ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 1 บทที่ 9 พวกบ้าคลั่ง (1)
กลางคืน เวลา 23.30 น.
รถสามคันอยู่ระหว่างทางออกนอกชานเมือง ทุกคนบนรถล้วนหลุบตาลงต่ำ แสดงท่าทีเคารพนบน้อมอย่างที่สุด
รถยนต์เสียงเบาทว่าสม่ำเสมอค่อยๆ มุ่งหน้าสู่ชานเมืองไปเรื่อยๆ อาคารสิ่งปลูกสร้างสองข้างทางค่อยๆ บางตาลงจากทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ในใจของทุกคนตอนนี้ต่างว้าวุ่นสับสนไปหมด
ต้องไปจับกุมผู้ต้องหาจริงๆ แล้ว…
เบื้องบนอนุมัติแล้วจริงๆ!
“เหล่าเฉิน…” เหล่าจูกำลังใส่กระสุนลงในกระบอกปืน พลางมองไปรอบทิศอย่างระแวดระวังก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ “หรือจะเป็นอย่างที่ไอ้หมอนั่น…หัวหน้าสวีพูดจริงๆ เขาถูกเชิญมาจริงๆ งั้นเหรอ แล้วทำไมเพิ่งประกาศคำสั่งก็อนุมัติแล้วล่ะ”
รองหัวหน้าเฉินคาบบุหรี่ไว้มวนหนึ่ง ควันบุหรี่ที่ฟุ้งตลบอบอวลอยู่ตรงหน้าทำให้เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางยกมุมปากขึ้น ผ่านไปพักหนึ่งถึงได้แค่นเสียงออกมา “แต่ก่อนฉันก็ไม่เชื่อ…แต่ตอนนี้ชักจะเชื่อขึ้นมาจริงๆ แล้ว ทำไมอธิบดีเจิ้งถึงได้ไม่สนใจท่าทีตอบสนองของพวกเราสักนิด ทำไมพวกเลขาคณะกรรมการนายกเทศมนตรีเทศบาลนครถึงได้ไม่ยอมพูดอะไรเลย แต่ถ้าเขาเป็นคนที่ถูกเชิญมาจริง ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างก็สมเหตุสมผล!
“ไม่ใช่เด็กเส้นงั้นเหรอ” เหล่าจูบีบกระสุนนัดหนึ่ง เขายังไม่อยากจะเชื่อ “เขาเพิ่งอายุเท่าไหร่กัน เรียนหนังสือตั้งแต่อยู่ในท้องแม่หรือไง ถึงได้มีประวัติไม่ต่างจากพวกเรา มันเป็นไปได้เหรอ”
“ใช่หรือไม่ใช่ คืนนี้ก็ได้รู้กัน” ฉินหวั่นอวี้ตำรวจหญิงกดกระบอกกระสุนเข้าไปแล้วออกแรงสั่นส่งเสียงโลหะกระทบกันดังกึก ก่อนจะจัดเครื่องแบบตำรวจให้เรียบร้อย “ขนาดคุณยังไม่เชื่อแล้วฉันจะเชื่อเหรอ เชิญเด็กไม่ประสีประสามา ฉันล่ะไม่เคยพบเคยเจอ แต่พูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ อีกเดี๋ยวก็รู้แล้ว”
ผ่านไปสิบนาทีรถก็หยุดลง ทว่าทันทีที่คนทั้งหน่วยสืบสวนลงจากรถมาก็ต้องตะลึง
เบื้องหน้าพวกเขาคือเขตก่อสร้างที่ปล่อยร้างไว้ แม้จะไม่ได้กว้างใหญ่แต่รอบข้างกลับไม่ได้มีตึกหลายหลังนัก
สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาทางหน้าต่างผุพังผ่านทางเดินโทรมๆ เสียงลมเอื่อยๆ แว่วจากฝั่งหนึ่งมายังอีกฝั่งหนึ่ง ไม่ต่างจากเสียงกรีดร้องของวิญญาณร้ายรอบตึก
ไม่มีแสงไฟ ไม่มีสัญญาณชีพของมนุษย์ มีเพียงตึกร้างตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางรัตติกาลราวสัตว์ป่ายักษ์ใหญ่ แลดูมืดทะมึนชวนสยองขวัญอย่างประหลาด
แต่นี่ก็ยังไม่นับว่าเท่าไร เพราะที่สำคัญก็คือ เบื้องหน้าของพวกเขาตอนนี้มีคนฝูงใหญ่ยืนรายล้อมอยู่เต็มไปหมด!
“หัวหน้า…หัวหน้าเกา” รองหัวหน้าเฉินมองชายคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอย่างตื่นตะลึง “คุณ…มาได้ยังไง”
“มันอยู่นอกเหนือขอบเขตฉันน่ะสิ…” หัวหน้าเกายิ้มพลางพยักพเยิดไปทางด้านข้าง “ดูทางนั้นสิ พันตรีโจวหน่วยตำรวจติดอาวุธ และก็ยังมีกองกำลังสามหน่วยที่ย้ายมาอยู่เมืองซานสุ่ยชั่วคราว นายพันนำทีมมาทั้งหมด”
คนนับร้อย…เข้าล้อมตึกร้างหลังนี้ไว้เสียจนไม่มีแม้แต่ช่องโหว่แล้ว!
คนทั้งหน่วยสืบสวนหันขวับไปสบตากัน
บ้าไปแล้วหรือไง
จับผู้ต้องหาแค่คนเดียว
นี่มันขี่ช้างจับตั๊กแตนไปหน่อยล่ะมั้ง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะจับผู้ต้องหาแค่คนเดียว ต่อให้เป็นสิบยี่สิบคน ไม่สิ ต่อให้เป็นร้อยคนมันก็คงหนีรอดออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ!
แสงจันทร์ตกกระทบปืนกลแต่ละกระบอกสะท้อนสีสันแห่งความตาย บรรยากาศมืดมิดและเงียบสงัดเสียจนชวนให้รู้สึกเย็นเยียบไปจนสุดขั้วหัวใจ ผู้ต้องหาแบบไหนกันถึงต้องใช้อาวุธสงครามขนาดนี้
“แม่Xบ้าไปแล้ว!” เหล่าจูพ่นบุหรี่ในปากออกมา มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง แม้แต่ริมฝีปากก็ยังสั่นระริกไปด้วย “ข้าทำคดีมาหลายปี…ยังไม่เคยเห็นใครเล่นอะไรแบบนี้!”
ความสงสัยมากมายทะลักขึ้นจนล้นใจ ใครเป็นคนบอกว่าผู้ต้องหาอยู่ที่นี่กัน เรียกใช้หน่วยทำลายล้างทั้งเมือง รัฐบาลเมืองอนุมัติได้ยังไงกัน มันเป็นผู้ต้องหาแบบไหนถึงต้องทำขนาดนี้ ข้างในนั้นมันขังขังแบทแมนไว้หรือไงกัน
“นายไม่รู้ฉันจะไปรู้ได้ยังไง!” หัวหน้าเกากลืนน้ำลายเบาๆ “กองกำลังทั้งเมืองซานสุ่ย หน่วยตำรวจติดอาวุธ เครือตำรวจ ล้วนได้รับคำสั่งมาว่าหากมีตัวอะไรปรากฏตัวออกมาในระยะร้อยเมตรรอบๆ นี้ ให้ทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารมันให้ได้ เฮอะๆ…ฉันเป็นตำรวจมาหลายปียังไม่เคยได้ยินคำสั่งแบบนี้มาก่อนเลย!”
“ตัวอะไร?” เจ้าหน้าที่ตำรวจฉินจับสังเกตคำคำหนึ่งได้อย่างว่องไว แล้วพลันเกิดประกายความคิดขึ้นหนึ่งขึ้นในใจ แต่กลับไม่อาจอธิบายออกมาได้ รู้สึกได้เพียงว่าคำสั่งนี้มันออกจะพิลึกพิลั่นเกินไปแล้ว “ไม่ใช่…คนหรอกเหรอ”
ใครจะไปรู้กับมัน
รองหัวหน้าเฉินกับหัวหน้าเกาสบตากัน ทว่าในแววตานั้นกลับมีเพียงความสับสนงุนงงเท่านั้น
“รัฐบาลเมืองก็เลอะเลือนไปแล้วจริงๆ ถึงได้ยอมหลับหูหลับตาให้เด็กเส้นมาบัญชาการ J8 ได้” หัวหน้าเกาโบกไม้โบกมือ “จับกุมผู้ต้องหาสักคนต้องเรียกใช้คนมากขนาดนี้ ไอ้เด็กนี่มันมีคนหนุนหลังใหญ่ขนาดไหนกันวะ แม่Xเทพไปแล้ว!”
“เรามาผิดที่หรือเปล่า” ตำรวจใหม่คนหนึ่งเหงื่อแตกพลั่ก บรรยากาศในที่เกิดเหตุเย็นยะเยือกจนทำเอาเขาไม่กล้าพูดเสียงดัง “หรือเราไปถามหัวหน้าหน่อยไหม”
“พวกนายไม่ได้มาผิดที่หรอก” สิ้นเสียงก็มีเสียงอันคุ้นเคยดังแว่วมาจากด้านหลัง ก่อนที่สวีหยางอี้จะเดินเข้ามา “หน้าที่ของพวกนายก็คือเก็บกวาด”
“หัวหน้าสวี!” ตอนนี้รองหัวหน้าเฉินมีอารมณ์จะโต้เถียงกับสวีหยางอี้ที่ไหนกัน เขารีบหันไปเอ่ยทันที “คนพวกนี้มาได้ยังไง พวกเราแค่มาจับผู้ต้องหา พวกมันเป็นใครกันแน่ หัวหน้า หัวหน้าสวี! คุณ…”
เพียงหันไปร่างทั้งร่างก็พลันต้องชะงักค้าง
และไม่ได้มีเพียงเขาเท่านั้นที่ชะงักค้าง แต่ทุกคนที่เห็นก็ชะงักค้างกันหมด
สวีหยางอี้ยืนนิ่งอยู่กับที่ เหมือนในยามปกติไม่มีผิด ทว่า…
เขากลับใส่ชุดพราง! ไม่ได้ใส่เครื่องแบบตำรวจ!
“หัวหน้าสวี…” เหล่าจูตะลึงค้างอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ปืน…ของคุณล่ะ”
“ปืน?” สวีหยางอี้บีบกำปั้นของตัวเอง นิ้วมือเรียวยาวประสานสลับกันส่งเสียงดังกร๊อบ “ไม่จำเป็นต้องใช้สักหน่อย”
“ก็…ก็คุณบอกเองไม่ใช่หรือไงว่ากองกำลังทำลายล้าง!” รองหัวหน้าเฉินชี้นิ้วไปยังกลุ่มคนเบื้องหน้า พลางเอ่ยด้วยเสียงเบาหวิว “เรียกกำลังมาทั้งเมืองเลยมั้ง”
สวีหยางอี้มองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย แล้วยกริมฝีปากขึ้นบางๆ ทว่าประโยคต่อมานั้นกลับทำเอารองหัวหน้าเฉินแทบเต้น
“มือใหม่ก็อยู่ในที่ที่ควรอยู่ไป” สวีหยางอี้ยักไหล่เล็กน้อยพร้อมกับหรี่ตา “เรื่องเฉพาะทาง…ก็ต้องมอบให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการ”
รองหัวหน้าเฉินทนเก็บกลั้นโทสะไว้ในอก ริมฝีปากเขาสั่นเทิ้มอยู่นานแต่ก็ยังไม่อาจเรียกสติคืนกลับมาได้ ทำได้เพียงชี้สวีหยางอี้ด้วยนิ้วสั่นระริก
สวีหยางอี้ไม่ได้สนใจเขา เอาแต่คลำหาวิทยุสื่อสารตามตัว “เตรียมตัวพร้อมหรือยัง”
“ไม่มีปัญหา…พอนายเข้าไปแล้วก็เริ่มค่ายกลฟ้าดาวเหนือได้เลยทันที ปิดกั้นการมองเห็นการได้ยินทั้งหมดซะ…ฉันตั้งหน้าตั้งตารอความสำเร็จครั้งนี้ของเรามาก!” เสียงที่คุ้นเคยของเมาปาเอ้อดังออกมาจากเครื่องวิทยุสื่อสาร
สวีหยางอี้พยักหน้าแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แววตาพลันเปลี่ยนเป็นระแวดระวังขึ้นมา ก่อนจะยกมือขึ้น
ต่อให้เขาไม่พอใจยิ่งกว่านี้ แต่ชั่วขณะนี้ก็ยังคงเงียบกริบอยู่เหมือนเดิม
จึงเหลือเพียงเสียงร้องระงมเบาๆ ของแมลงยามค่ำคืนในฤดูร้อน ความเงียบสงัดไม่มีแม้แต่กระแสเสียงใด ความเงียบสงัดที่น่าขนลุกและชวนให้ใจร้อนรนค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่หัวใจของทุกคน ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็สลัดไม่หลุด
หัวหน้าเกานัยน์ตาวาบวับ ก่อนจะยกมือขึ้นสั่งการตำรวจใต้บังคับบัญชา แล้วยกปืนขึ้นด้วยท่าทีเยือกเย็น
เพียงเขายกมือข้างหนึ่งขึ้น กองกำลังฟากหนึ่งก็หยิบปืนขึ้นมาทันที
“ซวบ ซวบ ซวบ…” เสียงปืนกลเตรียมลั่นไกราวเสียงบทเพลงสรรเสริญที่เงียบงัน
สวีหยางอี้สูดลมหายใจเข้าลึกอยู่ไกลๆ แล้วยกขาก้าวไปข้างหน้า
เงาร่างของเขาดูเหมือนจะรางเลือนขึ้น ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดเข้าไปทุกที อีกไม่นานก็คงมองไม่เห็นคนอื่นๆ แล้ว
“เข้าสู่ค่ายกลฟ้าดาวเหนือแล้ว ไอ้หน้าอ่อน นายทำงานได้อย่างวางใจแล้ว” เสียงหัวเราะแปลกๆ ดังออกมาจากวิทยุสื่อสาร ทว่าสวีหยางอี้ไม่ได้หัวเราะด้วย แต่กลับคุกเข่าลงข้างหนึ่ง แล้วหยิบไม้ไผ่ปล้องหนึ่งที่บรรจุของเหลวสว่างไสวสะท้อนแสงจันทร์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“ “เกาทัณฑ์พิฆาตปีศาจ” ไอ้หน้าอ่อน นายตัดใจลงทุนเลยเหรอ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะนายมายุ่งกับเงินฉัน ฉันก็น่าจะมีมากกว่านี้อีกคัน” สวีหยางอี้สะบัดมือซ้ายดังพรึ่บ แขนเสื้อชุดพรางข้างซ้ายพลันสลายกลายเป็นกล่องเหล็กทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าประณีตงดงามอยู่บนมือเขา
“กึก…กึก!” สิ้นเสียงดังขึ้นเบาๆ นั้น คันธนูก็แนบติดอยู่กับข้อมือ เขาน้าวธนูขึ้น ท่าทางดูราวกับอินทรีย์สยายปีก ส่วนกล่องเหล็กก็เปลี่ยนรูปทรงไปเหมือนกับเพชร ก่อนจะประกอบร่างกันขึ้นเป็นคันธนูภายในชั่วพริบตา
ธนูคันนี้รูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างกับธนูที่เห็นในโทรทัศน์เลยสักนิด ทว่าทั้งคันกลับมีอักษรลึกลับสะท้อนแสงสีฟ้าชวนให้คนใจสั่นสลักอยู่!
บนคันธนูนั้นมีลูกธนูโบราณหัวเหล็กมีลวดลายอยู่ดอกหนึ่ง ซึ่งมันเป็นเพียงรอยสนิมเท่านั้น แต่กลับทำให้ลายอักษรลึกลับนั้นดูขลังขึ้นไปอีก
“แน่ใจนะว่าค่ายกลไม่มีอะไรผิดพลาด” สวีหยางอี้ถามอีกครั้ง แล้วนำหัวธนูจุ่มลงไปในน้ำในกระบอกไม้ไผ่อย่างไม่ลังเล “ถ้ามนุษย์ธรรมดาเห็นร่างจริงของปีศาจเข้า ไม่ต้องพูดถึงเรียนจบหรอก ฉันไม่ถูกลงโทษก็บุญเท่าไหร่แล้ว”
“วางใจได้”
สวีหยางอี้หลับตาลงเม้มริมฝีปาก
ตนจะสังหารปีศาจครั้งแรก…ฝึกฝนมาหลายปีขนาดนี้ จะได้เห็นผลลัพธ์กันก็วันนี้แหละ!
ผู้ต้องหาที่ฆ่าคนต่อเนื่องยี่สิบคน ไอ้บ้าที่พลังผันผวนขึ้นลงจนน่าประหลาด และกล้าลงมือสังหารในรัฐบาลเมือง มันจะเก่งกาจสักแค่ไหนกัน…
“ขอฉันพิสูจน์หน่อยแล้วกัน” เขาลืมตาขึ้น ในแววตานั้นเต็มไปด้วยไอสังหารเย็นเยียบ
แสงไฟอ่อนๆ สีฟ้าเข้ม ค่อยๆ โหมกระพือขึ้นจากหัวลูกธนู
สายลมยามรัตติกาลพัดหวีดหวิวมา สวีหยางอี้ยกมือขึ้นโดยปราศจากสุรเสียงใด
“ฟิ้ว…” สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านมือเขาราวระฆังดังเหง่งหง่าง ไฟสีฟ้าที่แขนข้างหนึ่งของเขาลุกโหมส่งเสียงฟู่ฟ่าไม่ยอมดับลง แสงนั้นแวววับจับตาเสียจนแสงจันทร์บนท้องฟ้าไม่อาจเทียบเทียม
ชั่วขณะนั้น ไอสังหารก็แผ่คลุมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ
ไอสังหารไร้ซึ่งสุรเสียง ความเงียบสงัดชวนให้คนสั่นสะท้าน
ทันทีที่มือนั้นยิงธนูออกไป “ฟรึ่บ!” ลูกธนูก็พาแสงสีฟ้าสว่างจับตาพุ่งทะลุมวลเมฆไป ส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งเวิ้ง เจิดจรัสไม่ต่างจากดวงจันทร์บนท้องฟ้า!
“ซู่!” ประกายไฟสีฟ้าสดประหลาดพวยพุ่งออกมาจากหางธนูยาวหลายเมตร ส่งให้ธนูดอกนั้นลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะแตกออกเป็นหลายดอก จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปด…ภายในชั่วพริบตา เปลวไฟก็สว่างโชติช่วงบนท้องนภาราวกับแผนภาพวงโคจรของดวงดาวที่ถูกขีดลากขึ้น ทำเอาสีสันของดวงดาวบนฟ้าดูจืดไปถนัดตา
“ซู่ ซู่ ซู่!” เสียงสะเทือนลั่นดังทำลายความเงียบขึ้นอยู่ข้างหูอย่างต่อเนื่อง ลูกธนูแวววาวดุจดวงดาวพุ่งไปยังตึกดำมืดหลังนั้น พร้อมกับประกายไฟยาวเฟื้อยที่พุ่งอย่างรวดเร็วเสียจนตาเปล่าของมนุษย์มองตามไม่ทัน
ประกายไฟสีฟ้ากลืนไปกับผืนฟ้า หมู่เมฆดำทะมึนต่างหลบหลีกเปลวไฟนั้น จึงดูราวกับว่าไฟสีฟ้านั้นแหวกหมู่เมฆออกมา ขณะที่ดวงจันทร์และหมู่ดาวก็พลันหม่นแสงไปถนัดตา
ชั่วขณะนั้นเอง ตึกร้างหลังนั้นก็เกิดสั่นสะเทือนขึ้นมา
เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นราวกับกล่องแพนโดรา[1]ที่มีบางอย่างจำนวนมหาศาลภายใต้ความมืดมิดกำลังดิ้นขลุกขลักสุดแรงเพื่อหาทางทะลวงออกมา และในวินาทีต่อมานั้นเอง… ประกายไฟก็พลันหายไปในพริบตา!
เหลือเพียงแสงไฟสีครามเต็มฟ้าที่ผสานกันจนกลายเป็นผืนนภาเพลิง
ในตอนนั้นสีหน้าสวีหยางอี้พลันเคร่งขรึมขึ้นมา
เงาที่ปรากฏขึ้นเพียงชั่วพริบตานั้นล้วนอยู่ในสายตาเขาทั้งสิ้น ตั้งแต่วินาทีที่ยิงธนูดอกนั้นออกไป นัยน์ตาทั้งสองข้างของเขากลายเป็นสีแดงฉาน
ใช่…เงาดำทะมึนนับพัน…ที่กลืนกินเปลวไฟทั้งหมดเข้าไปคือ งู
งูนับพันนับหมื่นตัวพุ่งออกมาจากตึกร้างหลังใหญ่นั้นราวสายอัสนีบาต และถดถอยไปไม่ต่างกับปีศาจร้าย ราวกับว่าที่แห่งนั้นได้กลายเป็นรังของงูนับหมื่นตัวไปแล้ว!
——————————————————————————————–
[1] กล่องแพนโดรา คือกล่องที่เต็มไปด้วยความเลวร้ายและภัยพิบัติที่พระเจ้าซุสมอบให้นางแพนโดรา โดยกำชับไว้ว่าห้ามเปิดเด็ดขาด ทว่าสุดท้ายนางแพนโดราก็เปิดด้วยความอยากรู้อยากเห็น