ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 8 ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย
“ตึก…ตึก…” หลังจากปิดคอมพิวเตอร์ลงเขาก็เคาะโต๊ะเบาๆ ภายในห้องพลันเงียบสงบลงอย่างเคย สายตาของทุกคนหันมามองเขาด้วยความงุนงง ก่อนจะส่งเสียงซุบซิบดังขึ้นกว่าเดิม
พวกเขาไม่ได้เห็นเด็กเส้นไม่เอาถ่านคนนี้อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“เงียบหน่อย” สวีหยางอี้ประคองถ้วยชาขึ้นจิบอย่างไม่รีบร้อน
เสียงซุบซิบนินทาพลันเงียบลงเล็กน้อย ขณะที่รองหัวหน้าเฉินยังคงกลอกตาใส่อยู่เหมือนเดิม
“คืนนี้ไปจับผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมต่อเนื่องกัน จับกุมเรียบร้อยแล้วผมจะไปจากเมืองซานสุ่ย” สวีหยางอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท พลางเป่าน้ำชาให้ก้านใบชาลอยห่างออกไปเล็กน้อย
วินาทีต่อมานั้นเอง ในที่นั้นก็พลันเงียบกริบลง
ต่างคนก็ต่างมองกันไปมา รองหัวหน้าเฉินเบิกตามองเหล่าจู เหล่าจูเองก็เบิกตามองเขากลับไปเช่นกัน
ผีหลอกกลางวันแสกๆ แล้วล่ะมั้ง
ไอ้หน้าละอ่อนบอกว่าจะจับผู้ต้องหางั้นหรือ ทั้งยังเป็นผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมต่อเนื่องอีกด้วย
คุยโม้อะไรของมัน! ขนาดประชุมเมื่อวานมันยังหลับได้ วันนี้จะจับผู้ต้องหา แกคิดว่าตัวเองเป็นเชอร์ล็อก โฮมส์ หรือคินดะอิจิหรือไง
“หัวหน้าสวี…” ตำรวจนายหนึ่งอายุสี่สิบกว่า เมื่อพูดเรื่องงานเขาก็พลันจริงจังขึ้นมา เขานิ่งไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “การทำคดีเป็นงานละเอียดมาก…เราต้องการสถานที่ที่ผู้ต้องหาปรากฏตัวกับสิ่งที่ใกล้ชิดกับผู้ต้องหาเพื่อเอาไปสืบ…แต่ไม่มี…”
“ผมละเอียดมากนะ” สวีหยางอี้โบกมือ “แหล่งข่าวเชื่อถือได้แน่นอน ผู้นำเมืองก็เห็นชอบแล้ว มีปัญหาผมรับผิดชอบเอง”
“คุณจะรับผิดชอบยังไง!” รองหัวหน้าเฉินโพล่งขึ้นอย่างเดือดดาล เสียงดังลั่นราวฆ้องแตก “คุณทำเสร็จก็ไป! จะรับผิดชอบยังไง ก็ทิ้งเรื่องวุ่นวายไว้ให้ผมอยู่ดีไม่ใช่หรือไง!”
“คุณดู!” เขาชี้ไปยังทุกคนในที่นั้น “พวกเราหน่วยสืบสวนทุกคนหวังว่าคดีใหญ่จะช่วยสร้างชื่อ เหล่าพี่น้องต่างเฝ้าคอยคดีนี้ เมื่อก่อนหัวหน้ากงสอนเราทำคดีเองกับมือ ค่อยๆ คิดอย่างรอบคอบไปทีละขั้นละตอน หรือจะให้พูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ คุณเพิ่งมาใหม่ ประสบการณ์คุณมากกว่าเราหรือไง ถ้าคุณรับผิดชอบคดีนี้แล้วเกิดปัญหาขึ้นมาจะทำยังไง คุณกลัวผมเกิดขนาดนั้นเลยหรือไง”
“หัวหน้าสวี ทุกคนรู้ดีว่าคุณมาเพื่อทำงานเอาหน้าไปอย่างนั้น ก็ไม่เป็นไร มีหน่วยงานไหนไม่มีคนทำงานเอาหน้าบ้าง” ตำรวจหญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีคล้ายว่าจะเคารพนบนอบ “แต่จะทำงานเอาหน้าก็ต้องรู้กฎของการทำงานเอาหน้า อะไรไม่ควรยุ่งก็อย่ายุ่ง และเรื่องสำคัญที่สุดก็คือเอาความดีความชอบไป คุณว่าจริงไหม”
ความนัยก็คือ…ไม่สิ เธอพูดอย่างชัดเจนแล้ว แต่น่ารังเกียจที่สุดก็คือคนที่ไม่รู้อะไรสักอย่างแต่ยังดึงดันจะคว้าดาบออกศึกอยู่ได้!
และสวีหยางอี้ในตอนนี้ก็รับบทบาทเป็นคนที่น่ารังเกียจที่สุดคนนั้นเองอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าสวีหยางอี้กลับไม่โกรธเลยสักนิด เขากวาดสายตามองทุกคนรอบหนึ่ง มันเป็นงาน กับเรื่องงานแล้วเขาไม่เคยทำอะไรลวกๆ
“ผมบอกแหล่งข่าวไม่ได้ และพวกคุณก็ฟังไม่ได้ด้วย…”
“เฮอะๆ…” เหล่าจูหัวเราะแห้งๆ สองคำ “ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าทุกคนจะฟังเรื่องสายของหัวหน้าหน่วยสืบสวนไม่ได้… คุณกำลังจะบอกว่าในพวกเรามีหนอนบ่อนไส้งั้นเหรอ หนอนบ่อนไส้ของใครล่ะ พวกมาเฟีย? ดูเหมือนในหวาซย่าจะไม่มีนะ พวกค้ายา? เมืองซานเจียงของเราอยู่ริมสุดทางทิศตะวันตก ประเทศที่อยู่ติดกันทางด้านขวาแม้แต่ข้าวจะกินให้อิ่มยังไม่มีด้วยซ้ำ แต่ไหนแต่ไรพวกยาเสพติดก็มาจากทางตะวันออกเฉียงใต้ หัวหน้าสวี ผมคงไม่กล้าจะเห็นด้วยกับคำพูดคุณหรอกนะ”
สวีหยางอี้ยังคงใจเย็น แล้วเอ่ยเรียบๆ “ฟังผมพูดให้จบ”
“ไม่ต้องพูดแล้ว!” รองหัวหน้าเฉินแค่นเสียงเย็นๆ แล้วลุกพรวดขึ้น ไม่ต้องพูดถึงการไม่เคารพอะไรทั้งนั้น ทั้งหน่วยสืบสวนนี้ใครจะก่นด่าเขาก็ได้ ขอแค่ฟังคำสั่งก็พอ แต่หัวหน้าหน่วยจะด่าไม่ได้! และคนในหน่วยสืบสวนนี้คบค้าสมาคมกับพวกคนเลวทรามทุกวัน มีใครบ้างที่ยังใจเย็นอยู่ได้ แต่ละคนแทบอยากจะจับมันมาตีให้ตายล่ะสิไม่ว่า
พวกเขานับถือเพียงความสามารถเท่านั้น ไม่มีความสามารถจริงก็อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ และต่อให้ที่นี่จะเป็นกองทัพอวกาศที่มีเด็กเส้นลอยลงมาจากฟ้าอย่างแกก็ไม่มีประโยชน์ อย่างดีข้าก็แค่ก็แค่สะบัดก้นลาออกไปเป็นนักสืบเอกชนเท่านั้นแหละ!
สวีหยางอี้หลับตาลง
“ผมก็ไม่เห็นด้วยให้หัวหน้าสวีนำทีม! ถ้าคุณจะมานำทีม งั้นผม เหล่าจู เหล่าฉิน ใครก็นำทีมได้ทั้งนั้น! นี่มันเกี่ยวพันถึงฆาตกรบ้าคลั่งแล้วก็ผลงานของพวกเราทุกคน…”
“หุบปากแม่Xให้หมด”
วินาทีต่อมานั้นเอง ฝาครอบถ้วยชาก็พลันปลิวมา หลังจากเสียงวุ่นวายโกลาหลเงียบลง เสียงร้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจก็ดังขึ้น
“ฉิบหาย!” “เป็นอะไรวะ” “เกิดอะไรขึ้น!” “นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย…”
เก้าอี้ของสามสี่คนในที่นั้นหักออกเป็นสองท่อน!
“ตึ่ง!” เสียงสะท้อนของอะไรบางอย่างกระแทกเข้ากับผนังห้องดังลั่น
ภายในห้องเงียบกริบเหมือนกับตอนที่สวีหยางอี้โยนปากกาวันนั้นไม่มีผิด
เหล่าจูเหงื่อแตกพลั่ก เขาหันไปมองยังแหล่งที่มาของเสียงสุดท้ายด้วยอาการสั่นเทิ้ม ทว่าเพียงหันไปมองแวบหนึ่งสีหน้าก็พลันว่างเปล่า ร่างทั้งร่างแข็งทื่อแน่นิ่งอยู่ที่เดิมราวกับก้อนหิน!
มีฝาครอบถ้วยชาอยู่ตรงนั้น
ฝาครอบถ้วยชาเซรามิกธรรมดา งดงามเนื้อบาง แต่ตอนนี้กลับเหมือนกระบี่เล่มหนึ่งที่เหลือแค่ครึ่งเล็กๆ อยู่บนผนัง ส่วนที่เหลือนั้น…
ปักจมลงไปในผนังแล้ว!
ฝาครอบถ้วยชาบางๆ ที่พอสัมผัสก็เกิดเสียงใสกังวานใบนั้น เมื่อครู่ยังอยู่ในมือสวีหยางอี้อยู่แท้ๆ แต่พอวินาทีต่อมากลับเหมือนอาวุธลับตัดขาเก้าอี้ทั้งสามขาหักแล้วพุ่งปักเข้าไปบนผนัง! แต่กลับไม่ได้ทำให้ใครได้รับบาดเจ็บสักคน!
คนต่อมาคือเหล่าจู สิ้นเสียง “ฉึก” นั้นเขาก็เบนสายตากลับมาสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็เงียบกริบลงอีกครั้ง
ถัดจากนั้นก็เป็นเหล่าฉิน และต่อมาก็เป็นคนอื่นๆ
หนึ่งคน สองคน สามคน…
ทุกคนล้วนเห็นฝาครอบถ้วยชาใบนั้น!
มันไม่เหมือนกับการโยนปากกาครั้งที่แล้ว ครั้งนั้นปากกาปักลงไปในโต๊ะแผ่นบางๆ เดิมทีมันก็เป็นแค่โต๊ะถูกๆ เท่านั้น พวกเขาอาจจะทำไม่ได้ แต่มันก็ยังอยู่ในขอบเขตที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้ แต่ครั้งนี้มันเกินกว่าที่พวกเขาจะเข้าใจได้แล้ว!
ทุกคนพลันเกิดความรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาที่ลำคอ
“เฮอะๆ…” เหล่าฉินคือหญิงสาววัยกลางคนคนนั้น เธอหัวเราะแห้งๆ สองคำ รอยยิ้มนั้นดูน่าเกลียดยิ่งกว่ายามร้องไห้เสียอีก เธอเอ่ยพลางอึกอัก “นี่…นี่…นี่มันถ้วยชาแบบพิเศษใช่ไหม…”
ไม่มีใครสนใจเธอ หรือพูดอีกอย่างก็คือยังไม่มีใครดึงสติกลับมาจากความตื่นตระหนกได้นั่นเอง
“หันมานี่” เสียงสวีหยางอี้ดังขึ้นจากด้านหลัง ทุกคนจึงหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าว่างเปล่า ราวกับไม่รู้จักกันอย่างไรอย่างนั้น
“พูดดีๆ พวกแกไม่ฟัง” สวีหยางอี้ลืมตาขึ้น “ยินดีด้วย พวกแกทำให้ฉันรำคาญถึงขีดสุดแล้ว”
“มีหนึ่งก็มีสอง มีสองแล้วก็มีสาม…เตือนพวกแกกี่ครั้งแล้ว ไม่ฟัง เตือนยังไงก็ไม่ฟัง…” “ป้าบ!”เขาพลันตบโต๊ะดังป้าบ ก่อนจะช้อนสายตาเดือดดาลนั้นขึ้น “ฉันแม่Xไม่ใช่แม่แกสินะ!”
“พวกคณะกรรมการระดับสูงต้องเปลืองแรงเชิญฉันมาแค่ไหน คิดว่าฉันอยากรับหน่วยสืบสวนนี่มากหรือไง!” เขาชี้นิ้วไปที่ประตูใหญ่ คิ้วทรงกระบี่กับแววตาเดือดดาล และสุรเสียงที่คมกริบยิ่งกว่ามีด แตกต่างกับท่าทางไร้อารมณ์ไม่สะทกสะท้านในยามปกติโดยสิ้นเชิง “ไม่อยากทำก็ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
ไม่มีใครขยับเขยื้อน หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ…ไม่มีใครกล้าขยับต่างหาก
ดังที่ใครก็คิดไม่ถึงว่า นี่ต่างหากถึงจะเป็นความเดือดดาลที่แท้จริงของเขา
ปากกาบินครั้งที่แล้วก็เป็นแค่การเตือนเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นจริงๆ
“ไปซะสิ เห็นข้าขัดหูขัดตานักไม่ใช่หรือไง” สวีหยางอี้ยกชาขึ้นดื่ม เขาอดทนเก็บกลั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยมองทุกคนด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก “กบในกะลามีเหรอจะรู้ว่าแม่น้ำมันกว้างใหญ่แค่ไหน ฉันจะบอกพวกแกให้สองเรื่อง”
เขาชูนิ้วขึ้นสองนิ้ว “เรื่องแรก คนที่ปกติพวกแกก้มหน้าหน้าโค้งคำนับเรียกว่า ‘หัวหน้า หัวหน้า’ นั่นน่ะแหละเป็นคนเชิญฉันมา ฟังให้ดี ฉันพูดว่าเชิญ! ทำไมน่ะเหรอ ก็เพื่อคดีนี้ไง”
“ตึก ตึก” เสียงเคาะโต๊ะดังขึ้นเบาๆ ทว่าทุกคนกลับยังพูดอะไรไม่ออก
ฝาครอบถ้วยชายังอยู่ที่ด้านหลังของตน ต่อให้อยากพูด…ก็ต้องทนเอาไว้
เสียงเขากลับมาราบเรียบอีกครั้ง หากก็ยังเย็นเยียบจนชวนสยดสยอง เขามอง“เพื่อนร่วมงาน”ที่ถูกตวาดเสียจนนิ่งเงียบไป ก่อนจะแค่นเสียงเฮอะมาคำหนึ่ง “เรื่องที่สอง พวกแกเข้าไม่ถึงคดีนี้หรอก”
“ฉันพูดจบแล้ว” เขานั่งลงไขว่ห้างบนเก้าอี้ พลางประคองถ้วยชาไว้ในมือ “ไม่อยากทำ ก็ ไส หัว ไป เดี๋ยว นี้!”
“ไหนคนที่จบจากโรงเรียนตำรวจสักคนสองคนลองบอกฉันหน่อยซิว่าคำว่า “ฟังคำสั่ง” สองคำนี้เขียนยังไง ฉันไว้หน้าพวกแก แต่พวกแกกลับยิ่งได้ใจ หึๆ… ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ใครแม่Xบอกพวกแกว่าฉันเป็นเด็กเส้น”
“เตือนครั้งหนึ่งก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง สองครั้งก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง พวกแกนี่มันสมควรเป็นตำรวจเล็กๆ ไปทั้งชาติจริงๆ!”
เสียงดังสนั่นก้องไปทั้งห้องจนทำเอาคนแทบหูแตก แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าสบตากับเขาสักคน
นี่คือพลังอำนาจ พลังที่แม้จะเอาของพวกเขาทุกคนมารวมกันก็ยังเทียบกับสวีหยางอี้ในตอนนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
สวีหยางอี้มองทุกคนด้วยอารมณ์สงบเยือกเย็น เดิมทีเขาก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับคนพวกนี้อยู่แล้ว คนพวกนี้เป็นแค่คนธรรมดาทั้งนั้น ไม่เหมือนกับเขา ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยอะไร ทว่า…
คืนนี้ ต้องดำเนินการจับกุม!
ตนยังไม่ได้ใบจบ และยังเป็นเพียงนักศึกษาฝึกงานเท่านั้น จะมีกำลังมาจากไหนมากมาย
เพราะฉะนั้นเขาถึงต้องทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย แทนที่จะมาโต้เถียงหรืออธิบายกับพวกเขา ไม่สู้ใช้ยุทธวิธีรุนแรงและฉับไวให้คนพวกนี้พูดอะไรไม่ออกเสียยังจะดีกว่า
ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าผลออกมาไม่เลว
“มีใครเห็นต่าง ฉันให้เวลาก้าวออกมาสามวินาที”
ในชั่วขณะนั้นเหล่าฉินรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา ราวกับเห็นหัวหน้ากงในตอนแรกอย่างไรอย่างนั้น
ไม่มีใครพูดอะไรออกมา แม้แต่รองหัวหน้าเฉิน เหล่าจู เหล่าฉิน คนเก่าแก่ที่สุดสามคนก็ยังเงียบปากอยู่อย่างนั้น
“ในเมื่อไม่มี ถ้าอย่างนั้นฉัน…”
“เดี๋ยวก่อน!” รองหัวหน้าเฉินกัดฟันเอ่ยออกมาในที่สุด “นาย…ไม่สิ หัวหน้าสวี คุณเป็นคนที่ผู้นำเมืองเชิญมาจริงๆ น่ะเหรอ”
ถึงกับให้หัวหน้าเชิญมาได้…มันใหญ่โตขนาดไหนกัน
แต่รองหัวหน้าเฉินอย่างเขากลับไม่เคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อนเลย!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาอายุแค่ยี่สิบ จะไปรู้อะไรได้ สะสมประสบการณ์ยังไม่พอด้วยซ้ำ!
แต่เขาถูกพลังอำนาจของอีกฝ่ายสะกดไว้จนเลือกที่จะเชื่อเสียแล้ว ทว่าถึงจะเชื่อแต่ก็ยังไม่วายสงสัยอยู่ดี
“ชื่อของบางองค์กรก็ไม่ใช่ชื่อที่พวกนายจะรู้” สวีหยางอี้พูดไปเรื่อยเปื่อยอีกประโยคหนึ่ง “สถานที่ทำภารกิจจะประกาศคืนนี้ก่อนออกเดินทาง ห้ามทุกคนก้าวล้ำเข้าไปในเขตศัตรู ให้อยู่รอรับสั่งถัดจากบริเวณนั้นมาห้าร้อยเมตร ไม่ว่าอะไรจะหนีออกมา ให้ทำการวิสามัญสถานเดียว นี่เป็นภารกิจเดียวของพวกนาย”
“คุณหวังให้กองกำลังหลักเป็นหน่วยสังหารขนาดย่อมงั้นเหรอ” สวีหยางอี้เงยหน้าขึ้นคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “หมดกัน ถึงฉันจะไม่อยากบอกพวกนายแต่ฉันก็ยังต้องบอก เชื่อฉัน OVER”
กระทั่งตอนที่ออกมาแล้ว ทุกคนก็ยังสับสนงุนงงอยู่
เป็นยังไงล่ะ อยู่ๆ กระต่ายขาวก็กลายร่างเป็นหมาป่าไปแล้ว
นั่นคืออารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาในตอนนี้
มิหนำซ้ำ…หมาป่าตัวนี้ยังมีเบื้องหลังลึกลับทีเดียว เพียงนาทีสองนาทีก็ทำลายภาพจำที่พวกเขามีต่อสวีหยางอี้ภายในสองวันจนหมดสิ้นได้ภายในพริบตาเดียว
“รองหัวหน้าเฉิน…” เหล่าจูเข้ามาตบบ่ารองหัวหน้าเฉินจากด้านหลัง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ “พวกเรา…ต้องฟังคำสั่งเขาจริงเหรอ”
รองหัวหน้าเฉินเงียบอยู่นาน ก่อนจะกัดฟัน “ฟัง!”
“เขาพูดถูก! ฟังคำสั่งคือหน้าที่ที่เราพึงกระทำเป็นอันดับแรก แต่ว่า…” เขาแค่นเสียงเย็นๆ “แต่ถ้าคืนนี้เกิดอะไรไม่คาดคิดขึ้น ต่อให้ข้าต้องแทงทะลุฟ้า ข้าก็จะแทงกระทุ้งไอ้เด็กเส้นนี่ขึ้นไปด้วย!”
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่า โลกนี้มันจะไม่มีกฎหมาย! ถ้ามันแม่Xเป็นพวกแสร้งทำเป็นเก่ง ดีแต่ชอบอ้างตรรกะความรู้ งานนี้ข้าก็ไม่ทำมันแล้ว ต่อให้คนหนุนหลังมันจะใหญ่แค่ไหน ข้าก็จะงัดกับมันให้ได้!”