ยุทธเวทผลาญปีศาจ - เล่มที่ 2 บทที่ 32 บรรลุระดับกลาง (4)
รองผู้อำนวยการฉีหลับตาปรือ ภายในใจพลันรู้สึกเดี๋ยวขึ้นสวรรค์เดี๋ยวตกนรก
ทำตาม?
หรือไม่ทำตาม?
ทุกเวลานาทีในตอนนี้เป็นเหมือนเครื่องโม่แป้งที่กำลังบดขยี้ความดีและหัวใจเขา ในฐานะที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นจู้จี เขาไม่มีอำนาจมากพอที่จะปฏิเสธผู้ที่ดำรงตำแหน่งเกือบสูงสุดแห่งรัฐบาลหวาซย่าได้ โดยเฉพาะหินพลังปราณที่อยู่ในกระเป๋าก้อนนี้… ราวกับเป็นเปลวไฟที่กำลังแผดเผามโนสำนึกอันร่อยหรอของเขา
หนึ่งนาที… สองนาที… สามนาทีคล้อยผ่าน
สี่นาที… เวลาผ่านไปจนกระทั่งนาทีที่หก เขาลืมตาขึ้นมา พลันรีบเดินไปที่ด้านหน้าจอควบคุม ก่อนกดปุ่มปุ่มหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึมดุจน้ำนิ่ง
ฉู่เทียนอีนั่งลงไป
มือขวาถือแก้วชาอันวิจิตรอยู่หนึ่งใบ ค่อยๆ จิบหนึ่งคำ “ชาดี”
ภายในห้องพักหิน อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดของสวีหยางอี้กำลังจดจ่ออยู่ที่ทะเลลมปราณ!
เขารับรู้ถึงปฏิกิริยาตอบสนองของพลังปราณได้อย่างชัดเจน ทะเลลมปราณกำลังค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น คุณสมบัติทางร่างกายก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น แม้ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่เขาก็พอจะคาดการณ์ได้ว่าหลังจากตัวเองเลื่อนระดับ พละกำลังเขาจะไม่เหมือนเดิม!
เวลาดำเนินมาถึงช่วงเวลาสำคัญของการบรรลุขั้น พลังปราณธรรมชาติจะเกิดปฏิกิริยาตอบสนองจนกลายเป็นสภาวะ “กายแห่งพลังปราณ” เขารู้ดีว่าสภาวะกายแห่งพลังปราณของตัวเองจะสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว
ขณะที่พละกำลังในร่างกายกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงเยื่อหุ้มหนึ่งชั้น
เป็นเยื่อหุ้มไร้รูปทรงที่โอบล้อมทะเลลมปราณอยู่เหมือนชามคว่ำ ราวกับมันอยู่ตรงนี้มาตลอด แต่เขาเพิ่งสัมผัสได้
เขารู้ว่ามันคือ “เกราะป้องกันตัว”
เป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการเลื่อนตบะของตัวเอง
ต้องทำลายมัน!
เขาในตอนนี้เปี่ยมด้วยความมั่นใจ ประหนึ่งโลกทั้งใบกำลังประสานเข้ากับเขา เขาแค่ต้องโคจรพลังปราณให้ไม่ขาดสายและทลายเกราะป้องกันที่มองไม่เห็นนี้ก็พอ!
เมื่อถึงตอนนั้นก็เป็นเวลาที่เขาจะบรรลุระดับย่อย!
มันเป็นเวลาที่เขาจะกล้าพูดว่าเขาไม่มีทางพลาดในการประลองของเหล่าราชสีห์อันดับหนึ่งทั้งสิบสามคน!
พลังจิตของเขาควบแน่นกลายเป็นร่างพลังจิต เขาตะโกนคำรามออกมาอย่างไม่ลังเล ทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดไปกับการโจมตีทำลายล้างอย่างเดือดพล่าน!
กระบวนท่าไร้นาม เป็นแค่การโจมตีทางกายภาพเท่านั้น
ทว่ากลับควบแน่นสสาร พลังปราณ และจิตวิญญาณ[1]ไปที่จุดเดียวกัน บัดนี้ แก่นแท้ทั้งสามได้หลอมรวมเป็นหนึ่ง!
เสียง “ตู้ม!” ดังก้อง กระแสอากาศม้วนตัวเป็นระลอกคลื่น ทะเลลมปราณกระเพื่อมเล็กน้อย ทันใดนั้น สีหน้าของสวีหยางอี้ในร่างพลังจิตก็เปลี่ยนไป
ในชั่วขณะ เขารู้สึกเหมือนพลังปราณที่ดูดซับมาจากโลกด้านนอกอ่อนกำลังลงอย่างฉับพลัน
เขาใส่กำลังไปเต็มสิบ แต่ขณะที่อัดเข้าเกราะป้องกันนั้นกลับเหลือแค่หก!
เขาแทบไม่มีเวลามาไตร่ตรองความผิดปกตินี้ ในห้วงสมองเขามีเพียงคำเดียว
ลุย!
ลุยจนทะลุทัณฑ์สวรรค์นี้ไปให้ได้!
กำหมัด เกร็งท้อง บิดลำตัว พลังปราณทุกอณูทั่วร่างกายรวบรวมอยู่ที่หมัดนั้น เขาทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดซัดหมัดออกไปอีกหนึ่งครั้ง!
เพียงเสี้ยววินาทีที่หมัดเขาซัดออกไป… ประหนึ่งโลกทั้งใบเคลื่อนไหวช้าลง
เขาเม้มปากแน่น สรรพสิ่งราวกับเป็นภาพเคลื่อนไหวช้าลง เขามองไปที่ร่างพลังจิตที่ถูกพลังปราณห่อหุ้มของตัวเอง ปลายหมัดที่ปล่อยออกไปบังเกิดดวงแสงสีขาวขึ้น มันพวยพุ่งเฉื่อยช้าจนเห็นเป็นหางหมอกตามหลัง พุ่งมาจากจุดไหน กระทบกลับยังจุดนั้น หลังจากที่เสียง “ฟุบ” ดังขึ้น ดวงแสงนั้นก็กระดอนกลับไปที่ทะเลลมปราณทันที
ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ดวงแสงพลังลูกที่สอง ลูกที่สาม… ก็พุ่งตามไปติดๆ จนดูเหมือนคลื่นน้ำโหมกระหน่ำที่พวยพุ่งออกจากร่างกายเขาอย่างบ้าคลั่ง!
เหนือทะเลลมปราณขึ้นไป พลังจิตที่ควบแน่นกลายเป็นร่างจำแลงกำลังระเหิดไปจากเขาอย่างรวดเร็ว!
สิ่งนั้นเป็นกายแห่งพลังจิตที่ช่วยให้ผู้ฝึกตนทลายอุปสรรค เนื่องจากผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้นไม่สามารถทลายด่านป้องกันได้ด้วยร่างจริงของตนเอง
ตัวเขาก็ทำไม่ได้เช่นกัน
จากมุมมองโลกด้านนอก หนังตาที่ปิดสนิทของสวีหยางอี้กระตุกแผ่ว แต่ยังไม่เปิดออก
เขาไม่ยอม และกำลังจะลองอีกเป็นครั้งสุดท้าย
ภายในทะเลลมปราณ ร่างพลังจิตพุ่งทะยานดุจลูกศรคม เขาไม่คิดพูดให้มากความ รีบคว้าจังหวะในช่วงเสี้ยววินาทีรัวหมัดทั้งสองข้างโจมตีใส่เยื่อหุ้มชั้นนั้นดั่งห่าฝนกระหน่ำ
เขากัดริมฝีปากแน่น พละกำลังที่เต็มเปี่ยมในร่างกายอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว ภายในทะเลลมปราณผุดบรรยากาศอ้างว้างขึ้นมาขนานใหญ่ เพื่อระงับความรู้สึกอันไม่คุ้นชินนี้ เขาจึงกัดปลายลิ้นตัวเองอย่างไม่ลังเล
เลือดสดไหลซิบเล็กน้อย ร่างพลังจิตภายในทะเลลมปราณคำรามดังลั่น ลมหายใจเฮือกสุดท้ายทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดหมายโจมตีเกราะป้องกัน!
ไร้เสียงตะโกน มีเพียงลมหายใจอันอัดอั้นเคล้าระคนความคาดหวังและความเด็ดเดี่ยวอย่างหาเปรียบไม่ได้!
เสียง “ตู้ม…” ดังอุดอู้ วงคลื่นกระเพื่อมเล็กๆ หลายวงบนอากาศค่อยๆ เลือนหาย
ทั้งใบหน้าของร่างพลังจิตและร่างจริงของเขาฉายแววเจ็บใจที่อดกลั้นจนถึงที่สุดขึ้นมาทันที
มีคนปิดกั้นเส้นทางเชื่อมต่อพลังปราณของสนามประลองและโลกภายนอก…
มีคนไม่อยากให้ตัวเขาเลื่อนระดับ
ในตอนนี้ ทะเลลมปราณนิ่งสงบ ทว่ากลับถั่งโถมไปด้วยไอสังหารอย่างท่วมท้น!
อยู่ด้านหน้าประตูด่านนี้แล้วทั้งที… ขาดอีกก้าวเดียวเท่านั้นเขาก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นเลี่ยนระดับกลางได้!
แม้มีใจคิดอยากจะทำ แต่กลับทำอะไรไม่ได้!
เงียบ… เงียบกริบชนิดที่ได้ยินได้ยินเสียงไอหมอกของทะเลลมปราณใต้ฝ่าเท้า และเสียงเดือด “ปุดๆ” ของพลังปราณ
เขาหลับตาลง เนินอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง กำหมัดยกขึ้นที่มุมปาก แววตาเย็นเฉียบดั่งผลึกน้ำแข็งหมื่นปี ทันใดนั้น มวลพลังเกินกว่า 100% ก็โหมซัดใส่ทะเลลมปราณอย่างรุนแรงทันที!
ไร้คลื่นทะเลพวยพุ่ง ไร้น้ำทะเลสาดกระเซ็น มีเพียงคายไอของพลังปราณพุ่งพล่านแตกกระจายเป็นเส้นสายคล้ายอสรพิษนับร้อยล้านตัว
เขายืนอยู่ท่ามกลางพลังปราณที่พุ่งพล่านอยู่เหนือทะเลลมปราณราวกับเทพสังหารมาจุติก็ไม่ปาน
ณ โลกภายนอก เขาลืมตาขึ้นเงียบๆ อย่างไรคำเอื้อนเอ่ย แต่ในช่วงเวลานี้หากมีคนสนิทของเขาอยู่ด้วย ไม่สิ ต่อให้เป็นคนไม่สนิทก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขาในตอนนี้อยู่ดี
เพราะไอสังหารของเขาที่แผ่ซ่านออกมา
ความกดดันอันนิ่งเงียบเช่นนี้เกิดจากถูกขัดขวางการเลื่อนขั้นครั้งแรก ทั้งที่ร่างกายตัวเองบอกว่าทำได้ แต่กลับถูกสกัดกั้นการเชื่อมต่อกับพลังปราณธรรมชาติ ทำเอาเขาที่ปรือตาขึ้นมาครึ่งหนึ่งถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยทีเดียว
เขาค่อยๆ ผละออกมาจากภูมิในจิตของตัวเองอย่างเงียบๆ
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป หนึ่งชั่วโมงคล้อยผ่าน เขาก็ยังไม่ปริปากพูด ไม่ตะโกนคำราม และไม่ทำลายข้าวของอย่างเดือดดาล เพียงแต่ควักบุหรี่ออกมาหนึ่งมวน ก่อนจะจุดสูบทีละเฮือกอย่างเชื่องช้าประหนึ่งกำลังดื่มด่ำ แต่ก็ยังไม่พ่นออก
“ออกจะเกินไปหน่อยแล้ว…” ในเวลาเดียวกัน รองผู้อำนวยการฉีก็ชักมือกลับมาพลางพ่นลมหายใจเสียงแผ่ว “การบรรลุระดับย่อยในครั้งแรกได้ สำหรับผู้ฝึกตนก็คือการเสริมสร้างความมั่นใจ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก หากไม่มีจิตใจที่แข็งแกร่ง ก็คงไม่สามารถทนฝึกตนได้เป็นเวลานาน…”
“มันจบแล้วก็คือจบแล้ว” ฉู่เทียนอีลูบฝาครอบแก้วชาพลางเอ่ยขึ้นเรียบเฉย “ในหวาซย่ามีแต่คนเคร่งครัดกันทั้งนั้น แต่ว่า…”
เขากึ่งยิ้มกวาดตามองรองผู้อำนวยการฉี ก่อนพูดแฝงวาจาเหน็บแนม “รองผู้อำนวยการฉีปากบอกปฏิเสธ แต่ลงมือทำตาม ทำเอาฉันทึ่งอยู่เหมือนกันนะ…”
รองผู้อำนวยการฉีเอนตัวพิงเก้าอี้พลางเงยหน้ามองเพดาน ผ่านไปพักใหญ่จึงระบายยิ้ม “รับเงินมาแล้วก็ต้องทำตาม”
ท่ามกลางสนามประลองหนึ่งในใต้หล้า กระแสพลังปราณอันสะเปะสะปะหยุดชะงักลงทันที
ราวกับทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทุกคนด้านนอกห้องต่างพากันตกตะลึงและมองหน้าสลับกันไปมา ไม่รู้จะอธิบายสถานการณ์ในตอนนี้ออกมาอย่างไรดี
พวกเขาต่างรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นได้ สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว พลังปราณก็ไม่ต่างกับการหายใจ หากอยู่ๆ ไม่มีอากาศหายใจ ใครๆ ก็ต้องรับรู้ได้ทั้งนั้น
พลังปราณอ่อนกำลังลง หรือไม่เข้มข้นเหมือนก่อนหน้านับเป็นเรื่องปกติ แต่การที่มันอ่อนกำลังลงฉับพลันในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ไม่สิ ไม่มีเลยต่างหาก ทุกคนก็ต่างเข้าใจสถาการณ์ขึ้นมาทันที
“เฮ้อ…” นักเรียนคนหนึ่งส่ายหน้า “เจ้านี่มันเพี้ยนรึเปล่านะ? ใครจบมาจากโรงเรียนเขาบ้าง? นี่มันไปผิดใจกับใครกันเหรอ?”
ไม่มีใครตอบ
“เขาประสาทเสียหรือไง? ถึงขนาดนี้แล้วยังไม่เปิดประตูออกมาอีก?” วัยรุ่นตัวเตี้ยคนหนึ่งเผลอยิ้มเยาะเย้ยออกมา พร้อมกับจ้องมองประตู “อะไรกัน? กลัวเหรอ? หรือว่าอาย? พวกเราไม่คิดจะเยาะเย้ยเขาสักหน่อย เหอะๆ… ก็แค่เลื่อนขั้นล้มเหลวเองไม่ใช่เหรอ?”
คนเรานี่ก็แปลก หากเป็นเรื่องเดียวเกิดขึ้นกับตัวเอง ก็คงจะคร่ำครวญอ้อนวอนต่อสวรรค์ แต่เมื่อเกิดขึ้นกับคนอื่น โดยเฉพาะคนที่ดูโดดเด่นกว่าตัวเอง ก็มักจะเยาะเย้ยสมน้ำหน้ามากกว่านึกถึงใจเขาใจเราเสียอีก
โดยเฉพาะตอนเจ้าของเรื่องไม่ได้อยู่ต่อหน้าตัวเอง ก็มักจะพูดไปเรื่อยเปื่อย
แม้จะไม่รู้เรื่องการแข่งขันชิงอันดับ แต่พวกเราก็รู้ดีว่าจะต้องมีวิธีจัดอันดับวิธีอื่นอยู่เป็นแน่ ในยุคสมัยนี้ มีที่ไหนไม่มีการจัดอันดับบ้าง? แม้กระทั่งตอนมอบโบนัสก็ยังมีการจัดอันดับผลคะแนนการทำงานเลย แล้วในโลกผู้ฝึกตนจะไปเหลือเหรอ?
เพียงแต่พวกเขานึกไม่ถึงว่าจะต้องแย่งชิงที่หนึ่งด้วยหมัดของตัวเอง
ก่อนการจัดอันดับจะเกิดขึ้น การที่ได้เห็นคนที่ทุกคนหวาดหวั่นมีพลังลมปราณลดลงหนึ่งในสิบเนื่องจากเลื่อนขั้นล้มเหลวแบบนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกครื้นใจทันที แล้วใยจะต้องไปสนใจสวีหยางอี้อีก? เขามีค่ามากต้องใส่ใจขนาดนั้นเลยเหรอ?
บานประตูหินยังคงไม่เปิดออกราวกับสวีหยางอี้คิดจะขังตัวเองไว้ด้านในก็ไม่ปาน
“นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน… ช่างเถอะ ไปดีกว่า ไม่เห็นมีอะไรน่าดูเลย” วัยรุ่นคนหนึ่งอ้าปากห้าว ก่อนเดินกลับห้องตัวเองอย่างขี้เกียจ
“ฉันก็นึกว่าจะได้เห็นเขาเดินออกมาในสภาพเลือดขึ้นหน้า แล้วพุ่งไปสาขาย่อยเค้นถามหาว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นก็ถูกตบตายคามือ ทำไมไม่เกิดอะไรแบบนี้ขึ้นนะ?” วัยรุ่นตัวเตี้ยพูดขึ้นอย่างเสียดายพลางยักไหล่ “ไปดีกว่า อาจจะเป็นกลไกทำงานอัตโนมัติของเทียนเต้าก็ได้? ที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนขั้นในสนามประลองหนึ่งในใต้หล้า ฮ่าๆ”
ผู้คนค่อยๆ ทยอยพากันแยกย้าย จนผ่านไปสิบนาที เหลือเพียงฉู่เจาหนานยืนอยู่ตรงนั้น
สองมือกอดอกจ้องมองบานประตูด้วยสายตาเย็นเยียบ บางทีคนอื่นๆ คงจะคิดว่าเขาคนนั้นห่อเหี่ยวอับเฉาลงไปแล้ว แต่ฉู่เจาหนานไม่เชื่อเช่นนั้น
ตอนอยู่บนเครื่องบิน ตัวเองสั่งให้อีกฝ่ายไสหัวไปให้พ้น ทว่าอีกฝ่ายกลับคลี่ยิ้มและวางกระเป๋าลง และถีบเข้าให้อย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
นี่คือนิสัยของคนที่มั่นใจในตัวเองเป็นที่สุด เช่นเดียวกับเขา…
หากตัวเองเจอเรื่องแบบนี้เข้า จะทำอย่างไร?
คงเจ็บใจจนอยากฆ่าคน… แต่ไม่มีทางห่อเหี่ยวลงแน่นอน!
แวบแรก ความคิดนี้แล่นเข้ามาในห้วงสมองเขาทันที ดวงตาเขาเปล่งประกายขึ้นราวกับอยู่ๆ ก็เข้าใจความคิดของอีกฝ่าย
ใช่ว่า… ไม่กล้าออกมา แต่อีกฝ่ายกลัวว่าจะปลดปล่อยความบ้าคลั่งป่าเถื่อนเยี่ยงสัตว์ร้ายภายในใจตัวเองออกมาต่างหาก ไม่เช่นนั้น สังเวียนแห่งนี้… คงถูกย้อมไปด้วยเลือดแดงฉาน!
“กำลังปลอบสัตว์ร้ายภายในใจของตัวเองอยู่เหรอ…” เขาไม่เกรงกลัว หากแต่เลียริมฝีปากอย่างตื่นเต้น แววตาลุกโชติดุจเปลวไฟ “ใช่แล้ว… พวกเราเป็นคนประเภทเดียวกัน มีคนจ้องเล่นงานนายอยู่ แล้วนายกำลังรอ… ให้การแข่งขันชิงอันดับมาถึงใช่ไหม?”
“รอเวลาทีจะเปิดโหมดสังหารอย่างแท้จริง…” เขาขบฟันกรอดประหนึ่งหยั่งรู้ความคิดของสวีหยางอี้ได้!
อีกฝ่ายไม่รู้ว่าใครจ้องเล่นงานเขาอยู่ และในเมื่อไม่รู้ก็ค่อยๆ ไล่ฆ่าไปทีละคน!
ต่อสู้ตัวต่อตัวไม่ได้… ดั่งนั้นอีกฝ่ายจึงได้แต่รอ… เหมือนสิงโตกำลังล่าเหยื่อ รอคอยเวลาให้ผ่านไปอีกสิบกว่าชั่วโมง ก็จะเป็นโอกาสเปิดโหมดสังหารให้เป็นที่ประจักษ์!
หรือจะเป็นการลอบสังหาร?
ไม่ต้องรีบร้อน
ไม่ว่าจะเป็นใคร คนที่จ้องเล่นงานเขาจะต้องอยู่ในสังเวียนนี้เป็นแน่! เพียงใช้สองหมัดกระหน่ำซัดไปเรื่อยๆ ซัดจนอีกฝ่ายหนังเปิดเนื้อหลุด ซัดจนให้มันไม่กล้าทำแบบนี้อีก! ซัดให้มันเผ่นแจ้นเมื่อเจอเขา! ซัดจนให้มันจดจำสวีหยางอี้ขั้นเลี่ยนชี่คนนี้ได้ แม้หลังจากนี้อาจจะบรรลุขั้นจินตันแล้วก็ตาม
เช่นนั้นก็บรรลุเป้าหมายแล้ว
“ช่างเป็นความมั่นใจอันแน่วแน่และยิ่งใหญ่ดุจกำแพงเมืองจีนเสียจริง…” ฉู่เจาหนานกำหมัดแน่นจนเกิดเสียง “เช่นนั้น ฉันจะรอเวลาที่นายแผงฤทธิ์ออกมา!”
——————————————————————————– [1] 精气神 จิง ชี่ เซิน ความหมายตามลัทธิเต๋า คือหัวใจหลักของมนุษย์ 精(จิง) คือสารสำคัญในร่างกาย เช่นสารอาหาร 气(ชี่) คือพลังชี่ หรือพลังปราณ และ神(เสิน) คือจิตวิญญาณหรือสำนึกของเรา