ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 31 บรรลุระดับกลาง (3)
ทุกคนในเทียนเต้าล้วนแต่อยู่ในขั้นเลี่ยนชี่ ทั้งอาจารย์ และผู้บริหารล้วนแต่เป็นคนที่ไม่เคยเลื่อนขั้น ดังนั้นพวกเขาถึงได้มาสอนหนังสือ ด้วยเหตุนี้ 99% ของนักเรียนจึงไม่รู้ว่าการเลื่อนขั้นเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้พวกเขาได้รู้กันแล้ว
ละอองแสงจากพลังปราณสีขาวนวลประกายแสงวับวาม หมุนม้วนบิดเกลียวกลายเป็นวังวนแสงกายสิทธิ์ขนาดใหญ่ร่วมยี่สิบเมตร มันหมุนเป็นเกลียวอย่างเชื่องช้าอยู่ท่ามกลางอากาศเหนือสังเวียน
ประหนึ่งทางช้างเผือกที่ถูกแสงดาราและแสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องอยู่ภายใต้ตัวอักษรหนึ่งในใต้หล้าอันแฝงด้วยมนต์ขลัง แลดูราวกับฝันเหมือนดั่งจินตนาการ!
“ใครกัน… เป็นใครกัน!” เขากำหมัดแน่น ยืนมองข้างหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ
ฉู่เจาหนานจัดว่าเป็นผู้สืบทอดเชื้อไขของตระกูล ชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วหวาซย่า เมื่อพูดถึงตระกูลฉู่แห่งหวาซย่าแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนแต่ต้องไว้หน้าให้เกียรติตระกูลนี้ ส่วนตัวเขาในฐานะตระกูลฉู่รุ่นที่สาม บุคคลที่ภูมิหลังยิ่งใหญ่เช่นนี้ ผ่านไปแปดเก้าปีก็ยังห่างไกลจากการเร่งปฏิกิริยาของทะเลลมปราณ นึกไม่ถึงเลยว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันจะสามารถเลื่อนขั้นก่อนการประลองหนึ่งวันแบบนี้!
ใช่แล้ว สวีหยางอี้เข้าฌานได้สี่วันแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองจะไม่รู้สึกตัวว่าในโลกความเป็นจริงผ่านไปสี่วันแล้ว
ท่ามกลางวังวนแสงกายสิทธิ์ดุจดวงดาวทอแสงแพรวพราว ฉู่เจาหนานก็แลดูตัวเล็กกระจิดริดจนเหมือนไร้พลัง เนื่องจากปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ของเขา
ในช่วงเวลาเดียวกัน เสียง “ครืดคราด!” ของบานประตูหินทั้งแปดบานก็ทยอยเปิดออก วัยรุ่นสีหน้าเคร่งขรึมทั้งแปดคนแทบจะปรากฏตัวอยู่บนสังเวียนพร้อมกัน พวกเขาล้วนแต่ตะลึงลานกับปรากฏการณ์กลางอากาศ
ไม่มีใครเอื้อนเอ่ย ภาพที่ปรากฏงดงามจนทุกคนแทบไม่กล้าหายใจแรง วัยรุ่นในชุดลายพรางคนหนึ่งกัดฟันพูดขึ้น “สุดยอด… สุดยอดจริงๆ … นี่เป็นอันดับหนึ่งจากนครไหนกัน? ไม่นึกว่าจะบรรลุระดับกลางได้ก่อนวันประลองหนึ่งวัน!”
“หรืออาจจะไม่ใช่ที่หนึ่ง?” ผู้สาวคนหนึ่งจ้องมองวังวนแสงกายสิทธิ์ที่หมุนเวียนไม่หยุดด้วยแววตาอันเร้าร้อน เธอกัดฟันเอ่ยขึ้น
“เป็นไปไม่ได้!” ครั้งนี้ ทุกคนต่างพูดขึ้นมาพร้อมกัน
พวกเขาล้วนแต่เป็นที่หนึ่ง มีความภาคภูมิใจในตัวเอง และรู้ดีว่าบรรดาเพื่อนร่วมชั้นในนครของตัวเองไม่มีทางมีใครเลื่อนขั้นที่นี่ได้!
ดังนั้นคนที่ทำเช่นนี้ได้ จะต้องมีแต่ที่หนึ่ง มีแต่ต้องเป็นที่หนึ่งเท่านั้น!
“เป็นเขาเอง…” ฉู่เจาหนานกวาดสายตามองทุกคน พลันรู้สึกเจ็บใจเป็นยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นเขา ซึ่งไม่มีเหตุผลอื่นใด เป็นแค่เพียงลางสังหรณ์เท่านั้น เขาเห็นกับตาตัวเองว่าในบรรดาคนที่เดินออกมาไม่มีสวีหยางอี้ ประตูห้องของอีกฝ่ายยังคงปิดสนิท ความรู้สึกอิจฉาพลันลุกโพลนขึ้นกลางใจทันที
ทำไมกัน?
ฉู่เจาหนานอย่างฉันมีอะไรสู้มันไม่ได้? ทำไมมันถึงเติมเต็มทะเลลมปราณได้?”
ฉันกินของวิเศษล้ำค่าทุกเดือน ร่ำเรียนศาสตร์วิชาที่คนอื่นยังไม่เคยเรียน แล้วมันมีสิทธิ์อะไรนำหน้าฉัน!
ฉันไม่ยอม!
“ใครกัน?” ที่หนึ่งคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ไสหัวไป…” ฉู่เจาหนานหลับตาลง เขารู้สึกเจ็บใจจึงตะเบ็งเสียงพูดคำนี้ออกไป
“เหอะๆ …” อีกฝ่ายหัวเราะเจื่อนๆ เมื่อเสียงหัวเราะสิ้นสุดลง เขาก็พุ่งเข้าใส่ราวกับลูกธนูพุ่งออกจากคันธนู!
เพียงชั่วพริบตา อีกฝ่ายก็หยุดกึก
เพราะปืนสีเงินที่สลักลายอักขระเต็มกระบอกกำลังจ่ออยู่ที่หน้าผากเขาอย่างแม่นยำ
ไม่บิดเบี้ยวแม้แต่น้อย
“อ่อนหัด…” ดวงตาฉู่เจาหนานแดงเรื่อ เขาแสยะยิ้มเอ่ย “อ่อนหัด… อ่อนหัดเกินไป อ่อนหัดเกินไป!”
“อย่างนายยังกล้าเรียกว่าที่หนึ่ง?!”
“ปั้ง!” ไกปืนลั่น อันดับหนึ่งคนนั้นกระอักเลือดลอยกระเด็นทันที
“เมื่อเทียบกับเขาแล้ว นายมันก็แค่สวะ”
เขาจดจ่อจ้องมองบานประตูหินด้วยดวงตาแดงก่ำ แล้วอยู่ๆ วังวนแสงกายสิทธิ์กลางอากาศก็เคลื่อนไหว
ประหนึ่งหิ่งห้อยในช่วงฤดูร้อนบินล่องลอยส่องแสง กระแสพลังปราณลอยไปที่ประตูหินอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ประกายแสงกายสิทธิ์เหล่านั้นแทรกซึมเข้าไปอย่างไม่ขาดสายราวกับประตูหินไม่มีอยู่ก็ไม่ปาน!
“เอี๊ยด…” เสียงเครื่องจักรจากห้องทำงานของเทียนเต้าสาขาย่อยที่อยู่ชั้นบนดังขึ้นในอากาศ
ทุกคนที่ได้ยินเสียงนี้ต่างหยุดการกระทำในมือทุกอย่างลง และมองหุ่นยนต์หน้าคนขนาดใหญ่ที่อยู่กลางอากาศอย่างตกตะลึง ดวงตาของมันค่อยๆ เปิดขึ้น
ตัวเลข 01 จำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอยู่ในดวงตาสีเขียวของอีกฝ่าย วินาทีถัดมา เสียงหุ่นยนต์ที่แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงก็ดังก้องขึ้นทั่วพื้นที่ 1.5 เฮกตาร์[1]
“ตรวจพบการเคลื่อนไหวของพลังปราณผิดปกติ มีสมาชิกเลื่อนขั้น ย้ำอีกครั้ง ตรวจพบการเคลื่อนไหวของพลังปราณผิดปกติ มีสมาชิกเลื่อนขั้น…”
บัดนี้ ทุกคนต่างพากันตกตะลึง
สมาชิกขั้นเลี่ยนชี่บรรลุระดับย่อยคงไม่มีอะไร แต่ว่า…
สร้างฐานร้อยปี!
การที่กล้าพูดว่าสร้างฐานร้อยปี เพราะเป็นตัวเลขสถิติจากการสำรวจโลกผู้ฝึกตน! จะพูดให้ถูกต้องก็คือ 72.34 ปี!
ตบะหนึ่งขั้นแบ่งเป็นสามระดับย่อย ระดับต้น ระดับกลาง ระดับปลาย ส่วนคำว่าระดับสมบูรณ์เป็นชื่อเรียกโดยรวม และเป็นจุดสูงสุดของระดับปลาย หากจะพูดอีกอย่างก็คือ…
ตบะหนึ่งขั้น ใช้เวลาบำเพ็ญเพียรประมาณยี่สิบสามปี!
“นี่… นี่มาจากด้านล่างงั้นเหรอ?!” ผู้หญิงใส่แว่นคนหนึ่งตกใจพลางกางมือที่ล้วงอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทสีขาวตัวใหญ่ออกมาพร้อมกับจ้องมองที่พื้นใต้เท้า “สิบปี… มีคนบรรลุขั้นเลี่ยนชี่ระดับกลางภายในเวลาแค่สิบปีงั้นเหรอ?!”
ไม่มีใครเอ่ยตอบ เพราะว่าคำถามนี้ก็ติดอยู่ในใจทุกคนจนไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไรเหมือนกัน!
ในสาขาย่อยนี้มีผู้ฝึกตนขั้นจู้จีสองคนคือผู้อำนวยการสาขาและรองผู้อำนวยการ ส่วนผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่คนอื่นๆ ก็ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะบรรลุระดับย่อยได้
สิบปีงั้นเหรอ? เหอะๆๆ… โดยปกติแล้วใช้เวลาอยู่ที่ยี่สิบปี! แต่ที่เห็นส่วนใหญ่คือสามสิบปี!
หากการฝึกตนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความอ่อนเยาว์ของใบหน้าได้ ที่แห่งนี้คงกลายเป็นชมรมผู้สูงอายุไปตั้งนานแล้ว
ณ ตอนนี้ เบื้องหน้าสายตาพวกเขา ห้องพักหินในสนามประลองหนึ่งในใต้หล้าอยู่ที่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขามีคนใช้เวลาเพียงแค่สิบปีในการเลื่อนระดับย่อย!
“อัจฉริยะ…” ผู้เฒ่าสองสามคนที่กำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือดล้วนดวงตาเป็นประกายขึ้นมา จากนั้นก็มองที่ใต้ฝ่าเท้าของตัวเองอย่างตื่นเต้นราวกับมองทะลุผ่านไปได้ “อัจฉริยะ… อัจฉริยะที่เป็นรองแค่เพียงเมี่ยรื่อ!”
“เมี่ยรื่อใช้เวลาห้าปีในการเลื่อนตบะ! สามสิบปีสำหรับขั้นจู้จี! ตอนนี้… ใต้ฝ่าเท้าของพวกเรามีอัจฉริยะที่ใช้เวลาสิบปีในการเลื่อนระดับอยู่เหรอ?!” “แม่เจ้า… ครั้งนี้มณฑลหนานทงเก็บได้สมบัติล้ำค่าเข้าแล้ว!” “ไม่รู้ว่าเป็นที่หนึ่งของเมืองไหน!” “ไม่ใช่คนอื่นหรอกเหรอ?” “คนอื่น? เหอะๆ เรื่องที่แม้แต่ที่หนึ่งทำไม่ได้ แล้วคนอื่นจะทำได้เหรอ?”
ภายในห้องพักห้องหนึ่ง หั่วหยุนที่กำลังใช้มีดสั้นสีเงินตัดซิการ์คิวบาอยู่อย่างสบายอารมณ์ อยู่ๆ ก็หยุดชะงักลงทันที
เขาหลับตาลงอย่างแปลกใจ สงสัยว่าตัวเองรู้สึกผิดไปหรือไม่
วินาทีต่อมา
“ฟุบ!” “ฟุบ!”
เสียงที่เหมือนกันดังขึ้นจากคนละห้อง เมี่ยรื่อ อิ่งซา ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีทั้งสองต่างลุกพรวดขึ้นพร้อมกับอย่างไม่ได้นัดหมาย พลันมองที่พื้นใต้ฝ่าเท้าของตัวเองอย่างประหลาดใจ!
ในสนามประลองหนึ่งในใต้กล้า… มีคนเลื่อนระดับ!
สิบปี… อย่างมากพวกเขาคงเพิ่งจะก้าวเท้าขึ้นมาบนเส้นทางผู้ฝึกตนได้แค่สิบปี ไม่นึกเลยว่าจะมีคนเลื่อนระดับในช่วงเวลาแบบนี้!
“ช่างเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจริงๆ !” เมี่ยรื่อบีบซิการ์จนละเอียดเป็นผุยผง รอยยิ้มบนใบหน้าแลดูสดใส เขาจ้องมองใต้ฝ่าเท้าตัวเองเหมือนสามารถมองทะลุพื้นได้
สุนัขจิ้งจอกสีเงินเก้าหางที่กำลังหลับตาพักผ่อนอยู่บนตึกใหญ่ของพลาซ่าข่ายเต๋อลืมตาขึ้นเล็กน้อยพร้อมสูดจมูกฟุดฟิดอย่างสงสัย “กลิ่นคุ้นๆ…”
“ช่างเป็นคุณสมบัติที่น่าอิจฉาจริงๆ…”
เป็นครั้งแรกที่มันลุกขึ้น ภายในแววตาอันทะนงตนเจือแววอิจฉาอยู่รำไร มันจ้องมองสวนสาธารณะที่อยู่ตรงข้าม
“มาเถอะ… มนุษย์สวะ… จงเข้าสู่โลกที่แท้จริงอย่างยิ่งใหญ่เถอะ… อัจฉริยะงั้นเหรอ… เหอะๆ… อัจฉริยะก็ตายมานักต่อนักแล้ว…”
“ตอนนี้ กำลังปิดทางเข้าสนามประลองหนึ่งในใต้หล้า ย้ำอีกครั้ง “ตอนนี้ กำลังปิดทางเข้าสนามประลองหนึ่งในใต้หล้า…” น้ำเสียงไม่ระบุเพศอันไร้ทุกข์ไร้สุขจากเทียนเต้าดังก้องไปทั่วห้องอย่างไม่มีใครโต้ตอบ
แต่ว่า ณ ช่วงเวลานี้ ภายในห้องควบคุมขนาดใหญ่มีคนอยู่สามคนที่ใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้มแม้เพียงเศษเสี้ยว
“หมายเลข 1 สวีหยางอี้” น้ำเสียงแหบพร่าของรองผู้อำนวยการฉีฟังดูหลากอารมณ์ยิ่งนัก “โอกาสที่จะบรรลุขั้นเลี่ยนชี่ระดับกลางสำเร็จมี…”
เขาคลิกเมาส์ที่อยู่ในมือไม่หยุด ผ่านไปพักใหญ่จึงหันกลับมามองสองคนด้านหลังตาเขม็ง “80%”
ฉู่เทียนอีกับฟางถานเซิงนั่งอยู่ด้านหลังเขาโดยปราศจากผู้อื่น พวกเขาทั้งสองทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง สีหน้านิ่งสงบไม่สะทกสะท้าน
“ยังต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน?” ฉู่เทียนอีเอ่ยถามขึ้นนิ่งๆ พลางมองดูปรากฏการณ์ประกายแสงกายสิทธิ์ของพลังปราณที่อยู่ในสนามประลองหนึ่งในใต้หล้าไหลลอยเข้าสู่ประตูหิน แสงไฟสว่างจ้าได้กลบเกลื่อนความบ้าระห่ำที่แฝงอยู่ในดวงตาเขาเป็นอย่างดี
“อีกสิบนาทีก็เลื่อนระดับจากขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้น” รองผู้อำนวยการฉีนั่งลงด้วยสีหน้าประหวั่นใจ เขานึกเสียใจภายหลังขึ้นมา คุณสมบัติแบบนี้ แม้จะสู้เมี่ยรื่อไม่ได้ แต่ก็จัดเป็นอัจฉริยะที่หายาก เป็นคนที่สามกองกำลังไม่มีทางปล่อยไปแน่นอน!
ทหารนับพันหาง่าย แม่ทัพเพียงคนเดียวหายาก!
แต่ว่า…
สองสามคืนก่อนหน้านี้ เขารู้ดีว่าคนๆ นี้ไม่มีทางได้ที่หนึ่ง
ผู้ฝึกตนแบบนี้ ถ้าหลังจากนี้ตายไปก็คงดี แต่ถ้าไม่ตาย ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ และเรื่องนี้คงกลายเป็นปมปัญหาแห่งความขัดแยงขึ้นมาแน่นอน
เป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกเสียใจภายหลังโจนขึ้นจับใจ
“ตุบ…” ขณะที่เขาเหม่อลอยอยู่นั้น ถุงผ้าใบหนึ่งก็ถูกวางลงด้านหน้าเขา ฉู่เทียนอีดึงมือกลับด้วยสีหน้าอันเป็นปกติ และผายมือเชิญ
รองผู้อำนวยการฉีพยายามข่มความคิดอันซับซ้อนลง และเมื่อเปิดดูก็รู้สึกเสียวปลาบขึ้นมาทันที!
ด้านในคือก้อนหินทรงกลมหนึ่งก้อน
ขนาดใหญ่เท่ากำปั้น ใสโปร่งแสงทั่วทั้งก้อน แลดูแบนเล็กน้อย แต่ที่แตกต่างจากหินทั่วไปก็คือ…
ด้านในก้อนหินมีพลังปราณสีขาวที่จับตัวกันเป็นของเหลวอยู่ เป็นน้ำวนที่หมุนขดเป็นกลียวอยู่ในก้อนหิน!
ทั้งๆ ที่ถืออยู่ก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังปราณอันไร้ขีดจำกัดด้านใน!
“สิ่งนี้มัน…” ภายในใจของเขาสั่นคลอนไม่นิ่งสงบ ช่วงเวลานี้ เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายหยิบสิ่งนี้ออกมาเพื่ออะไร
“ปิดกั้นช่องทางพลังปราณในสนามประลองหนึ่งในใต้หล้าซะ” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของฉู่เทียนอีและดวงตาที่หลุบลงต่ำฉายแววเลือดเย็นออกมา “แม้ฉันจะไม่รู้ว่าหลังจากเจ้ามดปลวกตัวนี้บรรลุระดับกลางแล้วจะมีพลังต่อสู้มากกว่าเจาหนานเท่าไร แต่ว่าควรรักษาความห่างชั้นของพวกเขาไปตลอดกาล”
“คนธรรมดาไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้ และไม่ควรมีความปรารถนาลมๆ แล้งๆ แบบนี้”
คำพูดสั้นกระชับ แต่กลับแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและความอาฆาตมาดร้าย แม้แต่เขาก็ยังขยับออกห่างเงียบๆ
จิตอาฆาตรุนแรงเกินไปจนเขารู้สึกไม่ปลอดภัย
“ถ้าปิดทั้งหมด คนของเทียนเต้าจะรู้ตัว” รองผู้อำนวยการฉีเก็บหินพลังปราณเข้ากระเป๋าทันทีอย่างแทบไม่ต้องคิด
“งั้นก็หาวิธีที่ไม่ให้พวกนั้นรู้ตัว!” ฉู่เทียนอีลุกขึ้น รังสีบารมีของผู้ที่ดำรงตำแหน่งเกือบจะสูงสุดของหวาซย่ามาหลายสิบปีแผ่ซ่านออกมา “เหล่าฉี ฉันต้องการผลลัพธ์ 100%! สิ่งของชิ้นนี้ต้องเป็นของตระกูลฉู่ของพวกเราเท่านั้น!”
——————————————————————————-
[1] หน่วยวัดพื้นที่ โดย 1 เฮกตาร์มีขนาดเท่ากับ 10,000 ตารางเมตร