนี้น่ะช่างเถอะ…แต่เถาเป่า! ต้องลงทะเบียนทางอินเทอร์เน็ต! จะเล่นเกมสักเกมก็ยังต้องใช้บัตรประชาชน! สนธิสัญญาเสินหนงเจี้ยเขียนไว้อย่างชัดเจน…เพราะฉะนั้นฉันถึงเกลียดการคบค้าสมาคมกับพวกมนุษย์ที่ทั้งอ่อนแอทั้งเจ้าเล่ห์อย่างพวกแกที่สุด!”
สวีหยางอี้ไม่ได้เอ่ยอะไร เขาสูบบุหรี่เข้าไปอึกหนึ่งแล้วถึงได้เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เลี่ยนชี่(ปรับลมปราณ)…จู้จี(สร้างฐานลมปราณ)…เจี๋ยตัน(แผ่ขยายลมปราณ)… สามขั้นใหญ่ๆ ที่จะนำไปสู่การบรรลุ…ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่ต้องต่อสู้กับลิขิตฟ้า ค่อยๆ ก้าวข้ามผ่านไปทีละขั้น แต่แกถึงขนาดไปท่องโลกมนุษย์ได้เลยอย่างนั้นเหรอ”
เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง สายตาที่มองไปยังสวีหยางอี้แฝงไปด้วยแววเย็นเยียบ ขณะที่ในน้ำเสียงก็เจือแววเกลียดชังเข้ากระดูกดำ “แกคิดว่าฉันอยากเป็นอย่างนี้หรือไง กว่าจะได้เจอหนทางฝึกตน อันดับแรกรัฐบาลออกอุบายเปิดงานประมูลขึ้นมางานหนึ่ง แล้วให้คนที่เลือกไว้แล้วได้รับประมูลไป จากนั้นก็ให้สมาชิกระดับสูงในสำนักเทียนเต้าเริ่มงานก่อสร้างทันที กลุ่มเก้าองค์กรอุตสาหกรรมก่อสร้างแห่งชาติ เคยได้ยินไหม ไม่เคยได้ยินล่ะสิ ใครๆ ก็รู้ว่ามีแค่แปดองค์กรเท่านั้น…นั่นก็เตรียมไว้สำหรับสำนักเทียนเต้าของพวกแกยังไงล่ะ! ไม่อย่างนั้นแกคิดว่าหินวิญญาณที่แกได้มาตอนฝึกตนจนถึงขั้นเลี่ยนชี่มาจากไหนกัน”
“จากนั้น ในแต่ละขั้นของการฝึกลมปราณ ระหว่างที่มนุษย์กำลังฝึกในขั้นจินตัน เหล่าหัวหน้าปีศาจก็แบ่งอาณาเขตกัน เฮอะๆ…สมัยนี้มันเป็นยุคข่าวสาร ถ้าพวกปีศาจระดับหัวหน้าตนไหนจะฆ่าล้างเมือง คงปิดปากใครไว้อย่างเรื่องโรงงานระเบิดหรือเขื่อนแตกอะไรเทือกนั้นไม่ได้หรอก เกรงว่าแม้แต่ประธานาธิบดีคนปัจจุบันก็คงหนีไม่พ้นแล้วล่ะ! ไม่งั้นปริศนาหลายพันปีนี้ใครจะเป็นคนมาเปิดโปง หึๆ…ไม่มีใครกล้าหรอก!”
โลกใบนี้เป็นของมนุษย์ หนทางการฝึกตนนั้นยิ่งฝึกยิ่งอายุยืน ฝึกถึงขั้นเลี่ยนชี่อายุยืนร้อยปี ถึงขั้นจู้จีอายุยืนสองร้อยปี ถึงขั้นจินตันอายุยืนสามร้อยปี แต่สำหรับขั้นสูงกว่านั้นอย่างขั้นหยวนอิง(ปราณก่อนกำเนิด)…ที่เขาเองก็ไม่เคยได้ยินขั้นต่ำเหมือนกัน เนื่องจากได้สาบสูญไปมากกว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว
ขั้นตอนการฝึกตนหลักๆ 3 ขั้นตอน ได้แก่ เลี่ยนชี่ จู้จี จินตัน ซึ่งจะสอดคล้องกับการแปลงร่าง หนทางสู่การบรรลุปราณขั้นสูง และลมปราณปีศาจ แต่ขั้นหลังจากนั้น… ไม่เคยมีใครเคยพบเจอมาก่อน โดยแต่ละขั้นล้วนแล้วแต่ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ลำพังแค่หินวิญญาณที่ใช้สำหรับดูดซับพลังก็เป็นของขาดตลาดมากที่สุดแล้ว
แต่เพราะประเทศให้การสนับสนุน ทำให้มนุษย์มีทรัพยากรเพียงพอสำหรับการฝึกบำเพ็ญ และแน่นอนว่าความเพียงพอที่ว่านี้ตรงกันข้ามกับเผ่าปีศาจโดยสิ้นเชิง
ทว่าเผ่าปีศาจกลับดีกว่าตรงที่ว่าสามารถแปลงร่างได้สะดวกรวดเร็วกว่า สามารถเข้าออกหุบเขาลำธารมีชื่อเพื่อเสาะหาโบราณสถานได้ ถือได้ว่ามีโอกาสมากกว่ามนุษย์มากนัก ทั้งยังได้รับการสืบทอดทางสายเลือดอีก แม้จะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ปีศาจก็แข็งแกร่งกว่ามนุษย์มากกว่าหนึ่งในสามเท่า
และหลังจากที่ปีศาจฝึกบำเพ็ญลมปราณจนบรรลุแล้วจะยิ่งเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ส่วนการแปรเปลี่ยนแก่นแท้ สามารถแปลงร่างกลับไปมาระหว่างร่างมนุษย์และร่างปีศาจได้ตามใจชอบนั้น มนุษย์จะต้องฝึกบำเพ็ญจนถึงขั้นหยวนอิงเสียก่อน แต่ผู้ที่สำเร็จถึงขั้นนี้ก็หายสาบสูญไปจนเกือบหมดแล้วเช่นเดียวกัน
ฝั่งหนึ่งได้เปรียบเรื่องจำนวนผู้ฝึกตนมีมาก ทั้งผู้ฝึกตนที่มีคุณสมบัติโดดเด่นก็มีมาก ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็ได้เปรียบตรงที่คนน้อยแต่แข็งแกร่ง ทว่าในด้านการ “ใช้ชีวิต” อันเป็นจุดหลักสำคัญนี้ ทั้งสองฝั่งได้หลอมรวมกันจนแยกไม่ออกตั้งนานแล้ว ปีศาจต้องการกำลังคนจากมนุษย์เพื่อสะสมทรัพยากรให้กับตัวเอง มนุษย์เองก็ไม่อยากบีบคั้นอีกฝ่ายมากเกินไปนัก ในยุคสมัยที่สงบสุขดีอยู่แล้วเช่นนี้ หากบีบคั้นจนพวกปีศาจเกิดคลั่งจนฆ่าล้างเมืองไปทั่ว กลเกมการเมืองและสมดุลระหว่างประเทศก็คงจะต้องเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
อย่างน้อยที่สุด ภายนอกก็เป็นแบบนี้
“ต่อ” สวีหยางอี้เคาะโต๊ะ “เมืองซานสุ่ย…มีเขตล่าเหยื่อกี่เขต”
“แปดเขต” เด็กหนุ่มตอบอย่างไม่ลังเล “ปีศาจใช้ประสาทนำทางได้ดีมาก ปีศาจที่ฝึกบำเพ็ญทุกตนล้วนสามารถแบ่งแยกเขตล่าเขตของตัวเองได้ ปีศาจอื่นไม่มีทางย่างกรายเข้ามาในเขตล่าเหยื่อของพวกเขาได้ ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับเข้ามาดวลตาย ฉันว่า…สำนักงานตำรวจเองก็คงไม่อยากเห็นภาพเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่ปีศาจทุกตนในเผ่าปีศาจจะฝึกบำเพ็ญได้ มีแค่ปีศาจชั้นล่างที่อยู่ในขั้นแปลงร่างได้เท่านั้นถึงจะเริ่มมีเขตล่าเหยื่อเป็นของตัวเอง ซึ่งฉันรับประกันได้ว่าปีศาจที่อยู่ในขั้นแปลงร่างได้ในเมืองซานสุ่ยมีไม่เกินแปดตน และฉันเป็นหนึ่งในนั้น!”
สวีหยางอี้ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ เขาอยู่ในสำนักเทียนเต้าจึงพอจะเข้าใจการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับปีศาจอยู่บ้าง แต่อันที่จริงก็ไม่ได้เข้าใจมากไปกว่าอธิบดีเจิ้งสักเท่าไรนัก
แต่สิ่งที่เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็คือ…การสังหารปีศาจอย่างไรให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ไม่ว่าจะเป็นปีศาจ วิญญาณ ภูติ สัตว์ประหลาด แค่เริ่มลงมือเขาก็รู้แทบจะรู้จุดอ่อนที่สามารถเอาชีวิตอีกฝ่ายได้แล้ว
อย่างอื่นก็แค่เป็นความรู้มาประดับเสริมความมั่นใจเท่านั้น งานถนัดที่แท้จริงของเขาคือการสังหารต่างหาก
กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็ยังนับว่าเป็นคนที่ใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่ง หรืออย่างน้อยที่สุดก็เคยเป็น
“ช่วงนี้มีปีศาจจากที่อื่นผ่านมาหรือเปล่า” สวีหยางอี้ถามอย่างใจเย็น
“แน่นอน…” เด็กหนุ่มยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ฉันรู้ว่าแกกำลังหาอะไรอยู่…ทำไม เทียนเต้ารับภารกิจจากเมืองซานสุ่ยมาแล้วหาฆาตกรไม่เจอหรือไง แก…อ๊า! แก…เบาๆ! อ๊าก! ปล่อย!”
สวีหยางอี้กดมือลงที่เส้นเลือดใหญ่ที่คออีกฝ่ายเบาๆ แต่กลับไม่ได้มองอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เพียงมองก้นบุหรี่ในมือที่ส่องประกายไฟวูบวาบอยู่เท่านั้น
“ฉันต้องการแค่คำตอบ” เขาเขี่ยก้นบุหรี่ “ไม่ใช่คำพูดไร้สาระ”
เผ่าปีศาจก็เป็นสังคมๆ หนึ่งเช่นกัน แต่เขาไม่มีอารมณ์และไม่ได้มีหน้าที่ไปฟังเรื่องโครงสร้างทางสังคมของอีกฝ่าย
วิธีการสืบสวนของเขา เรียบง่ายและป่าเถื่อน นโยบายการทำงานของเขาก็คือ ขอแค่ให้ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นพอ
ไม่พูด
ได้
งั้นก็เอาชีวิตมาแลก
“แกมันบ้า…” แม้แต่ริมฝีปากของเด็กหนุ่มก็สั่นระริก เขากลัวเข้าแล้วจริงๆ หลายปีที่ผ่านมานี้ เขาไม่เคยเจอคนของเทียนเต้ามาก่อน มีชีวิตอยู่มาสามสิบกว่าปี ไร้ซึ่งความกริ่งเกรงต่อกองกำลังมนุษย์กลุ่มนี้ไปตั้งนานแล้ว อีกอย่าง เขาก็เคยฆ่าคนมาไม่มากนัก เขาไม่ใช่ปีศาจกินเนื้อ เทียนเต้าจึงไม่อาจมาเพ่งเล็งอะไรเขาได้
แต่กับคืนนี้…เด็กหนุ่มอายุยี่สิบตรงหน้านี้ กลับทำให้เขาต้องหวนกลับไปคิดทบทวนเรื่องทั้งหมดใหม่อีกครั้ง
“คืนนี้ฉันยอมแพ้” เมื่อเห็นว่ามือนั้นชักกลับไปแล้ว เด็กหนุ่มจึงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยพลางยิ้มเฝื่อนๆ “คนที่แกต้องการหา อยู่ตึกร้างทางทิศใต้ของจิ่วโจวเมืองจื้อเยี่ย นับแต่นี้เป็นต้นไป เราไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันอีก!”
พูดจบเด็กหนุ่มก็เปิดประตูดังปัง แต่ระหว่างที่กำลังจะออกไปนั้นเองก็หันใบหน้าเขียวคล้ำกลับมา “แกยังไม่ได้ถามชื่อฉันเลย”
“งั้นเหรอ” สวีหยางอี้เหม่อลอยมองทิวทัศน์ยามค่ำคืน “ไม่เห็นสำคัญเลยสักนิด”
“โครม!” เด็กหนุ่มปิดประตูสุดแรงส่งเสียงดังสนั่น ก่อนจะพุ่งออกจากประตูไปด้วยสีหน้าเดือดดาลสุดขีด
“ไอ้ลูกครึ่งพันธุ์แม่เป็นอีตัว…” ในวินาทีที่เขาออกจากประตูไป เขาลอบเม้มริมฝีปากไว้แรงๆ แล้วมองประตูไปที่ประตูแวบหนึ่งพลางยิ้มเย็น “คิดจริงๆ เหรอว่าไม่มีอะไรที่เทียนเต้าทำไม่ได้ อย่าลืมนะว่าแกก็แค่นักศึกษาฝึกงานที่ยังเรียนไม่จบ! เฮอะๆ…แกคงไม่เคยคิดว่า มันมีสิทธิ์อะไรถึงได้มาฆ่าคนอย่างบ้าคลั่งที่เมืองซานสุ่ยนี่ ไม่มีคนคุมเผ่าปีศาจหรือไง สนธิสัญญาเสินหนงเจี้ยเป็นแค่คำพูดเล่นเท่านั้นจริงๆ เหรอ”
“ไม่ใช่คุมไม่ได้…แต่ไม่กล้าคุมต่างหาก…ในเมืองซานสุ่ยนี่ไม่มีปีศาจตนไหนกล้าโผล่หัวออกมาสักตน…เฮอะๆๆๆ…ฉันล่ะเฝ้ารอคอยอยู่เชียว…ภาพแกถูกมันฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆ…” ร่างของมันเหมือนเป็นเพียงภาพมายา ค่อยๆ สลายไปเหมือนกับควัน “…วางใจได้…ถึงตอนนั้นฉันจะช่วยสงเคราะห์แก ‘อย่างดี’ ทีเดียว…”
——————————————————————————————–
[1] เหล้ามงคลไม่ดื่ม จะดื่มเหล้าลงทัณฑ์ เป็นสำนวนจีน หมายถึง เรื่องที่จำเป็นต้องทำกลับไม่ยอมทำ ต้องให้บังคับถึงจะทำ